18 ธันวาคม 2556

ด้วยมีเด็กคนหนึ่ง เกิดมาเพื่อเรา โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต
ด้วยมีเด็กคนหนึ่ง เกิดมาเพื่อเรา
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

 
ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา  
 มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา  
  และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน  
 และท่านจะเรียกนามของท่านว่า  
  “ที่ปรึกษามหัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  
 พระบิดานิรันดร์  องค์สันติราช”   (อิสยาห์ 9.6)
          "ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา..."   เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์ได้ประกาศไว้ประมาณ 700 ปี ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาประสูติ  จากประวัติศาสตร์และการบันทึกของพระคัมภีร์ พบว่า พระเยซูคริสต์ เกิดที่บ้านเบธเลเฮม แคว้ยยูเดีย  เป็นลูกของโยเซฟ และมารีย์ ผู้เป็นช่างไม้และหญิงสาวชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของอิสราเอล คือ แควันกาลิลี  แต่โดยทางพงษ์พันธ์แล้วเซฟและมารีย์เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากดาวิด กษัติรย์ผู้เกรียงไกรของประเทศอิสราเอล  ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮัมบิดาของชนเผ่า และสืบชาติกำเนิดมาจากอาดัม มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้าง 
          พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าและจักรวาล (ยน.1.1-14) ทรงเริ่มต้นงานของพระองค์ในโลกนี้ฐานะ "เด็ก" คนหนึ่ง  เด็กที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกก็คือ "ทารก" ที่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และทารกนั้นย่อมต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นแทบทุกเรื่อง  แต่สำหรับพระเยซูผู้เป็น "เด็ก" คนนี้นั้น กลับเป็น เด็ก ที่เกิดมาเพื่อคนทั้งหลาย  เป็นความหวังของสังคม ประเทศชาติ เป็นผู้แบกรับภาระของชนชาติทั้งหลายไว้ เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา เป็นผู้ประกอบด้วยฤทธานุภาพ  เป็นพระบิดาตลอดกาล เป็นผู้สร้างสันติสุขให้แก่ชีวิตผู้คนและในโลก  ทุกสิ่งที่พยากรณ์ไว้ ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วปฐพี จากอดีตถึงปัจจุบัน และสืบไปในอนาคต
          สิ่งยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ เกินจะบรรยาย เริ่มต้นจาก "เด็ก" ทารกคนหนึ่งที่เกิดมาในโลกนี้นามว่า "เยซู" ซึ่งหมายความว่า "ผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป"  ทุกอย่างสวนทางกับความคิดของมนุษย์  เพราะมนุษย์มักต้องการเริ่มอะไรจากสิ่งใหญ่ๆ เพราะทำให้รู้สึกถึงพลัง โอกาสที่จะถึงความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และเห็นความยิ่งใหญ่ของตนได้มากกว่าเริ่มจากสิ่งเล็กน้อย  แต่ความคิดของพระเจ้าสูงกว่า ลึกซึ้งกว่า ยาวไกลกว่าความคิดและวิถีทางของมนุษย์  พระองค์ทรงกระทำสิ่งยิ่งใหญ่จากสิ่งเล็กน้อยได้  เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา และไม่ใช่ด้วยอำนาจของมนุษย์ แต่ด้วยฤทธานุภาพอันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้านั่นเอง !  เพื่อจะไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งอวดได้ว่า เป็นเพราะการกระทำของตนเอง  แต่ทั้งสิ่งเป็นไปโดยพระเมตตาคุณของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จ
