27 กรกฎาคม 2562

พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง : What then will we have? โดย บัณฑิต ดาแว่น




คิดอย่างบัณฑิต  

พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง :
What then will we have?  
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 


...แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า   “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา   พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้างพระเยซูตรัสกับเขาว่า   “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น   พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่   พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า  ผู้ใดได้สละบ้าน   หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา   หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา   ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย  แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น   จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย   และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น ( Matthew 19:27-30)

หลังจากที่พระเยซูแนะนำให้เศรษฐีหนุ่มคนนั้นขายทุกสิ่งแล้วแจกให้คนอื่น เพื่อจะเป็นสาวกและตามพระองค์ไปได้ แต่เขาเป็นทุกข์เพราะห่วงทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มาก  พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเขาทำอย่างไรต่อไปหรือไม่    แต่เหตุการณ์นั้นทำให้สาวกของพระเยซูมีคำถามขึ้นมาทันที       
 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา   พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง”  
พระเยซูมีคำตอบชัดเจนว่า  พวกเขาจะได้อย่างแน่นอน ทั้งสิทธิในการนั่งบัลลังก์พิพากษาร่วมกับพระองค์ และพระพรจากการที่ต้องเสียสละสิ่งสารพัดต่างๆถึงร้อยเท่าทั้งยังได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย ซึ่งนับว่าเกินคุ้มกว่าที่ลงทุน  แต่ถึงกระนั้นยังมีความเสี่ยงสำหรับบางคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง ที่อาจพลาดจากลำดับต้นกลายเป็นสุดท้าย ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่บางคนจะกลายเป็นลำดับต้นอย่างฉับพลันได้ด้วย

คำถามของสาวกที่ว่า   “พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” ทำให้คิดถึงความรู้สึกของคนที่ทุ่มเทชีวิตในการรับใช้พระเจ้าว่า จะได้อะไรบ้างจากการออกไปรับใช้ จากการที่ได้เสียสละสิ่งสารพัดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อคริสตจักร ดูแลคนของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐ ถวายทรัพย์ ถวายแรงกายและอาสาสมัครทำงานต่างๆ
จากประสบการณ์และการสังเกตในการประสานงานและนำทีมอาสาสมัครทั้งจากในและต่างประเทศพบว่าการที่คนใดคนหนึ่งออกไปรับใช้ต่างคริสตจักร ต่างสถานที่ โดยร่วมมือกับคริสเตียนคนอื่นที่มีเป้าหมายคล้ายกันนั้น มีประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย 4  ด้าน  ได้แก่
 1.  ประโยชน์ต่อชีวิตของตนเอง  ชีวิตของคนนั้นจะรับประสบการณ์ใหม่ที่ดีและช่วยพัฒนาการรับใช้ให้มีโอกาส มีความกล้ามากขึ้น ทำให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น 
2.  ประโยชน์ต่อชีวิตของผู้อื่น  คนอื่นๆที่อยู่ในทีมด้วยกันต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และต่างเสริมสร้าง พัฒนาชีวิตมากขึ้น  รวมทั้งคนทั่วไปยังรับสิ่งดีผ่านทางชีวิตของอาสาสมัครด้วย
3.  ประโยชน์ต่อคริสตจักรหรือท้องถิ่นที่มีผู้ไปช่วย ต่างรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจจากพี่น้องที่มาจากที่อื่น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขากระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น และยังช่วยให้งานสำเร็จได้มากกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำเองในเวลาอันสั้นได้ 
4.  ประโยชน์ต่อคริสตจักรที่ส่งอาสาสมัคร  นอกจากที่"ผู้รับ" จะได้พรแล้ว "ผู้ให้" ยิ่งมีพระพรที่มากล้นเช่นกัน เชื่อว่าอาสาสมัครคนนั้นเมื่อกลับไปยังคริสตจักรของตนแล้ว จะเป็นผู้ที่เข้มแข็ง เติบโตและพร้อมที่เป็นพระพรต่อคริสตจักรของตนเองมากกว่าที่ผ่านมาแน่นอน

