31 สิงหาคม 2563

ให้พระเยซูเป็นใหญ่ –Let JESUS become GREATER โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต 


ให้พระเยซูเป็นใหญ่

Let JESUS become GREATER

โดย บัณฑิต ดาแว่น


พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น   แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง John 3:30

He must become greater; I must become less. (NIV-r)

 

 “...พระองค์(พระเยซู)ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น   แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง…”

ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา มีท่าทีที่ถูกต้องต่อ พระเยซูคริสต์เจ้า คือ รู้ว่า ใครใหญ่กว่าใคร  แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังเป็นที่นิยมก็ตาม 

พระคัมภีร์บันทึกว่า

หลังจากนั้น   พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์   และทรงประทับที่นั่นกับเขา   และทรงให้บัพติศมา ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม   เพราะที่นั่นมีน้ำมาก   และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก   -John 3:22-23

 

ในขณะที่พระเยซูกำลังเริ่มต้นทำพันธกิจ แต่ชีวิตและงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นเป็นที่รู้จักและผู้คนจำนวนมากกำลังหลั่งไหลมาหาเขาอยู่ก่อนแล้ว

ฉบับอมตธรรมอธิบายว่า... ประชาชนมารับบัพติศมาจากท่านไม่ขาดสาย

ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเขาจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวเสียแล้ว  ผู้นั้นคือ พระเยซูคริสต์ ที่กำลังให้บัพติศมาแก่สาวกของพระองค์  และมีผู้คนกำลังหันไปสนใจมากขึ้นด้วย  !

ลูกศิษย์ยอห์นจึงรีบมาแจ้งข่าวนี้ให้อาจารย์รู้...

สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า   “อาจารย์เจ้าข้า   ท่านที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก   ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น   นี่แน่ะ   ท่านผู้นั้นให้บัพติศมา   และผู้คนต่างก็พากันไปหาท่าน”

 - John 3:26

 

ในทางธุรกิจ อาจต้องหาทางคิดกำจัดคู่แข่ง ที่กำลังจะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาด ในการการเมืองอาจต้องเลื่อยขาเก้าอี้ หรือ สกัดดาวรุ่ง เพื่อไม่ให้พุ่งแซงหน้าไป  และไม่ว่าจะเป็นวงสังคม วงการบันเทิง หรือวงการอื่น ๆ ก็มักจะเห็นการแย่งชิงโอกาส แย่งชิงมงกุฎ แย่งชิงรางวัล อาจต้องถึงขั้นห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อไม่ให้ใครมาใหญ่กว่าตน

แต่สำหรับยอห์น ผู้ให้บัพติศมา กลับไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะ...

 

1.  รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร  - คือ เป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่พระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)

 

ยอห์นตอบว่า   “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย   นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า   ข้าพเจ้าได้พูดว่า   ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์   แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ - John 3:27-28

 

ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร คือ ได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จแก่พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต ที่พระเจ้าประทานให้จากสวรรค์

ด้วยเหตุนั้น แม้เราจะได้รับมอบหมายหน้าที่จากเบื้องบนสูงสุด แต่สุดท้ายต้องเข้าใจว่า ยังมีผู้เป็นจอมเจ้านายอยู่เหนือชีวิตเสมอ

 

ย้อนกลับไปตอนที่ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวนี้แก่พ่อแม่ของยอห์นและทำนายถึงชีวิตและหน้าที่ของท่านเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน ทุกอย่างยังเป็นไปตามนั้น (ลูกา 1-5-25,57-80) รวมทั้งเป็นไปตามคำพยากรณ์หลายร้อยปีก่อนยอห์นจะมาเกิดด้วย (อสย.40.3, มลค.3.1) ต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับเศคาริยาห์และเอลิซาเบธที่ได้อดทนสั่งสอนเลี้ยงดูลูกชายให้เดินทางแห่งพระปะสงค์ของพระเจ้า และขอบคุณพระเจ้าสำหรับยอห์นที่เชื่อฟังและดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า  ทำให้รู้ตัวเสมอว่าตนเองเป็นใคร และสมควรจะทำอะไรจึงจะดีที่สุด

 

2.  รู้ดีถึงสถานะของตน – ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวที่ต้องดูแลงานสมรสให้สำเร็จไปด้วยดี

 

ยอห์น รู้ตัวว่า ตนเองเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แม้จะดูโดดเด่นไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังด้อยกว่าเจ้าบ่าวอยู่ดี สุดท้ายเจ้าสาวต้องเป็นของเจ้าบ่าว ผู้เป็นพระเอกตัวจริง

ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว   สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง   เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว   ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว - John 3:27-29

 

 ท่านรู้ดีว่าได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เตรียมทางแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ด้วยเหตุนั้น แม้เพียงแค่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าว  ผู้จัดเตรียมงานและเพื่อนเจ้าบ่าวสมควรที่จะชื่นชมยินดี และต้อนรับอย่างสมเกียรติ

 

พระเยซูคริสต์คือ เจ้าบ่าว ที่เป็นพระเอกตัวจริง  เรามีหน้าที่เป็นผู้เตรียมงานสมรสให้ท่าน  เมื่องานสมรสเกิดขึ้นผู้ที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดคือเจ้าบ่าว  แม้คนเตรียมงานจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด แต่ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจสำคัญของงานไปได้ คือ เราทำทุกสิ่งเพื่อให้สมพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของงาน

