21 เมษายน 2562

Victory Sunday...ตามพระเยซูไปให้ถึงชัยชนะ โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ. บัณฑิต  ดาแว่น

Victory Sunday...ตามพระเยซูไปให้ถึงชัยชนะ 

พระเยซูจึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า   “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา   ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง   และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน   และตามเรามา 24เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด   ผู้นั้นจะเสียชีวิต   แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา   ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 2พราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก   แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร Luke 9:23-25
And he said to all, If anyone would come after me, let him deny himself and take up his cross daily and follow me

อิสเตอร์(Easter)...วันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในเช้าวันอาทิตย์ จึงเรียกวันนี้ว่า Victory Sunday  เป็นช่วงเวลาของเทศกาลปัสกาของชาวยิวที่ระลึกถึงการออกจากการเป็นทาสอียิปต์...นับจากเวลาที่พระเยซูคริสต์ทำทุกอย่างสำเร็จตามแผนการณ์ของพระเจ้า  เทศกาลปัสกากลายมาเป็นการระลึกถึงการตายเพื่อไถ่บาป และการเป็นขึ้นมาเพื่อแสดงถึงชัยชนะเหนือความตาย  ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์(ยน.3.16)
เทศกาลอิสเตอร์ ได้ดำเนินมา 2019 ปีแล้ว  แต่น่าเสียดายหลายคนไม่เคยเข้าถึง ไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยมีประสบการณ์แห่งชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตของตนเองอย่างแท้จริงเลย...เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ?
สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเหล่าสาวกของพระเยซูเช่นกัน ก่อนที่พระเยซูจะทำทุกอย่างสำเร็จ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพระเยซูจึงพูดอย่างนั้น ทำไมจึงทำอย่างนั้น เช่น เมื่อพระเยซูตรัสถึงการทนทุกข์ทรงมานของพระองค์ หลังจากการปรากฏกายร่วมกับโมเสสและเอลียาห์บนภูเขา และเมื่อลงมาพวกสาวกขับผีจากเด็กไม่ออก...ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ...เพราะพวกเขาขาดความเชื่อ และความเข้าใจ
พระเยซูตำหนิคนที่ขาดความเชื่อ และมีทิฐิชั่ว (ความคิด และความตั้งใจในความชั่ว)
พระเยซูตรัสตอบว่า   “โอ   คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว   Luke 9:37-42
สาวกของพระเยซูยังไม่เข้าใจ ไม่กล้าถาม และทำในสิ่งที่ไม่ถูกทาง (แย่งกันเป็นใหญ่)
พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า  “ท่านทั้งหลายจงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน   เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือมนุษย์” แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่   ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา   เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ   และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น  แล้วเหล่าสาวกก็เกิดเถียงกันว่าในพวกเขาใครเป็นใหญ่ Luke 9:42-46

พระเยซูพยายามช่วยให้พวกเขาเข้าใจ เข้าถึง และทำในสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น...ว่าการจะไปให้ถึงเป้าหมายแห่งชัยชนะได้นั้นต้องทำอย่างไรบ้าง ?  ต้องทำ 3 ต้อง  คือ
หนึ่ง...ต้องเอาชนะตนเองให้ได้   สอง...ต้องรับผิดชอบตนเองให้ได้ และ สาม...ต้องตามพระเยซูไปให้ได้