ประโยชน์ทั้ง 4 ด้าน ที่กล่าวมา เป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่คนใดคนหนึ่งได้ออกไปร่วมมือกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ ในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดผลที่เป็นพระพรหลายเท่า  นับเป็นกระบวนการสร้างชีวิต สร้างสาวก สร้างผู้นำ สร้างผู้รับใช้ และสร้างคริสตจักรอย่างเกิดผลดี  โดยผ่านทางการทำงานในสนามฝึกจริง ในรูปแบบ Learning by Doing  และเราต่างเชื่อว่ายังมีพระพรอีกมากที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือซึ่งกันและกัน  ดังพระวจนะที่สอนว่า  
“...จงฝึกตนในทางธรรม 8เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง   ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง   เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย ( I Timothy 4:8)  
 จริงอยู่   เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า   พร้อมทั้งความสุขใจ (I Timothy 6:6)

การทำงานรับใช้ ไม่ใช่เพราะเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าหรือดีกว่าคนอื่น  แต่ที่สำคัญคือ เรามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของงานรับใช้ เจ้าของทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นต้นแบบแห่งการให้ การรับใช้อย่างสุดชีวิตของพระองค์เพื่อผู้อื่น และเพื่อตัวเรามาก่อนแล้ว (Mark 10.45)  สิ่งที่เราทำนั้นเป็นการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ เพื่อแสดงว่าเรารักและต้องการตอบสนองต่อพระคุณของพระองค์เท่าที่จะสามารถกระทำได้  
และด้วยความเชื่อว่างานทุกอย่างที่กระทำนั้นจะไม่สูญเปล่า (I Corinthians 15.58)
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

18 กรกฎาคม 2562

คริสเตียนกับการรู้เท่าทันสื่อ : Media literacy โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

คริสเตียนกับการรู้เท่าทันสื่อ
Christian and Media literacy  โดย  บัณฑิต  ดาแว่น 

บทความนี้เขียนตั้งแต่ปี 2008 เพื่อนำเสนอผ่านทางนิตยสาร พระคริสตธรรมประทีป ของคริสเตียนไทย... แต่ยังมีข้อคิดที่สามารถเตือนสติในวันนี้ได้เช่นกัน  จึงนำมาเพื่อเป็นข้อคิดเพื่อชีวิตในยุคออนไลน์กันอีกครั้ง

จี้สอบ แอพหน้าแก่ชี้ส่ออันตราย เพราะล้วงลับ ข้อมูลส่วนตัวได้!  สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จี้เอฟบีไอ สอบ FaceApp ทำหน้าแก่ เหตุบ.รัสเซียอยู่เบื้องหลังหวั่นล้วงข้อมูล (ข่าวสดออนไลน์ 18 ก.ค.62)

เครือข่ายผู้หญิงโวย...ให้ตัดฉากละคร...ออกแถลงการณ์ให้ทบทวนฉากข่มขืน หวั่นผู้ชมเข้าใจว่าการข่มขืนไม่ใช่ความผิด สร้างค่านิยมผิดให้สังคม(มติชน 12 มิ.ย.51)

หญิงไทยอยากมีผิวขาว กลิ่นกายหอม รูปร่างผอมหญิงไทยอยากขาวไร้ริ้วรอย หมดเงินไปกับครีมและเครื่องสำอาง คิดเป็นค่าใช้จ่ายถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน (โพสต์ทูเดย์  21 พ.ค. 51)

ตะลึง!! เด็ก 6 ขวบ อยากขาวคว้าไฮเตอร์อาบน้ำ เหตุเลียนแบบโฆษณา” (ผู้จัดการออนไลน์ 11 พ.ค. 51 )

วัยรุ่นคลั่งซีรี่ย์เกาหลีแต่งตัวเลียนแบบนักร้องคนโปรด” “สยอง !โจ๋โหดฆ่าแท็กซี่ เลียนแบบเกมออนไลน์ (ไทยรัฐ 3 ส.ค. 51)