          ตั้งแต่อยู่ในท้อง พระเยซูทรงให้มารีย์มีความหวังและความสุขใจที่แม้เธอเป็นเพียงผู้เล็กน้อย แต่ได้รับการยกขึ้นอย่างสูง (ลก.1.44-55)  เมื่อเกิดมา กุมารเยซู ก็เป็นผู้ให้โอกาสกลุ่มคนเลี้ยงแกะ ซึ่งเป็นพวกที่ด้อยโอกาสในสังคมเข้าพบเชยชมเป็นพวกแรก (ลก.2.15-18)  เมื่ออายุได้แปดวัน ก็เป็นผู้ให้สิเมโอน ชายชราผู้รอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้สมหวัง และประกาศก้องว่าต่อไปนี้ได้ตายอย่างมีความสุขแล้ว เพราะนัยตาได้เห็น และสองมือได้อุ้มพระกุมารผู้ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว(ลก.2.27-33)  รวมทั้งยายแก่อย่างฮันนา ได้สรรเสริญพระเจ้าและเล่าขานเรื่องราวของพระองค์แก่คนอื่นได้ฟังด้วย      พระเยซู ยังทรงเป็นความหวังกำลังใจสำหรับผู้คนตลอดเวลา เมื่อทรงเจริญวัยในอายุ 12 พรรษา ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และจิตวิญญาณ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจากเบื้องบนสวรรค์ ตามที่นายแพทย์ลูกาบันทึกไว้ว่า  "พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา   ในด้านร่างกาย   และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า   และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" (ลก.2.52)
          เด็กคนนี้ที่ชื่อว่า "เยซู"  ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ  ตามคำสัญญาของพระเจ้า  กล่าวคือ  ทุกอย่างที่พระเจ้าสัญญาไว้ได้สำเร็จทั้งหมดในชีวิตของพระเยซู  ทั่วโลกต่างแซ่ซ้อง สรรเสริญ พระนามของพระเยซู  โดยเฉพาะทุกปีช่วงเทศกาลคริสตมาสมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ ถึงการมาประสูติของพระองค์ แม้ว่าหลายคนอาจไม่เข้าใจความหมาย ไม่รู้จักเป็นส่วนตัว แต่ยังเข้ามามีส่วนในการฉลองวันเกิดของพระเยซู เพราะอิทธิพลและพระบารมีของพระเยซูนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไปทั่วโลกนั่นเอง  การเกิดของพระองค์ทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกถูกแยกออกเป็นสองส่วน คือ ก่อนคริสตศักราชและคริสตศักราช  เพราะ ค.ศ. ที่ 1 ถูกตั้งขึ้นตามการประสูติของพระเยซู นั่นเอง !
          พระเจ้าทรงกระทำหลายอย่างที่เหนือความคาดคิดของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักและยอมรับว่า  ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความผิดบาปได้  มนุษย์ต้องการการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องถ่อมตัว ถ่อมใจลงยอมรับความจริงของพระเจ้าเสียก่อน จึงจะได้รับความรอดจากพระองค์  ตราบใดที่ยังคิดว่าตนเองเก่ง เด่น ดัง แสดงว่ายังไม่พบและไม่ยอมรับความจริง ที่ว่า มนุษย์มีความจำกัด อ่อนแอ และต้องการความช่วยเหลือ  เพราะทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้น  เมื่อยอมรับความช่วยเหลือแล้ว เราก็พร้อมจะเป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างมีคุณภาพต่อไปได้
          พระเยซู ผู้ทรงลงมาเป็นมนุษย์ ในฐานะ "เด็ก" คนหนึ่ง ที่เกิดมาเพื่อคุณและผม  พระองค์ประสงค์ที่จะครอบครองในชีวิตคุณ ทรงต้องการแบกภาระ ความผิดบาปจากชีวิตคุณ ต้องการเป็นที่ปรึกษาในชีวิต เป็นผู้นำทาง เป็นผู้ปกป้อง และผู้ประทานสันติสุขให้แก่คุณ  หากคุณมองว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ แต่จากประวัติศาสตร์ และชีวิตของพระเยซูได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  และทรงเป็น เด็กคนหนึ่ง คนนั้นที่เกิดมาเพื่อเรา ตามพระสัญญาของพระเจ้าแล้ว 

