19 เมษายน 2563

เรียนรู้อธิษฐานตามแบบพระเยซูสอน - Learning from The Lord’s prayer. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
เรียนรู้อธิษฐานตามแบบพระเยซูสอน 
 Learning from The Lord’s prayer. 
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

คำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน เป็นถ้อยคำที่ผมใช้หนุนใจพี่น้องให้ทูลวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะพระบิดา ช่วงเวลาแห่งความกลัว กังวล และสับสนที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
เราจะอธิษฐานและเรียนรู้อย่างไรในคำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน 
จากพระธรรม มัทธิว 6.9-13

1.  อธิษฐานต่อพระบิดา เทิดทูนบูชาพระนามพระองค์ (ข้อ 9)
“ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ

ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์  ทุกคนได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1.12) และมีสิทธิ์ได้อยู่ในบ้านคือแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระเจ้าในฐานะพระบิดาได้  การร้องทูลต่อพระบิดาถือว่าเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อทุกคน พระธรรมโรม 8.15 บันทึกว่า
เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก   แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า   ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า   “อับบา”   คือพระบิดา
คำว่า “อับบา” เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้เรียกคุณพ่อด้วยถ้อยคำของสามัญชนทั่วไปแบบเรียบง่าย เป็นเสมือนลูกที่พูดจากับคุณพ่ออย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง ออดอ้อนตามประสาเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อด้วยภาษาท่าทางที่ผูกพันแนบแน่น
ขอบพระคุณพระเจ้าผู้สูงสุดซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์อันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทรงให้โอกาสคนธรรมดาสามัญสามารถจะอธิษฐานทูลอ้อนวอนพระองค์ในฐานะพระบิดา หรือ “พ่อ” อย่างอบอุ่นใจได้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็น พระบิดาผู้ดีรอบคอบ(มธ.548) ที่จะทรงตอบคำร้องทูลแก่ลูกที่รักของพระองค์ด้วย “ของดีที่สุด” (มธ.7.11)  นายแพทย์ลูกาให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าของดีนั้นคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”
โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้อยู่เคียงข้าง คอยให้คำแนะนำและอธิษฐานช่วยเราขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรหรือไม่สามารถอธิษฐานออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราตามพระประสงค์ของพระองค์ และช่วยคนที่รักพระองค์และคนที่พระองค์ทรงเรียกให้เกิดผลอันดีในทุกสถานการณ์ได้ด้วย (รม.8.26-28)
ดังนั้น ทั้งในยามสถานการณ์คับขันหรือปกติสุข ให้อธิษฐานต่อพระบิดา และเทิดทูนบูชาพระนามพระองค์อย่างสูงสุดเสมอ

2.  อธิษฐานขอการครอบครองของพระเจ้าเหนือชีวิต ขอให้สัมฤทธิ์ผลตามพระทัย (ข้อ 10)
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

เมื่ออธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่  ขอให้รับรู้ว่านั่นคือ การยอมรับว่าพระเจ้ามีอำนาจครอบครองเหนือชีวิตจิตใจของคุณ  ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองบัลลังก์แห่งหัวใจของคุณทั้งหมด  ชีวิตนี้จึงไม่ใช่ของคุณเองอีกต่อไปแต่เป็นของพระเยซูแล้ว ดังอาจารย์เปาโลอธิบายว่า
ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว   ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป   แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า   ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้   ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า   ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า   และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า  - Galatians 2:20
ชีวิตของผู้เชื่อพระเยซูจึงควรเป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า เพราะถูกครอบครองด้วยอำนาจ และกฎแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว หากอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าก็สมควรที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์ด้วย
การทำตามพระทัยของพระเจ้า เป็นช่องทางให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานได้
และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์   คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์   พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า   พระองค์ทรงโปรดฟังเรา   เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ   เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์ - I John 5:14-15
คนที่จะรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้นั้นต้องมีถ้อยคำของพระองค์อยู่ในชีวิต
ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา   และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว   ท่านจะขอสิ่งใด   ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น  - John 15:7
น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นมีผลทั้งต่อแผ่นดินสวรรค์และแผ่นดินโลก  ซึ่งหมายถึงพระเจ้ามีอำนาจเสมอทั้งขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และเมื่อจากโลกนี้ไปเรายังสามารถอาศัยอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ที่สวรรค์ได้ด้วย  เพราะเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า
จึงอย่าได้ตามใจอยาก ตามใจอยู่ ตามใจปาก ตามใจท้องของตนเองจนเกินไป จนทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเสียหายไปจากชีวิตของคุณเลย  แต่จงแสวงหาการครอบครองของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงนำชีวิตในทุกเรื่อง  เพื่อชีวิตจะอยู่ในพระประสงค์ทั้งขณะยังมีชีวิตและเมื่อถึงเวลาสุดท้ายจะได้ภาคภูมิต่อพระพักตร์ที่บนสวรรค์เช่นกัน