นี่คือตัวอย่างส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของสื่อ...!!
สื่อ  มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราอย่างมาก  จนยากที่จะหลีกเลี่ยง  ไม่ว่าจะเป็นผู้มีจิตวิญญาณต่ำหรือสูง  จากเช้าจรดเย็น  จากตื่นถึงหลับ  ตลอดเวลามีการสื่อสารให้เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส และได้ตัดสินใจเลือกใช้จากสิ่งที่สื่อนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเลคทรอนิกส์ ทางเคเบิล ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ  ข้อมูลข่าวสารที่มาถึงตัวเรานั้นมีทั้งดีและร้าย มีอันตรายและมีประโยชน์  หลากหลายวิธีการ ทั้งแบบตรงไปตรงมา แบบมีลับลมคมใน จนถึงขั้นหลอกล่อและหลอกลวง
จึงจำเป็นต้องหาวิธีรับมือกับข้อมูลข่าวสารที่ผ่านทางช่องทางที่เรียกว่า สื่อ  ให้มากขึ้นเพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อโดยไม่จำเป็น ดังที่นักวิชาการเรียกว่า การรู้เท่าทันสื่อ   ซึ่งสอดคล้องกับพระวจนะที่สอนว่า 
จงระวังให้ดี   อย่าให้ผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญา   และด้วยคำล่อลวงอันเหลวไหลตามตำนานของมนุษย์   ตามวิญญาณต่างๆแห่งสากลจักรวาล   ไม่ใช่ตามพระคริสต์  (โคโลสี 2.8)  
เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป   ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง   และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง (เอเฟซัส 4.14)

สื่อ คืออะไร ?  สื่อ  (media)  เป็นคำที่มีความหมายกว้างครอบคลุมถึงระบบการสื่อสารทุกอย่าง  ทั้งอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า สื่อกระแสหลักอย่างที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้  และอย่างไม่เป็นทางการคือที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำของเราทั้งเป็นภาษาพูดและภาษาท่าทาง รวมทั้งวัสดุ สิ่งของ การดำเนินชีวิตทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในขอบข่ายของการสื่อสารได้ทั้งนั้น  โดยสรุป  สื่อ  คือ  ช่องทาง ที่ผู้ส่งสารต้องการให้ข้อมูลข่าวสารนั้นไปถึงผู้รับ และเกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง และผลที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นตามที่ต้องการ หรือเข้าใจตรงกันหรือไม่  ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิ รูปแบบวิธีการ เนื้อหา สภาพแวดล้อม และอื่น ๆ

พระเจ้าทรงเป็นผู้สื่อสารที่ดีรอบคอบ  ทรงหาวิธีที่จะสำแดงให้มนุษย์ได้รู้จักและดำเนินตามพระทัยของพระองค์อย่างเหมาะสมตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต และสื่อที่สมบูรณ์แบบที่ช่วยให้เรารอดนั้นคือ องค์พระเยซูคริสต์  
ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ  แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร...  พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า   และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์... (ฮีบรู.1.1-3)

พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา   บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง   เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์   คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา... ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย   พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา   พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น1.1,18)

สื่อ ทุกวันนี้  ส่งผลกระทบต่อชีวิตฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก  ทำให้ตกอยู่ในอำนาจใฝ่ต่ำของเนื้อหนัง (กาลาเทีย 5.16-21)  ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโลก และการล่อลวงของมารร้าย นำไปสู่ราคะตัณหา และการกระทำอันขัดต่อน้ำพระทัยอีกสารพัด ซึ่งในบางครั้งด้วยความพลั้งผิด และพลั้งเผลอ ซ้ำร้ายหลายครั้งไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางครั้งถึงขั้นเห็นผิดเป็นชอบ เพราะความคิด จิตใจถูกครอบงำจากอิทธิพลของสื่อต่าง ๆ ที่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ ซึ่งดูคล้ายจริงนั้นมาทำให้เราเขวไปจากทางอันชอบธรรม  ไม่เว้นแม้ในการตัดสินใจเรื่องการดำเนินชีวิต และพันธกิจในคริสตจักร  เช่น บางคนอาจจะอ้างว่าเพราะไม่มีข้อห้ามในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนจึงทำอย่างนั้น เพราะเห็นว่าคนอื่น ๆ ในสังคมก็ทำกันปกติทั้งที่จิตสำนึกฝ่ายวิญญาณที่ปกติแสดงว่าไม่ถูกต้องก็ตาม  ทั้งในเรื่องการกิน การดื่ม การแต่งตัว การเลี่ยงความจริงบางอย่าง เป็นต้น
จะปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามสถานการณ์ของโลกที่นับวันจะถอยห่างจากน้ำพระทัย และยิ่งนับวันจะใส่ใจกับวัตถุนิยม บริโภคนิยม สุขนิยม ตัวบุคคลนิยมอย่างนั้นหรือ ? 
จำเป็นที่จะต้อง รู้เท่าทันสื่อ ให้มากขึ้น เพื่อยังคงรักษาความเป็นเกลือและแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง  นั่นคือ การรู้จักระมัดระวัง  การรู้ผิดรู้ถูก การรู้ที่มาที่ไป การรู้ทางหนีทีไล่  รู้สิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ถูกใจ และสิ่งที่ถูกตามน้ำพระทัย (ฟิลิปปี.4.8,โรม.12.1-2) 
แทนที่จะดูแค่เพียงใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เท่านั้น ให้ใช้ความคิดวิเคราะห์ถึงเหตุและผลของเรื่อง ฝึกตั้งคำถาม  ทำไม หรือเพราะอะไรให้มากขึ้น  นี่คือ จุดเริ่มต้น การรู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันกลยุทธ์ของมารที่มันอาจจะแอบแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันนี้
สิ่งที่ควรตระหนักเพื่อนำไปสู่การรู้เท่าทันสื่อ...