1. ต้องเอาชนะตนเองให้ได้
พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า   “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา   ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง   และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน   และตามเรามา
เอาชนะตนเอง หมายความว่า ต้องชนะตนเอง...อย่ายอมแพ้  เพราะแต่ละคนมีความเป็นตัวตนของตัวเอง และแนวโน้มของตัวตนของมนุษย์คือ ความชั่ว (ปฐก.6.5)
พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน   และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่อง ร้ายเสมอไป Genesis 6:5
อิสเตอร์ ปีนี้ ต้องเอาชนะความคิดฝ่ายชั่วของตนเองให้ได้ เพราะเค้าโครงความคิดของเรามักชักนำในทางชั่ว  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราสามารถเอาชนะได้  โดยจดจ่อความคิดไปทางทางแห่งความจริง และให้ความคิดของพระเยซูควบคุมความคิดของเราให้ได้  ดังที่อาจารย์เปาโลแนะนำการแก้ไขปัญหาเรื่องความคิดวิตก กังวล และความคิดในการแค้นแค้นชิงชัง การทะเลาะเบาะแว้งกันของผู้เชื่อในคริสตจักรฟิลิป์ปีว่าให้คิดถึงสิ่งที่จริง   สิ่งที่น่านับถือ   สิ่งที่ยุติธรรม   สิ่งที่บริสุทธิ์   สิ่งที่น่ารัก   สิ่งที่ทรงคุณ   คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ   สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ   ก็ขอจงใคร่ครวญ(คิด)ดู  และที่สำคัญคือให้อธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า เพื่อให้สันติสุขของพระคริสต์คุ้มครองความคิดจิตใจตามทางของพระเยซู (Philippians 4:6-8)

2.  ต้องรับผิดชอบตนเองให้ได้
พระเยซูใช้คำว่า...รับกางเขนของตนแบกทุกวัน
คำว่า "กางเขน" หมายถึงความตาย  และภาระที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบ  รวมทั้งเป้าหมายในชีวิตที่ต้องถูกตรึงไว้ที่กางเขน  เป็นการทำตามแผนการณ์ของพระเจ้า  คือการยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อพระเจ้า เพื่อผู้อื่น  ดังที่พระเยซูพูดต่อไปในข้อ 24   24เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด   ผู้นั้นจะเสียชีวิต   แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา   ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง วิธีการของพระเจ้าต้องการให้เราเสียสละก่อนถึงจะได้รับกลับคืน  แต่วิธีของโลกคือยื้อแย่งมาเป็นของตนเองให้ได้ก่อน  พระเยซูบอกว่าการทำอย่างนั้นยิ่งกลับทำให้สูญเสียมากยิ่งขึ้น  ด้วยเหตุนั้นพระเยซูจึงให้คิดถึงตนเอง  รับผิดชอบตนเองให้ได้ ไม่ใช่คิดถึงว่าคนอื่นจะได้มากกว่าหรือน้อยกว่าตนเอง  นั่นไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง  หน้าที่ของตัวเองคือ รับผิดชอบตนเองให้ได้  คือแบกกางเขนของตนเองไว้ (ทุกวัน) บางคนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น จึงไม่ได้รับผิดชอบตนเองเท่าที่ควร
อาจารย์เปาโลสอนว่า ให้รักษาระเบียบวินัย  รักษาเป้าหมาย และทำอย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนนักกีฬา ที่มุ่งหวังชัยชนะ และนักมวยที่ต้องฟิตซ้อมเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน   แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว   เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้ ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ   เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้   แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย   ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม  แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ   เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว   ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ I Corinthians 9:24-27

3.  ต้องตามพระเยซูไปให้ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บอกกับตัวเองเสมอว่า "ต้องตามพระเยซูไปให้ได้"   นี่คือเคล็ดลับการไปสู่ความสำเร็จ และชัยชนะ  เพราะหากเราตามพระเยซูอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จะได้รับแบบอย่าง กำลังใจ และพลังจากพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้
น่าเสียดายที่เบื้องต้นมีผู้คนตามพระเยซูมากมาย แต่พวกเขาไปไม่ถึงไหน เพราะสนใจแต่เรื่องที่จะได้กินอาหารอิ่มจากการเลี้ยงด้วยขนมปังและปลา  บางคนสนใจแค่ต้องการเห็นการอัศจรรย์  บางคนสนใจแค่รักษาประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถตามพระเยซูได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นอย่าให้ความสนใจเรื่องปากท้อง เรื่องความพึงพอใจที่ได้เห็นตามที่ต้องการ หรือ การทำเพื่อตนเองฝ่ายเดียวทำให้เราออกจากเส้นทางของพระเจ้าในการตามพระเยซู  แม้มันจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายในชีวิต แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว อย่าหันหลังกลับเด็ดขาด
พระเยซูตรัสกับเขาว่า   “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้ว   หันหน้ากลับเสีย   ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า”  Luke 9:62