          คุณยอมรับความจริงนี้หรือไม่ ?

09 ตุลาคม 2556

"อาจารย์โรนัลด์ ซี.ฮิลล์ ในความทรงจำ" In Memory of Dr.Ronald C.Hill

"อาจารย์โรนัลด์ ซี.ฮิลล์ ในความทรงจำของข้าพเจ้า"
โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น  : ประธานสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ภาคเหนือ

             Dr.Ronald C.Hill (1927-2013) ชาว North Carolina มิชชั่นนารีแบ๊บติสต์ผู้รับใช้ในประเทศไทย 40 ปี โดยเริ่มจากการเข้ามายังจีนและย้ายมาไทย ประมาณปี 1948-1992 บุกเบิกคริสตจักรและพันธกิจหลายด้าน เช่น ที่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี  ลำปาง(1985-1992) ร.พ.คริสเตียนบางคล้า สื่อมวลชนแบ๊บติสต์ ผู้อำนวยการมิชชั่นแบ๊บติสต์ในประเทศไทย เป็นต้น

          อาจารย์ฮิลล์  เป็นคนที่เข้าใจคิด เข้าใจคน เข้าใจงานอย่างลึกซึ้ง  ท่านเอาใจใส่ผู้คนแบบเป็นส่วนตัวและทั่วถึง ท่านให้ความสำคัญกับทุกคน จึงได้รับการเคารพนับถือจากคนจำนวนมาก ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงบุคคลทั่วไป
          ผมพบกับท่านครั้งแรก เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ในช่วงที่ชีวิตไม่รู้จะเดินไปทางไหน สับสนว่าจะติดตามพระเจ้าหรือเดินตามทางของตนเอง ชีวิตไม่มีทิศทางและอนาคต  แต่ถ้อยคำแรกที่พบกัน ท่านทักทายว่า "เป็นเด็กน่ารักดี"  เป็นถ้อยคำที่ทำให้ชีวิตมีความหวัง และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ผมเดินตามทางพระเจ้า เข้าสู่การเป็นผู้รับใช้มาจนทุกวันนี้
          "ค่อยยังชั่ว" ที่เราเข้าใจว่า หมายถึง "ดีขึ้นชั่วขณะหนึ่ง"  เป็นภาษาไทยที่อาจารย์ฮิลล์ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจความหมายหลายมุมมากขึ้น  เพราะท่านได้ยินคนไทยพูดบ่อยๆ เวลาไปเยี่ยมไข้  ท่านกล่าวว่า "ค่อย" พ้องเสียงกับภาษาอีสาน "ข้อย" หมายถึง "ข้าน้อย" หรือ "ข้าพเจ้า" ดังนั้น "ข้อย(ค่อย)ยังชั่ว" แปลตามตัวคือ "ข้าพเจ้ายังชั่ว" ตรงกับพระคัมภีร์ที่สอนว่า "ทุกคนเป็นคนบาป และตกจากมาตรฐานของพระเจ้า" (รม.3.23)  ดังนั้น  "ค่อยยังชั่ว" หมายถึง ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ยังมีปัญหาอยู่  เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ ที่ดูเหมือนดีขึ้น แต่ยังชั่วอยู่ ยังเป็นคนบาปอยู่ !
          ด้วยเหตุนี้  มนุษย์จึงต้องการ การช่วยให้รอดจากความผิดบาป เพราะ แม้จะเจริญขึ้น ดีขึ้นในหลายด้าน แต่ยังมีความชั่ว ความผิด ความบาป ความไม่ดีติดตัวอยู่เสมอ ยังไม่หายสนิทจากอาการป่วยเพียงแค่ "ค่อยยังชั่ว" เท่านั้น
          ชีวิตของคุณเป็นแบบ "ค่อยยังชั่ว" อยู่หรือไม่ ?
          พระวจนะของพระเจ้าสอนว่า "ถ้าผู้ใดอยู่ในพระเยซูคริสต์   ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว   สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป   นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า..." (2คร.5.17-18)
          อาจารย์ฮิลล์ ชอบพระคัมภีร์ตอนนี้ (ใช้เป็นพระคัมภีร์หลัก คจ.ลำปางแบ๊บติสต์) โดยเชื่อว่าพระเยซูคริสต์สามารถช่วยผู้คนให้หายสนิทจากความบาปได้  ไม่เพียงแค่ค่อยยังชั่ว แต่ จะสามารถรับการเปลี่ยนแปลง รับการรักษา  รับการเสริมสร้างให้เป็นสิ่งใหม่ที่ดีกว่า โดยพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้
          ท่านได้ใช้เวลาประกาศข่าวแห่งความรอด อยู่ในประเทศไทยกว่า 40 ปี โดยเฉพาะที่ลำปาง 8 ปี มีคนจำนวนมากรู้จักท่าน และได้เข้ามาเชื่อในพระเยซู รับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงชีวิตให้เป็นคนที่ใช้การได้ ทั้งชีวิตของผมและภรรยา และอีกหลายๆ คน สามารถพูดได้ว่า เพราะอาจารย์ฮิลล์ และแหม่มฮิลล์ เป็นผู้ช่วยเราให้รู้จักพระเยซูคริสต์ จึงมีโอกาสในวันนี้ได้
          เชื่อว่าอาจารย์ฮิลล์ มีความสุขใจอย่างยิ่งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบแล้วเมื่อ 11 สิงหาคม 2013  ท่านมีความสุขใจที่ได้เห็นพวกเรามีชีวิตใหม่โดยพระเยซู และยังคงคาดหวังให้ทุกคนมีชีวิตที่ หายสนิทจากบาปจริง ๆ ไม่ใช่แค่ "ค่อยยังชั่ว" เท่านั้น

          คุณต้องการให้ชีวิตหายสนิทจากบาปหรือไม่ ?  ยอมให้พระเยซูสร้างชีวิตของคุณวันนี้ !