1.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ ล้วนเป็น "มายา"
สื่อ  คือสิ่งที่สร้างขึ้น  ทั้งจากความจริงทั้งหมดและจากความจริงบางส่วน และจากไม่มีในความเป็นจริงเลย  แต่นำมาผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ ปรุงแต่งให้น่าดูน่าชมและน่าดำเนินตาม  หากเราไม่เข้าใจข้อนี้อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเอวาที่ถูกมารล่อลวงที่สวนเอเดนใต้ต้นไม้นั้นได้  เพราะมารมันใช้คำพูดที่เสมือนจริงของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ความจริง  ในอีกด้านหนึ่งสื่อที่ปรุงแต่งหรือสรรค์สร้างมานั้นก็เป็นประโยชน์เช่นกันหากนำมาใช้อย่างถูกทางเพราะสามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจในความจริงที่เป็นนามธรรมง่ายขึ้น เช่น การยกตัวอย่าง การเล่าคำอุปมาของพระเยซู เพื่อให้สาวกเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เป็นต้น

2.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ อาจเป็นเพียงแค่ "ภาพของความจริง" เท่านั้น
สื่อ สามารถสร้างภาพความจริง ให้เราคิด เข้าใจ และคล้อยตามที่สื่อบอกความหมายของสิ่งนั้น เช่น ทำให้เราคิดว่า ขาวดีกว่าดำ รวยดีกว่าจน ชายดีกว่าหญิง ฝรั่งดีกว่าไทย ในเมืองดีกว่าบ้านนอก เป็นต้น หากเราไม่ระวังมันอาจเปลี่ยนทัศนคติของเราไปอย่างสิ้นเชิง  และทำให้เราสนใจสิ่งที่เห็นภายนอกมากกว่าความจริงภายใน  สนใจสิ่งของวัตถุมากกว่าฝ่ายวิญญาณ และเข้าใจผิดคิดว่าพระพรของพระเจ้าต้องเป็นสิ่งที่เราจับต้องและเห็นได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราพึงพอใจเท่านั้น เพราะจากความจริงของชีวิตโยบ และชีวิตโยเซฟทำให้เราประจักษ์ชัดว่า บางครั้งพระพรนั้นมาพร้อมกับความทุกข์ลำบากซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่ปรารถนา แต่ความจริงก็คือ ผลสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่า พระเจ้ายังเป็นองค์สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ และสามารถทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ นี่คือความจริงที่เราต้องเข้าใจ อย่าให้สื่อสร้างภาพความจริงจนเราต้องหลงทาง

3.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ "มีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงอยู่"
สื่อ ส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ แสวงหากำไร ดังนั้นผู้รับสารจึงเป็นเพียงแค่ กลุ่มเป้าหมาย ที่เขาต้องการขายสินค้า หรือขายบริการของผู้ที่เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง  สื่อจะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเกิดความรู้ ความต้องการ และแสวงหาสิ่งนั้นมาตอบสนอง  ลองสังเกตว่า เพราะอะไรเราจึงสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสัญญาลักษณ์แบบนี้ รูปทรงแบบนี้ ทำไมเด็ก ๆ ของเราจึงเรียกร้องที่จะบริโภคสินค้า อาหาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างนี้  ทำไมความรู้สึกในการกินไก่ย่างข้างถนน กับไก่ย่างในห้างชื่อดังจึงต่างกัน  รถที่เราขับ โทรศัพท์ที่เราใช้ อะไร ๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นี่คืออิทธิพลของสื่อที่ดึงเอาความสนใจของเราไปเสียแล้ว