อิสเตอร์ ปีนี้ต้องตามพระเยซูไปให้ได้ ไปให้ถึงการเป็นขึ้นมาจากตาย และร่วมเป็นขึ้นมากับพระองค์ให้ได้  เพราะพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่เราไปรับความสำเร็จนั้นด้วยตัวเองให้ได้  ดังอาจารย์เปาโลตั้งใจแน่นแน่เสมอว่า... ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์   และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช   เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น   และร่วมทุกข์กับพระองค์   คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย Philippians 3:10-11

อิสเตอร์...เราจะตามพระเยซูไปให้ถึงชัยชนะ โดย...
+  ต้องเอาชนะตนเองให้ได้ 
+  ต้องรับผิดชอบตนเองให้ได้
+  และต้องตามพระเยซูไปให้ได้

คุณพร้อมจะไปด้วยกันมั้ยครับ ?

                                                                                                                            (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)


19 เมษายน 2562

Good Friday..."พระเยซูตายเพื่อให้เราอยู่" โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

Good Friday
"พระเยซูตายเพื่อให้เราอยู่" 

 6ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง   พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม 7ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง   แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ 8แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย   คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น   พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์   ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ 10เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์   โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์   ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว   เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่  Romans 5:6-10

พระเยซูตายในขณะที่เราสมควรตาย !
นับตั้งแต่วันอาทิตย์ ถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ละวันมีสิ่งที่น่าจับตามมอง คือ อาทิตย์ พระเยซูคริสต์เสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม  จันทร์ ชำระพระวิหาร อังคาร สั่งสอนในพระวิหาร พุธ มีแผนการร้ายต่อพระเยซู พฤหัส อาหารมื้อสุดท้าย วันศุกร์ ถูกตรึงบนกางเขน           
แม้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวนาน แต่มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติไปตลอดกาล  โดยเฉพาะ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์
วันศุกร์ ที่กลายเป็น ศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) เพราะ พระเยซูยอม "ทนทุกข์" แทนเรา หากไม่อย่างนั้น เราอาจต้องโดนต้มจน "สุก" ในเมืองไฟนรกเป็นแน่ !
วันเสาร์ เป็นวันสะบาโตที่สุดเศร้า สำหรับใครหลายๆ คน เช่น สาวกพระเยซู และคนที่ติดตามพระองค์ (บางครั้งเรียกวันเงียบ) คือ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทั้งที่วันสะบาโต เป็นวันที่ใช้เวลานมัสการพระเจ้า ไม่ควรจะโศกเศร้า  แต่วันเสาร์ของพระเยซู เป็นวันที่พระองค์ทรงอยู่แต่ลำพัง และอาจเป็นเวลาที่พระองค์ต้องเป็นผู้รับหน้าแทนเราทั้งหลายในบึงไฟนรก ไม่ใช่เพราะพระองค์ต้องตกนรก แต่ไปประกาศชัยชนะเหนือบาปและความตายในพระนามพระเยซูผู้ทรงพระชนม์ (I Peter 3:18-19ม John 20:17)
วันอาทิตย์ เป็นวันที่ไม่มีใครคาดคิด กลายมาเป็นวันแห่งชัยนะ และนำผู้คนมานมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์ และกลายเป็นวันหยุดสากลมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะอำนาจของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้จักรพรรดิโรมผู้เกรียงไกร ต้องใส่ใจพระนามของพระเยซู
หากพระเยซูไม่ตาย คนที่สมควรตายคือคุณและผมแน่นอน !  เพราะผลของความบาปคือความตาย ! (รม.6.23) แล้วใครจะสามารถรอดได้ เพราะ เราอ่อนแอเหลือเกิน  ทั้งขาดกำลัง ทั้งบาปหนา และ เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ทั้ง 3 ประการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า "ไม่รอดแน่" !!
แต่....  
- ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง   พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม
- ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น   พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
- ขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์  
                                                            โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์  
นี่คือข่าวดี นี่คือทางออก นี่คือทางรอด  พระเยซูตายเพื่อคนที่สมควรตายอย่างเราแล้ว !
หากวันนี้คุณยังมัวคร่ำครวญกับชีวิตที่ทุกยากลำบากอยู่ต่อไปจนไม่เป็นอันกินอันนอน เท่ากับเรากำลังละเลยพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อเรา  คือ ทรง "ตาย"  เพื่อคุณและผม  เท่านี้เพียงพอหรือไม่ที่เราจะเชื่อและไว้วางใจในพระองค์
           