11 มิถุนายน 2556

งานใน สคบ.เหนือ



พันธกิจใน สคบ.เหนือ ช่วงที่ผ่านมา (มีค-พ.ค. 13)
ค่ายเด็กเพื่อชุมชน โดย ทีมนักศึกษาแบ๊บติสต์


ค่ายอนุชน คจ.เชียงกลาง น่าน

 อบรมนักจัดรายการวิทยุ


 อบรมนักศึกษาฝึกงาน จาก ม.ราชภัฏเชียงราย
 ประชุมคณะทำงานพัฒนาพันธกิจฯภาคเหนือ
 นำเสนองาน สคบ.เหนือที่ ค่ายพัทยาแบ๊บติสต์
 ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนจากท่าน

20 เมษายน 2556

หัวใจของพระเยซู โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต  ดาแว่น
หัวใจของพระเยซู
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า   “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี   ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ   ให้เป็นสาวกของเรา   ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา   พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้   นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป   จนกว่าจะสิ้นยุค”  Matthew 28:18-20

                "หัวใจของพระเยซู" คือ ต้องการทุกคนได้ยินข่าวประเสริฐ ได้รู้จักกับพระเจ้า เข้ามาเป็นสาวก และดำเนินชีวิตตามพระมหาบัญชาของพระองค์ต่อไป คือ ออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวก จากคนสู่คน จากรุ่นสู่รุ่น จนถึงเวลาแห่งพระสัญญา การเสด็จกลับมาของพระเยซู
                นี่คือ  จุดประสงค์ของพระเยซูที่ยอมเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ ต้องตกในสภาพที่ยากลำบาก  ทรงทำภารกิจอย่างทุ่มเท ประกาศ เทศนา สั่งสอน เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จนกระทั่งถูกจับอย่างอยุติธรรม ถูกตรึงบนกางเขนอย่างทุกข์ทรมาน จนสิ้นพระชนม์ ถูกนำไปฝังไว้ในอุโมงค์ หลังจากนั้นสามวันทรงเป็นขึ้นมาจากตาย เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และสัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้ง...ทุกสิ่งที่ทรงทุ่มเท ด้วยแรงกาย แรงใจ ด้วยเนื้อ ด้วยเลือด หมดทั้งชีวิต จิตใจและจิตวิญญาณ เพียงเพื่อต้องการให้มนุษย์ที่ทรงรักมากมายนั้นได้รับชีวิตนิรันดร์ รอดพ้นจากผิดบาป กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ามามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าดังเดิมอีกครั้ง และที่สำคัญทรงมอบพันธกิจแห่งการคืนดีนี้ให้คริสตจักรหรือผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบในการประกาศออกไปในฐานะตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้ (2 คร.5.17-20)