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ควรรู้เท่าทันสื่อ ยังมีเรื่องของสื่อที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  การถอดความหมายเดิมและสร้างความหมายใหม่  การผลิตซ้ำเพื่อตอกย้ำความคิดให้คล้อยตาม  การกำหนดวาระ การเปิดเผยบางส่วน ที่สื่อนั้นสามารถสร้างภาพ สร้างค่านิยม ความคิด และทัศนคติของเราได้

ขอบคุณพระเจ้าที่พระวจนะของพระองค์  เป็นความจริง และความจริงนี้ทำให้เราเป็นไท สามารถช่วยให้พ้นจากบ่วงแร้วของมารซาตาน และสิ่งล่อลวงได้  (ยอห์น 8.31, สุภาษิต 3-7)  ดังนั้นให้เราหันมาใส่ใจกับความจริงของพระเจ้าให้มากขึ้น และใช้วิธีการสื่อสารของพระองค์ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต โดยใช้เทคโนโลยี และสติปัญญาอันชาญฉลาดที่ทรงมอบให้มานั้นทำให้การสื่อสารเป็นช่องทางที่จะนำความรอด ความหวัง ความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่มนุษย์โลกให้มากขึ้น  อย่าปล่อยให้สื่อตกเป็นเครื่องมือของซาตานแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป

เริ่มต้นรู้เท่าทันเสียตั้งแต่วันนี้  เพื่ออนาคตของชีวิตและคริสตจักรอันมีสง่าราศีของพระเจ้าสมกับเป็นบุตรที่รัก และลูกแห่งความสว่างของพระองค์  
...เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี   อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา   แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส   เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา   แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร  (อ่าน เอเฟซัส 5.1-17)
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

06 กรกฎาคม 2562

ระวังภัยจากโลกออนไลน์ : Be careful Online world ! โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

ระวังภัย(ฝ่ายวิญญาณ)จากโลกออนไลน์
Be careful Online world ! โดย  บัณฑิต  ดาแว่น

คุณคิดอย่างไรต่อคำเตือนของพระเจ้าที่กล่าวว่า...

ท่านทั้งหลายจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  เพราะว่าประชาชาติเหล่านี้   ซึ่งท่านกำลังจะไปขับไล่นั้นเชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย   แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไม่ทรง ยินยอมให้ท่านกระทำเช่นนั้น  (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:13-14)

คริสเตียนไปดูหมอหรือไปหาคนทำนายทายทักได้หรือไม่ ?
คำตอบจากพระคัมภีร์ชัดเจนว่า "ไม่ได้"
เมื่อพระเจ้าบอกว่า "ไม่ได้" แปลว่า "ไม่ได้"  และสามารถพลิกแพลงเป็นแบบอื่นได้หรือไม่.... ?  ก็ "ไม่ได้" อยู่ดี จริงมั้ยครับ !

โลกยุคเทคโนโลยี (Technology)มีการพัฒนาการอย่างรวดเร็ว  เล่ห์เหลี่ยมของมารซาตานและสิ่งชั่วร้ายที่มันได้ชื่อว่าเป็นพ่อแห่งการมุสาก็พัฒนาไปตามเทคโนโลยีเช่นกัน 

ดังนั้น...  คริสเตียนจึงต้องระวังภัยที่มากับเทคโนโลยีจากโลกออนไลน์ (Online) ที่เรียกว่า โซเชี่ยล มีเดีย (Social media) ให้มากขึ้น 
หากไม่ระวังจะกลายเป็นเหยื่อ และตกอยู่ภายใต้การครอบงำแบบไม่รู้ตัว ! 

ดังที่สังเกตเห็นหลายคนเผลอไปใช้แอพพลิเคชั่น (Application) ที่เสนอรูปแบบน่าสนใจ
เช่น ...
อยากรู้มั้ยว่าอนาคตคุณจะเป็นอย่างไร 
คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ 
คุณจะร่ำรวยแค่ไหน
ชื่อของคุณมีความหมายอย่างไร 
หน้าตาคุณเหมือนดาราคนไหน
คุณมีคนรักหรือเกลียดมากน้อยแค่ไหน...  บางคนเลยเถิดไปถึงคลิกเพื่ออยากรู้ว่า ภรรยาในอนาคตจะหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งๆที่มีภรรยาอยู่แล้ว...!!  อย่างนี้เป็นต้น