แม้ว่าเราสมควรตาย แต่พระเจ้ายังไม่ต้องการให้ตาย จนกว่าจะทดแทนพระคุณของพระองค์โดยการรับใช้พระเยซู ทำตามพระดำรัสของพระองค์ให้สุดชีวิตเสียก่อน เหมือนอาจารย์เปาโลที่ตั้งปฏิญาณไว้ว่า ขออยู่เพื่อรับใช้
                21เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น   การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์   และการตายก็ได้กำไร 22ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย   ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล  ...24แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน 25เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว   ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่   คืออยู่กับท่านเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ 26เพื่อว่าเพราะข้าพเจ้า   ความปลาบปลื้มของท่านก็จะมากยิ่งขึ้นในพระเยซูคริสต์   เพราะว่าข้าพเจ้าจะมาหาท่านอีก   Philippians 1:21-26

พระเยซูตาย เพื่อให้เราอยู่
ดังนั้น ขอให้อยู่อย่างสมศักดิ์ศรีด้วยนะครับ !


                                                                                                                                                        (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

13 เมษายน 2562

"Palm Sunday" วันอาทิตย์ทางตาล... ความจริงที่โลกควรรู้ โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย ศาสนาจารย์ บัณฑิต ดาแว่น 

 "Palm Sunday" 
วันอาทิตย์ทางตาล... ความจริงที่โลกควรรู้ 

 วันนี้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างยิ่งใหญ่ ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน เรียกว่า ปาล์มซันเดย์ (Palm Sunday) เป็นการแสดงความยินดีต้อนรับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พระคัมภีร์ในหมวดพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มได้บันทึกไว้หลายมุมมอง ปรากฏใน มัทธิว 21.1-11, มาระโก 11.1-11 ลูกา 19.28-44 และ ยอห์น 12.12-19 เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้าย ในการทำพันธกิจที่สำคัญของพระเยซูคริสต์ในโลกนี้ในฐานะพระบุตรที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นช่วงเวลาของเทศกาลปัสกาของคนยิว เพื่อระลึกถึงการช่วยกู้ออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ มีการเฉลิมกันเป็นประจำทุกปีช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน
พระเยซูกับเหล่าสาวกเดินทางมาจากทิศตะวันออก ตามเส้นทางเมืองเยริโค สู่ เยรูซาเล็ม (มธ.21.1 ) ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ ...