                เพราะอะไรพระเยซูคริสต์จึงมอบเรื่องที่สำคัญที่สุดให้สาวกและพวกเราผู้เชื่อเป็นผู้รับผิดชอบต่อไป ?  พระเยซูทรงทำทุกสิ่งด้วยชีวิต แต่ทรงมอบให้เราทำ แสดงว่า "ทรงไว้ใจ" สาวกและผู้เชื่ออย่างสนิทใจ  คำถามคือ บรรดาสาวก และพวกเราผู้เชื่อเป็นที่น่าไว้วางใจมากน้อยเพียงใด ?  พระเยซูต้องอยู่ในความเสี่ยงที่มอบเรื่องสำคัญนี้ให้กับเรามากน้อยเพียงใด ?  หากย้อนไปดูชีวิตสาวก 12 คนที่พระเยซูเลือกมา ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างเข้มข้นตลอด 3 ปีเศษ แต่ยังมีบางคนไม่เข้าใจเป้าหมายของพระเยซู บางคนอยากเป็นใหญ่กว่าคนอื่น บางคนขาดความเชื่อบ่อยๆ  บางคนทะเลาะกัน บางคนทรยศหักหลังพระองค์ บางคนปฏิเสธพระองค์ทั้งที่เคยพูดว่าจะตายแทนได้  บางคนสงสัยว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจริงหรือเปล่า บางคนอยากกลับไปประกอบอาชีพเดิม บางคนเดินทางอย่างทุกข์ใจ...นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนักก่อนที่พระเยซูจะตรัสสั่ง พระมหาบัญชา อันเป็นหัวใจสำคัญของการเสด็จมาในโลกนี้
                ทุกวันนี้พระเยซูทรงอยู่ในความเสี่ยงต่อชีวิตของเราด้วยหรือไม่ ? เพราะพระมหาบัญชาเดียวกับที่สั่งสาวกก็มาถึงบรรดาผู้เชื่อเช่นกัน  ชีวิตของเราคล้ายกับบรรดาสาวกหรือไม่ แม้จะมาเชื่อแล้วแต่ยังไม่เข้าใจ ขาดความเชื่อ ทำสิ่งผิด สารภาพเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เคยสัญญาแต่ไม่ทำตาม อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า ดำเนินชีวิตอย่างท้อแท้ใจ แล้วอย่างนี้พระเยซูจะไว้ใจและมอบหมายเรื่องสำคัญให้ทำได้หรือไม่ ?
                ขอบคุณพระเจ้า แม้บรรดาสาวกจะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขายังรักษาความรับผิดชอบที่พระเยซูมอบหมายด้วยชีวิต หลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาตามพระสัญญา ชีวิตสาวกรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เรื่องการตาย การเป็นขึ้น และการเสด็จกลับมาของพระเยซูถูกประกาศออกไปอย่างต่อเนื่อง จากเยรูซาเล็ม สู่ยูเดีย สะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดินโลก จากอดีตถึงปัจจุบัน จนวันนี้มีคุณและผมได้อยู่ร่วมในพันธกิจแห่งพระมหาบัญชานี้แล้ว อันเป็นผลจากความรับผิดชอบของบรรดาสาวก  บรรดาผู้เชื่อในเวลาต่อมา และบรรดามิชชั่นนารีที่มอบชีวิตจิตใจเพื่อพันธกิจนี้เรื่อยมา  หลายคนยอมจนกระทั่งถูกห้าม ถูกจับ ถูกทรมาน ถูกจองจำ ถูกเนรเทศ ถูกฆ่า ถูกกลั่นแกล้งสารพัด  แต่พวกเขาไม่เคยลดละในการประกาศข่าวประเสริฐ
                พระเยซูมอบหัวใจของพระองค์ให้คุณและผมแล้ว !  ทรงไว้ใจเราอย่างยิ่ง อย่าทำให้พระองค์ต้องผิดหวังและอยู่ในความเสี่ยงอีกต่อไปเลย  มาร่วมกันทำหน้าที่ที่ทรงมอบหมายให้ คือ การประกาศข่าวประเสริฐและสร้างสาวกต่อไป อย่างสัตย์ซื่อ ทุ่มเท ด้วยชีวิตจิตใจ สมกับที่ทรงไว้วางใจให้สิ่งสำคัญกับเราจนถึงวันแห่งพระสัญญา...อาเมนนะครับ

25 มีนาคม 2556

ติดตามพระเจ้าแบบไร้รอยต่อ โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น