คุณเห็นด้วยหรือไม่ ? ว่านี่คือหมอดูหรือการทำนายทายทักในยุคเทคโนโลยี  ที่พระเจ้าสั่งห้ามไม่ให้คนของพระองค์เข้าไปเกี่ยวข้อง !
“เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน   ท่านอย่าเรียนรู้ที่จะกระทำสิ่ง พึงรังเกียจตามประชาชาติเหล่านั้น อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชาย หรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ   อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย  เป็นหมอดู   เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์  หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี   เป็นคนทรง  เป็นพ่อมด  แม่มด  หรือเป็นหมอพราย ผู้ใดที่กระทำอย่างนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจแด่พระเจ้า   เพราะกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้   พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จึงทรงขับไล่เขาเสียจากท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:9-12)

หาก "เห็นด้วย" ว่า "ใช่"  คุณคิดว่าควรทำอย่างไรกับโลกออนไลน์ในโซเชี่ยลมีเดีย และแอพพลิเคชั่นรูปแบบนี้ ?

ฝากไว้ให้คิด... ก่อนที่ชีวิตจะประสบภัยทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ นะครับ

 (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

03 กรกฎาคม 2562

ยิ่งถูกยิ่งต้องถ่อม : More right...More humble. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

ยิ่งถูกยิ่งต้องถ่อม : More right...More humble.  โดย บัณฑิต  ดาแว่น

หยิบ Tablet ขึ้นมาเขียนต้นฉบับบทความนี้ขณะนั่งรอเครื่องกลับไทยที่สนามบิน Miami Florida, USA.  หลังทบทวนหลายเรื่องราวที่มีโอกาสพบปะและสนทนากับบรรดาพี่น้องในพระคริสต์ตลอดเดือนเศษๆที่มารับใช้ในพันธกิจแห่งการสอนพระวจนะของพระเจ้า  มีหลากหลายประเด็นที่ยังอยู่ในห้วงคิดคำนึง แต่ขอเริ่มจากเรื่องที่คุกรุ่นมาในใจตอนนี้ก่อน...
พระเยซูสอนเรื่องทัศนคติต่อความโกรธที่ชักนำไปสู่การฆาตกรรม  ทั้งฆ่าด้วยการกระทำและความคิด ซึ่งนำความผิดและการลงโทษมาสู่ผู้กระทำได้  จะทำอย่างไรจึงจะตัดไฟแต่ต้นลม  ขอเสนอหลักการจากคำสอนของพระเยซู
"เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้วและระลึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่านจงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชากลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน..." (Matt 5:23-24 )

ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาตแค้น เป็นเหตุให้มีการฆ่าฟันรันแทง และการกระทำอันรุนแรงเกิดขึ้น  หลายครั้งมักเกิดเมื่อมีคู่กรณี มีปัญหาคาใจ และใช้วิธีการแก้ปัญหาไม่ถูกทาง  ยิ่งในระหว่างทางนั้นมีการสาดสีตีข่าว และป่าวร้องตะเบ็งเสียงใส่กันและกันด้วยอารมณ์ดุดัน หุนหันพลันแล่น ยิ่งทำให้ยั่วโมโหเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ  คำพูด คำด่าทอ คำสาปแช่งก็จะหลุดออกมาอย่างพายุกระสุน แทบไม่ติดขัดหรือซ้ำถ้อยคำเลยทีเดียว
อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตและสังคมของมนุษยชาติไปแล้ว !  ขับรถปาดหน้ากัน เปิดไฟใส่หน้าคู่กรณี มีโอกาสกลายเป็นฆาตกรได้ง่ายๆ   คู่สามีภรรยาตะบันหน้าเข้าหากันด้วยความรุนแรง ทั้งที่มีเหตุเพียงน้อยนิด แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมแบบยกครัว เรื่องเหล่านี้มีให้เห็นเป็นอาจิณ จนเกือบเป็นความชินชาของชีวิตและสังคม
เมื่อมีปัญหาและต้องเผชิญหน้ากับคู่กรณี  หาทางออกอย่างไรดี มีข้อคิดมาฝากกันตรงนี้

หนึ่ง หันหน้าเข้าหาพระเจ้า  นำเครื่องบูชามาหาพระองค์  โดยการใช้เวลากับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอด้วยการอธิษฐาน  การอ่านพระคัมภีร์ มีความร่วมมือกับพี่น้องผู้เชื่ออย่างต่อเนื่อง  ช่วยหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว และในสังคมไปได้มากเพราะการหันหน้าเข้าพระเจ้าทำให้คุณไม่อาจเทียบกับใครแต่หัวใจมอบไว้แด่พระองค์ได้มากขึ้น จึงจดจ่ออยู่ที่พระทัยพระเจ้ามากกว่าความสะใจของมนุษย์