เบธฟายี Bethphage = House of figs. หรือ บ้านมะเดื่อ อยู่บนภูเขามะกอกเทศ ลูกาบันทึกว่า บ้านเบธฟายีและบ้านเบธานี ซึ่งเป็นบ้านของมารีย์ มารธาและลาซาลัสเพื่อนสนิทของพระเยซู (ลก.19.29,มก.11.11)ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณ 3-4 กิโลเมตร  พระเยซูมอบหมายให้สาวก 2 คน เข้าไปในหมู่บ้าน นำลูกลามาให้พระองค์ขี่เข้าไปในเยรูซาเล็ม (มธ.21.2) ปกติก็เดินไปเองตลอดแต่ครั้งนี้ใช้ลูกลา เพราะต้องการให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ที่ เศคาริยาห์ บันทึกไว้ว่า (Zechariah 9:9)ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้องดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลาทรงลูกลา
การขี่ลูกลานั้นมีสัญญาลักษณ์ 3 ประการ คือ
1. เป็นการแสดงความถ่อมใจของผู้ทรงลานั้นตามคำพยากรณ์ (มธ.21.5)จงบอกชาวศิโยนว่า กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงลา ทรงลูกลา (Isa 62:11; Zech 9:9; John 12:15) 
2. เป็นสัญญาณว่า เชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดกำลังเสด็จมาครองบัลลังก์อีกครั้ง และจะนำพาอาณาจักรอิสราเอลพ้นจากการเป็นเชลยของอาณาจักรโรมัน โดยไม่ต้องถูกกดขี่ข่มแหง ถูกขูดรีดภาษี และใช้แรงงานเยี่ยงทาสอีกต่อไป (มธ.21.9) ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด” (Ps 118:25-26;) 
3. เป็นเครื่องหมายแสดงถึงผู้ที่เสด็จมานั้นมีอำนาจในการพิพากษาตัดสินผู้ขัดขวางกิจการของพระเจ้า ตามคำสอนของผู้วินิจฉัย บทที่ 5 ข้อ 10 ว่าลาเป็นพาหนะของผู้พิพากษา ฝูงคนให้การต้อนรับด้วยการปูเสื้อผ้า วางกิ่งไม้ และกิ่งปาล์ม ลงตามทางเดิน เพื่อให้พระเยซูเดินไปบนนั้น พร้อมทั้งโห่ร้องสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่ ว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด” ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ทุกประการ

คำว่า "โฮซันนา" เป็นภาษายิว หมายความว่า "ขอโปรดช่วยเราให้รอด บัดนี้ด้วยเถิด"  พวกเขาคาดหวังและเชื่อว่า พระเยซูจะมาช่วยเขาให้รอดจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม ยังมีบางคนสงสัยว่าผู้ที่มานั้นเป็นใคร และได้คำตอบว่า เป็นผู้เผยพระวจนะ (Matt 21:10-11) เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า “ใครหนอ” ฝูงชนก็ตอบว่า “นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะ ซึ่งมาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี”
มีทั้งคนโห่ร้องยกย่องสรรเสริญ มีทั้งคนสงสัย และมีคนไม่พอใจและหาทางกำจัดพระองค์เสีย คือกลุ่มพวกฟาริสี ที่ต้องการให้พระเยซูสั่งให้ผู้ติดตามหยุดการกระทำดังกล่าว ตามที่นายแพทย์ลูกาบันทึกไว้ ลูกา19.39-40 ว่า ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”

ปาล์มซันเดย์ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของพระเยซู ต้นปาล์ม เป็นสัญญาลักษณ์ถึงความชอบธรรม และชีวิตที่เจริญฝ่ายจิตวิญญาณของลูกของพระเจ้า(สดด.92.12-15) ปาล์ม เป็นต้นไม้ที่เขียวชอุ่มอยู่เสมอ มีอายุยืน ตั้งตรงตระหง่าน มีรากลึก ลำต้นผลิตน้ำมันล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 (Luke 19:41) ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้ว ก็กันแสงสงสารกรุงนั้น