3. อธิษฐานขอการพึ่งพาในทุกเวลาของชีวิต (ข้อ 11)
ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้

พระเจ้าทราบว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต  แต่ยังสอนไว้อีกว่า
มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้   แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ   ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'  - Matthew 4:4
อาหารฝ่ายกายสำคัญเท่าใด อาหารฝ่ายวิญญาณยิ่งสำคัญมากกว่านั้น  แม้จะกินครบทั้ง 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ (บางคนกินไปหลายตำบล – พูดประชดนะครับ) แต่ชีวิตหาอยู่รอดได้ไม่ ถึงอยู่ได้ก็คงอยู่แบบไร้จิตวิญญาณ  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจิตใจคนในยุคนี้ถึงร้ายนัก เพราะเขาไม่ได้กินอาหารฝ่ายวิญญาณ และไม่ดำเนินการตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั่นเอง ตามที่อาจารย์ทิโมธีได้รับการดลใจให้เขียนไว้ล่วงหน้าเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
แต่จงเข้าใจข้อนี้   คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น   จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว   เห็นแก่เงิน   เย่อหยิ่ง   ยโส   ชอบด่าว่า   ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา   อกตัญญู   ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม   ไม่ให้อภัยกัน   ใส่ร้ายกัน   ไม่ยับยั้งชั่งใจ   ดุร้าย   เกลียดชังความดี ทรยศ   มุทะลุ   หัวสูง   รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก   ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ   คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ -II Timothy 3:1-4
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้พึ่งพาในพระองค์ ดังลูกและบิดา ให้สามัคคีธรรมนำความความสัมพันธ์อันดีมาสู่กันเสมอ  แต่เมื่อมนุษย์เผลอไปทำตามคำของมารร้าย  จึงกลับกลายเป็นศัตรู  และรู้ทั้งรู้ว่าการเป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น ไม่มีวันจะชนะได้  แต่ขอบคุณพระเจ้าโดยความรักของพระองค์จึงส่งพระบุตรองค์เดียวนามว่า “เยซู” ให้มาช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป และให้กลับคืนดีกับพระองค์ (รม.5.6-10)
พระองค์เจ้าข้า ขอพึ่งพาในพระองค์  พระผู้ทรงเลี้ยงดูดุจเลี้ยงแกะ และทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ  (สดด.23.1-6,ยน.10.11)  ขอโปรดดูแลข้าพระองค์ทั้งกายและจิตวิญญาณตลอดไปด้วยเถิด

4. อธิษฐานขอการยกโทษ ขออย่าพิโรธต่อความผิดบาปที่ได้ทำ (ข้อ 12)
และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์
เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น

ความผิดบาปที่ติดชีวิตของเรานั้น มีทั้งสองส่วนคือ บาปที่สืบทอดมาตามสายเลือดตั้งแต่เริ่มต้นการทำบาปของมนุษย์คู่แรก และบาปที่ทำเองของเราแต่ละคนที่ทำมากเสียจนมากกว่าบาปเริ่มต้นเสียแล้วกระมัง  ดังนั้น จึงไม่มีใครปฏิเสธได้ จึงควรยอมรับว่า ข้าคือคนบาป และสมควรถูกสาปให้สาสม ตามพระคัมภีร์ที่ว่า
เพราะว่าทุกคนทำบาป   และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า  -Romans 3:23
เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป   ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น   ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย   ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น   ก็คือความตาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป   และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว   ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์   และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย   แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  - Romans 6:20-23