                                                                        คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น

ติดตามพระเจ้าแบบไร้รอยต่อ

            ความบาป  ทำให้มนุษย์ถูกแยกออกจากพระเจ้า  แต่  พระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อมต่อให้กลับคืนดี มีสัมพันธภาพที่แนบแน่นอีกครั้ง  นับตั้งแต่มนุษย์ตกหลุมพรางของซาตาน  ฝ่าฝืนพระบัญชาของพระเจ้า  ทำให้ต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ ไปเผชิญกับชะตาชีวิตอย่างทุกข์ลำบาก ทั้งด้านชีวิต สุขภาพ ความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ต่อกันในครอบครัว ญาติพี่น้อง สังคม และสภาพแวดล้อมของโลกที่เกิดการแตกร้าว ขัดแย้ง ยุ่งเหยิงปั่นป่วนไปทั่วทุกมิติ
            แม้วันเวลา สถานการณ์ การพัฒนาการของมนุษย์นั้นจะมาไกลและยาวนานเท่าใด แต่ยังไม่อาจเชื่อมรอยร้าว ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ได้ ดูเหมือนยิ่งนับวันแยกห่างออกไปเรื่อยๆ  แม้จะมีช่องทางทางพระบัญญัติ ที่เปิดโอกาสให้ปฏิบัติตาม เครื่องเซ่นไหว้บูชาที่ทำให้เกิดการพอพระทัยพระเจ้าในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ยิ่งนับวันธรรมบัญญัติเหล่านั้นที่ถึงแม้เป็นสิ่งดีที่ประทานมาจากพระเจ้า ยิ่งเป็นเครื่องชี้วัดว่ามนุษย์ยังไม่สามารถได้มาตรฐานที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เริ่มต้น (รม.3.20-23 ,ยก.2.10) เพราะหากแม้ใครจะทำตามบัญญัติได้หลายข้อแต่ผิดอยู่ข้อเดียว ทั้งชีวิตยังต้องตกอยู่ภายใต้หายนะอยู่ดี  ยิ่งการหาทางออกที่ผิดๆ หลายประการของมนุษย์นั้นก็ยิ่งทำให้ชีวิตห่างไกลจากความจริงมากขึ้น...  ดูเหมือนสิ้นหวัง แต่ยังมีทางรอด !
            โดยทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางไม้กางเขน เลือดเนื้อ ชีวิตของพระองค์นั้น เป็นเครื่องบูชาประเสริฐ บริสุทธิ์ ที่พอพระทัยพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ยุติธรรม  จากที่เมื่อก่อนมนุษย์ผู้มีมลทินต้องห่างไกลจากพระพร และสมควรรับพระอาชญาอย่างสาสม (อฟ.2,3,4) กลับได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมในฐานะพลเมือง ฐานะบุตรที่รัก ถึงขั้นสามารถเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดสนิทจนรู้ถึงพระประสงค์อันลึกล้ำได้ (รม.8.15-17)  กำแพงที่เคยขวางกั้น หุบเหวที่เคยแยกห่าง ม่านที่เคยปิดบังถูกเปิดออกจากเบื้องบนสู่ล่างอย่างอัศจรรย์ โดยที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ หรือโดยน้ำมือของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเมตตาคุณอันอุดม ที่เราทั้งหลายไม่สมควรจะได้แม้แต่นิด  แต่โดยพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระองค์เองเพื่อเป็นสะพานเชื่อมช่องว่าง รับโทษความผิดบาปที่ทำให้พระพิโรธรุนแรงควรตกแก่เรานั้นไปอยู่ที่พระองค์ทั้งหมด ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและสืบไป
            รอยต่อทั้งหลายสลายไปหมดสิ้นแล้ว  เพียงแต่เราจะเข้ามาใกล้ชิดสนิมสนมกับพระเจ้า พระบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตามากน้อยเท่าใด  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อพระคุณอันประเสริฐนี้ด้วยตัวคุณและผมแล้ว !
            พระเยซูสอนให้เข้าใกล้ชิดสนิทสนม ดังแขนงที่ติดกับเถา  กิ่งที่ติดกับต้น เพื่อผลอันดีจะเกิดขึ้นอย่างมากมายอันเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้เป็นต้นและเถา
            วันนี้ การเชื่อมต่อกับพระเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องเซ่นบูชาด้วยเลือดและเนื้อของเราอีกต่อไป  หากแต่ต้องเป็นด้วยชีวิตและหัวใจที่ผูกพัน(รม.12.1-2) เพียงเท่านั้นก็สามารถสัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น และสิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้แล้ว เพราะพระเยซูยืนยันว่า สาวกและผู้เชื่อจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าพระองค์(ยน.14.12) เพียงแต่ต้องเชื่อมให้ตรงกับพระประสงค์พระเจ้า (ยน.15.7) และเข้าเฝ้าพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
            ขอให้ชีวิตและลมหายใจของเราเชื่อมต่อกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด อย่าให้ชีวิตต้องมีรอยร้าวระหว่างเรากับพระองค์อีกเลย เพราะทรงลงทุน ลงแรง ลงชีวิตเพื่อเราจะมีโอกาสในวันนี้อย่างเหลือที่จะประเมินได้  
ขอให้ชีวิตและการติดตามพระเจ้าเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ อย่าให้ห่างเหินจนไร้ร่องรอย ไร้วี่แววเลยนะครับ !