นายแพทย์ลูกา (ลก.19.41-44) เป็นคนเดียวที่บันทึกไว้ว่า เมื่อเสด็จเข้ามาแล้ว พระเยซูทรงร้องไห้สงสารกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้ แต่ผู้คนไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็เป็นไปตามนั้นจริง คืออีก 40 ปีหลังจากพระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็มครั้งนี้และกล่าวคำพยากรณ์ไว้ กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมในปี คศ. 67-70 และถูกเผาทำลายลง โดยแม่ทัพของอาณาจักรโรมในการนำของจักรพรรดิติตัส (Titas)
ทำไมพระเยซูร้องไห้สงสารกรุงเยรูซาเล็ม ? เพราะเมื่อมองเห็น เยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ที่ปู่ทวดของพระองค์ คือกษัตริย์ดาวิดทรงสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่(กคศ.1005-967) และ กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหารอย่างยิ่งใหญ่สง่างามเต็มไปด้วยทองคำทั้งหลัง(กคศ.965-922) ผ่านกาลเวลามานับพันปี แต่อีกไม่นานจะถูกถล่มพังราบลงมาอย่างแน่นอน เพราะผู้นำและประชาชนไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ประเด็นสำคัญคือ พระเยซูสงสารผู้คนในเมืองที่จะต้องทนทุกข์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างน่าเวทนา นั่นเอง

 การเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม... ครั้งนี้....มีความจริงที่ควรเข้าใจอะไรบ้าง ? 

1. พระเยซูเลือกที่จะทำตามแผนการของพระเจ้า 
พระเยซูมีทางเลือกที่จะเอาตัวรอด แต่กลับเลือกที่จะทำตามแผนการของพระเจ้าเพื่อช่วยเราให้รอดแทน การเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม สำหรับพระเยซู คือ การเข้าไปหาความตาย...นี่คือสิ่งที่หลายคนในเวลานั้นที่นำกิ่งไม้ เสื้อผ้ามาปูตามถนนและโห่ร้องชัยโยนั้นไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะพวกเขาคิดเฉพาะส่วนที่ตัวเองอยากได้ คือต้องการให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ เพื่อปลดปล่อยจากการเป็นทาสของโรม บางคนคิดเพียงแค่พระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาอย่างยิ่งใหญ่ และพวกเขาจะได้เห็นการอัศจรรย์อีก บางคนเพียงแค่สงสัยว่า คนนี้เป็นใครหนอ แต่ก็ยังมาร่วมขบวนของฝูงชน คือเห็นคนอื่นมาก็มาด้วยโดยไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น บางคนเห็นพระเยซูเป็นศัตรูและหาทางกำจัดพระองค์ให้พ้นทางและรักษาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
พระเยซูเลือกที่จะเข้าหาความตาย เพื่อจะได้สำเร็จตามแผนการของพระเจ้าในการไถ่บาปด้วยการตายบนไม้กางเขน การเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นการตัดสินใจของพระองค์ แม้หลายคนยังไม่เข้าใจแต่พระองค์เลือกที่จะทำเพื่อเราทุกคน (John 12:16) ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงประสบเกียรติกิจแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์ 
พระองค์เลือกที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับคนของพระองค์ เหมือนที่โมเสสยอมกลับไปอียิปต์ตามพระบัญชาของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ยอมเป็นมหาปุโรหิตที่ทำหน้าที่แทนปวงชนแม้ตนเองจะต้องทนทุกข์ก็ตาม ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า...เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ (Hebrews 4:15-16)