วันนี้ขอให้อธิษฐานสารภาพและยอมรับว่าตนเองเป็นเป็นคนบาป เพื่อจะพ้นจากความแช่งสาป  โดยทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมผู้ทรงโปรดยกโทษบาปและชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้นได้ด้วยอำนาจของพระองค์ (1ยน.1.9) แม้ว่าบาปของเราจะหนักหนาสักเท่าใด พระองค์ทรงชำระให้สะอาดได้ (อสย.1.18) และถ้าแม้ว่าได้ทำผิดทำบาปต่อใครก็ให้สารภาพและขอการยกโทษจากคนนั้นด้วย และต่างฝ่ายต่างต้องยกโทษให้แก่กันและกัน เหมือนดังที่พระเยซูคริสต์ยอมตายเพื่อไถ่บาปของเราแล้วเช่นกัน (มธ.6.14-15, มก.11.25, ลก.17.3) เพื่อคำอธิษฐานของเราจะไม่มีอะไรขวางกั้นต่อพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สามีภรรยาที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันจะได้พรนี้มากขึ้นด้วย (1ปต.3.7)
พระเจ้าพร้อมอ้าแขนรับคนที่สำนึกผิดและลุกขึ้นมาสารภาพกับพระบิดาเสมอ เพราะไม่มีใครไม่เคยทำผิด แต่ชีวิตที่รับพรคือคนที่กลับใจและสารภาพ (ลก.15.11-24)

5. อธิษฐานขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย ขอให้หลีกไกลจากอันตราย (ข้อ 13)
และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย

การร้ายทั่งปวง ย่อมมาจากสิ่งชั่วร้าย  “มาร” มันเป็นต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้าย เป็นพ่อแห่งความมุสา (ยน.8.44) และมันนำพาให้มนุษย์หลงจากทางแห่งความดี  มันทำให้มนุษย์มีจิตใจมืดมน ไม่สนใจทางแห่งความจริง(2คร.4.4,อฟ.5.11)  มันมาเพื่อลัก ฆ่าและทำลาย (ยน.10.10ก)
หากหลีกไกลได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี  แต่วิธีที่จะหลีกนั้น ต้องทำทั้งสองด้าน คือ หนึ่ง อย่านำตัวเองเข้าไปสู่ปัญหาและอันตรายนั้นโดยไม่จำเป็น สอง ขอการปกป้องดูแลจากพระเจ้า
เริ่มต้น เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี สถานที่ใดดีหรือไม่ดี  คนไหนดีหรือไม่ดี อย่าให้วิถีของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นดีที่สุด (สดด.1.1) ต้องปลอดภัยไว้ก่อน กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะหากปล่อยให้แย่แล้วยากที่จะแก้ไข  อย่าคิดว่าตนเองมั่นคงแล้ว แน่แล้ว และไม่ระวังเพราะจะเกิดความพังพินาศมาสู่ชีวิตได้  พระคำของพระเจ้าเตือนไว้ว่า
เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว   ก็จงระวังให้ดี   กลัวว่าจะล้มลง  -I Corinthians 10:12
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทราบว่า   จะช่วยคนชอบธรรมให้รอดพ้นจากการทดลองได้อย่างไร   และทรงทราบวิธีกักขังคนชั่วไว้   ให้รับโทษเมื่อถึงวันพิพากษา โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่ปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกิเลสตัณหา   และหมิ่นประมาทอำนาจของผู้ใหญ่   คนเหล่านี้กล้าและประพฤติตามอำเภอใจ   เขาไม่สะทกสะท้านที่จะกล่าวประณามศักดิ์สิริเทพ  -II Peter 2:9-10
เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี   อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา   แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส   เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา   แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร  -Ephesians 5:15-16
เมื่อดูแลและระมัดระวังตนเองอย่างดีแล้ว จากนั้นยังต้องมอบทั้งหมดไว้ภายใต้การปกป้องดูแลของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง(ลก.1.37)  สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินนั้น พระเจ้าสามารถจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ได้ (1คร2.9)  พระเจ้าทรงรู้ว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับกำลังและสถานการณ์ของเราแต่ละคน และทรงเตรียมหนทางที่ดีสำหรับชีวิตเราเสมอ(1คร.10.13,สดด23)