สอง  สำรวจชีวิต คิดหาทางแก้ไข  ด้วยการคิดใคร่ครวญ ทบทวนชีวิตว่ามีอะไรที่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน หรือเป็นเหตุทำให้คนข้างๆต้องงอนค้อนและนอนหันหลังให้ในยามค่ำคืนหรือไม่  คิดถึงทั้งคนที่อยู่ใกล้และไกล มีใครที่ต้องรับผลกระทบจากคำพูด การกระทำ จากการใจจืดใจดำของตนหรือไม่  ทำให้เพื่อนมนุษย์ต้องเจ็บปวดทุกข์ใจ และทำให้พระบิดาในสวรรค์ต้องเสียพระทัยหรือไม่  โปรดใส่ใจทบทวน เพื่อไม่ให้มันมารบกวนจิตใจและขวางกั้นในการเข้าเฝ้าพระเจ้าได้อีก

สาม ไม่สำคัญว่าใครเป็นฝ่ายผิด แต่คนที่คิดแก้ไขนั้นน่ายกย่อง เมื่อระลึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ค้างคาใจกับใครบางคน แม้ตนจะเป็นฝ่ายถูกกลับยิ่งต้องถ่อมลงเพื่อหาข้อตกลงและนำการคืนดีที่มีสันติภาพเกิดขึ้นให้ได้  "การเป็นฝ่ายไปขอการคืนดีมิใช่เป็นคนอ่อนแอ แต่เป็นคนฉลาดและเป็นการแสดงความมีวุฒิภาวะของผู้ใหญ่ที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง"  ยิ่งเป็นฝ่ายถูกยิ่งต้องระวัง เพราะคุณอาจไม่ยอมฟังใคร แล้วสุดท้ายกลายเป็นเรื่องใหญ่ตามมาได้

สี่ ให้หาทางกลับไปคืนดีก่อน จึงค่อยกลับคืนมาหาเครื่องบูชาที่วางไว้  เพราะพระเจ้าใส่ใจในความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง กับคนร่วมทาง และระหว่างเพื่อนมนุษย์  พยายามอย่าขุดคุ้นความผิด แต่พยายามคิดหาทางคืนดีให้ได้  อย่าให้เวลาผ่านเลย อย่าให้มารหรือใครมาใช้โอกาสเสี้ยมให้เขวไปจากความเป็นจริง พยายามทิ้งความโกรธ เกลียด เคียดแค้น และย้ายมาสู่แดนแห่งความรักให้ได้

ห้า  กลับมาหาพระเจ้าและเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์  จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นั้นขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ผุดผ่องของชีวิตและจิตใจของแต่ละคน  ดังนั้นให้หันกลับมาหาพระเจ้าหลังจากการคืนดีกับพี่น้องผองเพื่อน  อย่าให้ความขุ่นข้องหมองใจกลายเป็นกำแพงระหว่างคุณกับพระเจ้าอีกต่อไป  เพราะพระเจ้าสามารถให้กำลังในการทำสิ่งดีต่อไปได้
เมื่อมีเหตุขัดเคืองกับใคร เป็นไปได้ความผิดอยู่กับทุกฝ่าย  แต่หากใครเป็นฝ่ายทำให้เกิดการคืนดี ย่อมมีพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  ใครทำได้ก่อนย่อมเป็นฝ่ายชนะและแสดงความเป็นผู้นำที่เหนือกว่า ซึ่งหมายถึงการยอมถ่อมลง แม้เป็นฝ่ายถูก เรียกว่า “ยิ่งถูก ยิ่งต้องถ่อม และยอมหาทางคืนดี” นี่แหละคือผู้ชนะและผู้ยิ่งใหญ่ที่น่านับถืออย่างแท้จริง
ทิ้งความผิดความถูกสักครู่แล้วลองพิจารณาดูทั้งห้าข้อที่เสนอมา  เชื่อว่าจะช่วยได้มากทีเดียว

"เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย" (Matt 6:14)

ขอแสดงความยินดีและความนับถือมา ณ ที่นี่ ด้วยนะครับ !
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)