และแน่นอนพระเจ้าไม่ทรงละเลยผู้รับใช้เช่นกัน  การที่ได้รับคำชมว่า “ดีแล้ว  เจ้าเป็นทาสที่ดีและสัตย์ซื่อ” ก็มากเพียงพอสำหรับคนรับใช้แล้ว และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด”  (มัทธิว 25.23) นั่นถือว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้แล้ว

ดังนั้น ควรรู้สถานะของตนและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

 

3. รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเอง - ว่ามาจากโลก แต่พระองค์ลงมาจากสวรรค์ ย่อมต่างชั้นกันลิบลับ

 

ยอห์น รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเองและพระเยซู คือ ตนเองมากจากโลก  แต่องค์พระเยซูมาจากสวรรค์

พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง   ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลก   และพูดตามอย่างโลก   พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง -John 3:31

ความจริงเรื่องที่มาและฐานะของพระเยซูนั้น เป็นที่ประจักษ์และยอมรับของยอห์นผู้ให้บัพติศมาอยู่เสมอ  คือ พระเยซูมาจากสวรรค์  ทรงยอมเสด็จมาในโลกนี้ในสถาพของมนุษย์ แต่เนื้อแท้ของพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

ดังที่มัทธิวสาวกของพระเยซูบันทึกไว้ว่ายอห์นไม่อาจเอื้อมที่จะให้บัพติศมาแก่พระเยซูเพราะรู้ดีว่าพระองค์เป็นใครและมาจากไหน

แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลี   มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า   “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์   ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์” -Matthew 3:13-14

ซึ่งสอดคล้องกับอาจารย์เปาโลพูดถึงการยอมสละสภาพของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู

ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า   แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ   และทรงรับสภาพทาส   ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว   พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา   กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง   และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า  ในสวรรค์   ที่แผ่นดินโลก  ใต้พื้นแผ่นดินโลก   จะคุกลงกราบ  พระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ     ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า   อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

- Philippians 2:5 -11

ยอห์นจึงรู้ตัวดีและวางตัวอย่างเหมาะสมต่อพระเยซู  แม้ขณะนั้นจะยังเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนมาก ท่านไม่ได้ฉวยโอกาสใช้มวลชนเป็นเครื่องมือแสดงความยิ่งยิ่งใหญ่ของตน แต่ยอมถ่อมลงและยกให้พระเยซูเป็นใหญ่ด้วยใจยินดี

พระเยซูคริสต์ทรงทราบเรื่องนี้ดี จึงมีคำตรัสถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า...เป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ และเป็นมนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ที่เกิดมา (มัทธิว 11.7-11)

พระเยซูตรัสกับคนหมู่นั้นถึงยอห์นว่า   “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดาร   เพื่อดูอะไร   มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายไปดูอะไร   ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ   ดูเถิด   คนนุ่งห่มผ้าเนื้อนิ่มก็อยู่ในราชวัง แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร   ดูผู้เผยพระวจนะหรือ   แน่ทีเดียว   และเราบอกท่านว่า   ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละ   ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า     'เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน[ คือ   พระเมสสิยาห์ ]      ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน'  
 
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น   ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา   แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก - Matthew 11:7-11

 

พระคัมภีร์ยืนยันว่า พระเจ้าไม่เคยลืมผู้รับใช้ของพระองค์  แม้มนุษย์ด้วยกันอาจจะลืมกันได้ มองข้ามกันไปเมื่อยามได้ดี

พระเยซูตรัสว่า...

ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา   ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา   และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย   ถ้าผู้ใดรับใช้เรา   พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น -John 12:26

อาจารย์เปาโลกล่าวอ้างถึงธรรมบัญญัติของโมเสสว่า...

เพราะว่าในธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า   อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ พระองค์ไม่ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของพวกเราโดยเฉพาะดอกหรือ   ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย   แสดงว่าคนที่ไถนาควรไถด้วยความหวังใจ   และคนที่นวดข้าวควรนวดด้วยความหวังใจว่า   จะได้ประโยชน์ - I Corinthians 9:9-10

และย้ำอีกครั้งในการหนุนใจให้ผู้คนได้รับใช้ว่า...

จงถือว่าผู้ปกครองที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า   โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เทศนาและสั่งสอน เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า   อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว  เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน - I Timothy 5:17-18

 

ดังนั้น จงทำหน้าที่ของตนในฐานะผู้รับใช้  โดยตระหนักรู้เสมอว่า  ตนเป็นใคร มีฐานะเช่นไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วจะทำให้เส้นทางการรับใช้เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และมีเกียรติตามสมควรที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายสูงสุดจะทรงโปรดตามพระทัย

เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น   ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก   สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา   ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์   หรือเป็นเทพอาณาจักร   หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ   สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น   โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง   และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย   คือคริสตจักร   พระองค์ทรงเป็นปฐม   เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย   เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง - Colossians 1:16-18

อาเมน


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)