6. อธิษฐานด้วยความเชื่อ เพื่อยกย่องพระนามสืบไป (ข้อ 13)
หากเราอธิษฐานตามอย่างที่พระเยซูสอน เริ่มต้นด้วยการร้องเรียกหาพระบิดา และสุดท้ายก็ให้จบคำร้องทูลด้วยความเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระองค์
เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
พระคัมภีร์ฉบับเก่าแก่บันทึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้ ย่อมมีความหมายแน่  เพราะแท้จริงคำตอบ และความสำเร็จทุกอย่างนั้นมากจากพระเจ้า  เราจึงต้องประกอบไปด้วย “ความเชื่อ”  คือ เชื่อในตัวตนของพระเจ้า เชื่อในอำนาจของพระองค์ และเชื่อในความจริงตามพระคำของพระองค์  แม้วันนี้เราอาจรู้สึกว่ายังไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ  แต่สัญญาณการตอบของพระเจ้านั้นมีทั้งจะบอกว่า... ได้... ไม่ได้... ให้รอก่อน...หรือ บางครั้งทรงสอนให้เราเติบโตพอที่จะเข้าใจเสียก่อน จึงจะได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้น  บางครั้งอาจไม่เป็นดังใจเราต้องการแต่สุดท้ายเป็นไปตามพระทัยพระเจ้าย่อมดีกว่า  เพราะพระทัยของพระเจ้านั้นสูงกว่าความคิดของมนุษย์ พระองค์ประสงค์ให้สิ่งดีที่สุดสำหรับแต่ละคนแน่นอน
พระเจ้าตรัสว่า...
เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า   ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา”  
พระเจ้าตรัสดังนี้  
 
“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด   วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า  
 และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”
   -Isaiah 55:8-9
การปรับความคิดและชีวิตของเราให้เข้ากับพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  ด้วยการมอบกาย ถวายชีวิตที่มีให้กับพระองค์เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยและเข้าใจว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิต (รม.12.1-2)

7. อธิษฐานในนามพระเยซู และสู่คำลงท้ายว่า “อาเมน”
จากคำสอนของพระเยซูในตอนอื่น ๆ ทำให้เห็นว่า เราไม่สามารถอ้างชื่อของตนในการอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ เพราะยังไงมนุษย์ที่ยังอาศัยร่างกายที่ตกอยู่ในความบาป และอยู่ท่ามกลางโลกที่เสื่อมทรามจากพระเจ้านั้น ไม่อาจยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์ผู้บริสุทธิ์ได้ด้วยตนเอง 
แต่ขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ได้ทำการไถ่ความบาปจากชีวิตของเราแล้วด้วยการตายบนไม้กางเขน  ทรงโปรดให้เราเป็นคนชอบธรรม คือได้การยอมรับจากพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซู (ฮบ.9.15,กจ.4.12) ดังนั้น สิ่งที่เราจะดำเนินการต่อพระเจ้านั้นจึงต้องผ่านผู้กลางคือ “พระเยซู” เท่านั้น !
แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์   ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล   ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา   เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง คือการเป็นปฏิปักษ์กัน   โดยในเนื้อหนังของพระองค์   ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ   เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์   เช่นนั้นแหละ   จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า   เป็นกายเดียวโดยกางเขน   ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล   และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน -Ephesians 2:13-18
พระเยซูยืนยันว่า...
เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า   ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด   พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา   เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น” -Matthew 18:19-20
ผู้เชื่อในยุคแรก และคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโลมักลงท้ายด้วยคำว่า อาเมน (รม.9.5,1คร.14.6,อฟ.3.21,1ปต5.11,วว.22.21)
“อาเมน”  เป็นภาษาฮีบรูหมายความว่า ให้เป็นเช่นนั้น  โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เป็นได้ ด้วยความจริง และอำนาจของพระองค์ (วว.3.14,5.14)

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐานนะครับ

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)