 2. พระเยซูทำในสิ่งที่เหมาะสม ถูกต้อง ถูกที่ และถูกเวลา 
 เหตุผลที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม และพร้อมจะตายแทนเราเพราะ...ถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว ! แม้จะรู้ดีว่ากำลังเดินเข้าสู่ความตาย แต่ยังตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นด้วยใจแน่วแน่ แม้ในส่วนของความรู้สึกที่ไม่อยากไปก็เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ ยอห์น ลูกศิษย์คนสนิท บันทึกว่า พระเยซูพูดกับน้องๆ ของพระองค์ว่าจะไม่ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพราะยังไม่ถึงเวลา ซึ่งหมายถึง ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องตายบนไม้กางเขนในตอนนั้น (ยอห์น 7.6 )พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกท่านมีอยู่เสมอ... เช่นเดียวกับตอนที่ มารีย์ มารดาของพระองค์ขอให้ช่วยในงานสมรสที่กำลังขาดเครื่องดื่มสำคัญ พระองค์ก็บอกว่า เวลาของเรายังมาไม่ถึง (ยน.2.4)
พระเยซูมีสิทธิที่จะเลือกปกป้องรักษาชีวิตของตนเอง แต่เมื่อถึงเวลา ทรงตัดสินใจเลือกที่จะช่วยผู้คนให้รอด และสละชีวิตของพระองค์แทน ดังที่อาจารย์เปาโลกล่าวยกย่องไว้ในพระธรรมฟิลิป์ปี 2.5-8 ...ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน...
ความจริงแล้ว คนที่สมควรตาย ไม่ใช่พระเยซู แต่ คือเราทุกคน เพราะบาปที่มีอยู่ในชีวิต แต่พระเยซูเลือกที่จะไปตานแทนเรา...นี่คือพระคุณอันประเสริฐของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา...ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า และทำความเข้าใจความรู้สึกของพระเยซูคริสต์ให้ดีเสมอ ว่าทรงรู้สึกอย่างไร

 เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็พร้อมที่จะช่วยเรา ! 
พระคัมภีร์โรมกล่าวว่า ...ขณะที่เรายังขาดกำลัง...ขณะที่ยังเป็นคนบาป...ขณะที่ยังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า...พระเยซูได้ทรงมาช่วยเราในเวลาที่เหมาะสม

 (Rom 5:6,8,10) ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่

จงรอเวลาของพระเจ้า !! 
ข้อพระคัมภีร์ประจำวัน 13 เมษายน หนุนใจผมว่า (Psalms 46:10) “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก”
ขอให้อดทนและรอคอยจนกว่าจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า อย่าหนี อย่าห่าง อย่าหาย อย่าไปไกลจากพระเจ้า...อาเมน !! เพราะเมื่อถึงเวลา พระเจ้า พระเยซู นามแห่งการช่วยให้รอดทรงช่วยได้แน่ !!

ขอเตือนว่า อย่ารีบร้อนทำอะไรก่อนจะถึงเวลาอันควรด้วยนะครับ ! เช่น...คนที่อยากรวยเร็วแบบรีบเร่งก็นำความเสียหายได้ คนที่อยากมีแฟนเร็วๆ รีบชิงสุกก่อนห่ามก็นำปัญหามาสู่ชีวิต คนที่ใจร้อนหุนหันพลันแล่นก็นำอันตรายมาเช่นกัน...เพราะหลายคนที่ทำอะไรก่อนเวลาอันควรนั้น มักนำความเสียหาย และอันตรายมาถึงชีวิตได้

 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีการเดินทางกันมาก การขับขี่ยาพาหนะก็อย่าได้รีบเร่งและขับเร็วเกินกำหนด เพราะอาจเป็นอันตรายได้...เมื่ออากาศร้อน อย่าใจร้อนเกินเหตุ อาจมีคนเมา คนที่คุยไม่รู้เรื่อง คนที่สาดน้ำใส่หน้า หรือใช้ท่าทีวาจาที่ไม่ดี แต่อย่าได้ตอบแทนการชั่วด้วยการชั่ว เพราะหากใจร้อนเกินควรก็จะนำพาปัญหามาสู่ชีวิตได้ ขอให้ชีวิตดำเนินไปตามเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนนะครับ

3. พระเยซูเลือกที่จะทำตามพระทัยพระเจ้า 
พระเยซูแบกรับความคาดหวังจากประชนที่ติดตามและรอคอยพระองค์อย่างมากมาย พวกเขาต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ ต้องการให้เป็นผู้เผยพระวจนะและสั่งสอนพระคำของพระเจ้า ต้องการให้ทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนตามความต้องการ ทั้งด้านอาหาร ด้านสุขภาพ และชีวิตในสังคม บ้านเมือง และยังมีบางคนต้องการกำจัดพระเยซูด้วย เพราะอิจฉา เกลียดชัง และขัดผลประโยชน์พวกเขา
ความคาดหวังเหล่านั้น มีทั้งสิ่งดี และควรระวัง พระเยซูทรงรู้ ทรงเข้าใจ และทรงได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากให้ได้รับตามต้องการมาแล้ว เช่น ทรงช่วยเจ้าภาพงานสมรสด้วยการทำน้ำธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องดื่มชั้นดีภายในเสี้ยววินาที ทรงรักษาคนเจ็บ คนป่วย คนง่อย คนหูหนวก คนตาบอดให้หาย แม้คนที่ตายไปแล้วก็ช่วยให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้
แต่มีความคาดหวังที่ใหญ่ไปกว่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้พระเยซูกระทำคือ เป็นลูกแกะหัวปีที่จะต้องถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ เพราะถ้าไม่มีเลือดไหลออกจะไม่มีการไถ่บาปได้ และเลือดนั้นต้องเป็นเลือดที่บริสุทธิ์ เต็มใจ และสามารถเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ ซึ่งไม่มีใครเหมาะสมและทำได้นอกจากพระบุตรองค์เดียวของพระบิดาในนาม "พระเยซู" ที่แปลว่า "พระผู้ช่วยให้รอด" เท่านั้น !

ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูเลือกที่จะทำตามพระทัยของพระเจ้า ซึ่งสำคัญกว่า สูงกว่า มั่นคงถาวรกว่า เป็นประโยชน์มากกว่าความคาดหวังของมนุษย์ที่คิดถึงเพียงความต้องการของตนเองฝ่ายโลกนี้และชั่วคราวเท่านั้น
พระเยซูทรงเป็นมากกว่า กษัตริย์ ทรงเป็นมากกว่า ผู้เผยพระวจนะ ทรงเป็นมากกว่าผู้มีฤทธิ์เดชทำการอัศจรรย์ ทรงเป็นมากกว่าผู้นำประชาชนทางการเมืองที่บางคนกลัว แต่ทรงเป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ของชีวิต
ดังนั้นให้เราเรียนรู้ที่จะทำตามแบบอย่างของพระเยซู คือ เลือกที่จะทำตามความคาดหวังของพระเจ้า แทนที่ความคาดหวังของตนเองหรือของมนุษย์ ถ้าความคาดหวังของมนุษย์นั้นตรงกับความคาดหวังของพระเจ้าก็ดี แต่หากต้องเลือก ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าดีที่สุด
ขอให้ตั้งใจที่จะทำตามความคาดหวังของพระเจ้า ต่อไป แม้จะถูกกดดันจากความคาดหวังของสังคมก็ตาม จงกล้าที่จะยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระเจ้า เพราะนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต คนที่มัวแต่ตามความคาดหวังของคนอื่นมักเสียโอกาส แต่คนที่รู้ความคาดหวังของตนเองที่มาจากพระเจ้าจะประสบความสำเร็จได้

การระลึกถึง "Palm Sunday" ในวันนี้ จากเหตุการณ์ที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม ขอให้เป็นโอกาสที่จะนำคุณเข้าสู่ความจริงของพระเจ้าให้มากขึ้น โดย... 
 + ยอมเลือกทำตามแผนการของพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูกระทำ
 + ยอมรอคอยเวลาของพระเจ้าและเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลาอยู่เสมอ
 + และ ยอมทำตามพระทัยในความคาดหวังของพระเจ้ามากกว่าเสียงเรียกร้องของมนุษย์

คุณเข้าใจและพร้อมจะทำตามนี้มั้ยครับ !