08 มิถุนายน 2562

Carob : คารอบ ฝักถั่วของคนสำนึกผิด โดย บัณฑิต ดาแว่น



คิดอย่างบัณฑิต...ข้อคิดจากอิสราเอล

Carob  : คารอบ  ฝักถั่วของคนสำนึกผิด
โดย บัณฑิต ดาแว่น

เมื่อไปเดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล ได้พบต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Carob เป็นพืชตระกูลถั่ว ขึ้นตามท้องถิ่นในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะคล้ายต้นมะขามเทศแต่ใบขนาดใหญ่กว่า เปลือกหุ้มต้นหนา ฝักสีเขียว เมื่อแก่จะผลิตน้ำหวานสีน้ำตาลเยิ้มออกมาจากฝัก เป็นอาหารของแพะและสัตว์ป่าอื่นๆ และใช้ทำอาหารได้หลายชนิด 
มัคคุเทศก์อธิบายว่า อาจเป็นต้นไม้ที่ยอห์นผู้ให้บัพติสมาใช้กินเป็นอาหารในระหว่างทำพันธกิจเตรียมการรับเสด็จพระเมสสิยาห์ ตามที่บันทึกว่าท่านเป็นเสียงร้องจากถิ่นทุรกันดารที่ประกาศให้มีการกลับใจใหม่เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับผู้จะเสด็จมานั้น 

ท่านยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา​ ​ก็ได้ปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร ท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่ และรับบัพติศมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย คนทั่วแคว้นยูเดียกับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์นสารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานจักจั่นและน้ำผึ้งป่า (มาระโก 4.4-6)
อาหารของยอห์นคือ “จักจั่นและน้ำผึ้งป่า” ซึ่งน่าจะหมายถึงตัวแมลงชนิดหนึ่งและน้ำผึ้งจริงๆ ด้วย แต่มีบางท่านเสนอว่าอาจเป็นฝักของ คารอบ นี้ก็ได้เช่นกัน  เพราะมีอยู่ทั่วไปตามป่าแถบอิสราเอลและเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อเป็นฝักแก่จะให้ความหวานคล้ายน้ำผึ้ง 

คารอบ เป็นไม้ที่มีมานานกว่าสี่พันปี ลำต้นสูงสุดถึงสิบห้าเมตร ฝักยาวสิบห้าถึงสามสิบเซนติเมตร ค่อนข้างกว้างและหนา ฝักแก่มีสีน้ำตาลเข้ม สามารถนำมารับประทานได้ มีโปรตีน แร่ธาตุ สารอาหารและวิตามิน สามารถบำรุงร่ายกายได้ ปัจจุบันเมล็ดคารอบถูกนำมาบดเพื่อใช้แทนผงโกโก้สำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพด้วย  ที่น่าทึ่งคือ เมล็ดคารอบมีน้ำหนักแต่ละเมล็ดเท่ากันคือประมาณสองร้อยมิลลิกรัม  ด้วยเหตุนั้นจึงถูกนำมาเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของเพชร คือ “หนึ่งกะรัต” เท่ากับสองร้อยมิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับน้ำหนัก “หนึ่งเมล็ดของคารอบ"  หากต้องการทราบว่าเพชรแต่ละเม็ดมีน้ำหนักเท่าใด ก็ใช้ตราชั่งแบบสองข้างค่อยๆวัดระดับจนกว่าจะเท่ากัน ผู้รู้อธิบายต่อว่า เมล็ดคารอบในภาษากรีกเรียกว่า “Keration” และภาษาอังกฤษได้นำมาใช้เป็นหน่วยวัดน้ำหนักอัญมณีที่เรียกว่า “Carat” จนถึงทุกวันนี้
พระเยซูเล่าคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย เรื่องของชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน และลูกชายคนเล็กได้ขอทรัพย์สมบัติส่วนแบ่งของตนจากพ่อก่อนเวลาอันควร เพื่อจะนำไปใช้ส่วนตัว เมื่อเขาได้สมปรารถนาแล้วก็นำไปผลาญด้วยการใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย จนกลายเป็นคนยากจนไม่มีอันจะกิน จำต้องไปรับจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งคนยิวถือว่าเป็นงานต่ำต้อยสกปรก แต่เขาต้องทำเพื่อแลกอาหารประทังชีวิต ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอยาไส้ จนกระทั่งเขาต้องแอบกินอาหารที่ใช้เลี้ยงหมูด้วยความหิวโหย  พระคัมภีร์บันทึกว่า

เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา เขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน (ลก.15.15-16)

“ฝักถั่ว” ที่เป็นอาหารหมูนั้นก็คือ ฝักคารอบ ที่พูดถึงนี่แหละครับ  ไม่รู้ว่าเขาทนกินฝักถั่วอาหารหมูอยู่นานเท่าใด แต่สุดท้ายเขา “สำนึก” ขึ้นได้ว่า

ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่าบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย  ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด  (ลก15.17-19)

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ ฝักถั่ว เป็นอาหารไม่ดีหรือไม่ควรกิน เพราะมันสามารถกินได้และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ ปัญหาคือ เขาได้ทำผิดต่อพ่อโดยการนำสมบัติที่พ่อหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานจากหนุ่มจนแก่ และวางแผนจะให้เป็นมรดกลูกเมื่อบั้นปลายของชีวิตและหวังให้ลูกได้อยู่ดูแลพ่อตามที่ควรจะเป็น แต่เขานำมันไปผลาญจนหมดสิ้น เขากลายเป็นลูกเนรคุณตั้งแต่วันที่คิดขอสมบัติจากพ่อแล้ว และที่สำคัญเขาทำผิดต่อพระเจ้าที่สวรรค์ด้วย เพราะทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นมาจากพระเจ้า รวมทั้งชีวิตและลมหายใจของมนุษย์ก็มาจากพระองค์  (ปฐก 1.27-28, 2.7)

เรื่องบุตรน้อยหลงหายนี้พระเยซูเล่าเป็นคำอุปมาเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า

“พ่อ” หมายถึง พระเจ้า

 “ลูกชาย” ทั้งสองหมายถึง มนุษย์ทุกคน

บางคนเป็นเหมือนลูกคนเล็กที่ใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากทำให้ตนเองเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้พ่อแม่ พี่น้อง บ้านเมือง สังคม และโลกนี้พลอยรับผลกระทบ และที่สำคัญความชั่วร้ายที่กระทำนั้นส่งผลถึงพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ทรงเสียพระทัยไปด้วย  ในฐานะที่พระเจ้าเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวงเพราะเป็นผู้สร้างและผู้มีสิทธิครอบครองและตัดสิน พระองค์ถูกลบหลู่จากคนที่ทำไม่ดี ทำผิด ทำชั่วในโลกนี้โดยตรงด้วย เมื่อเราพูดด่าว่าหยาบคายต่อใคร เท่ากับเรากำลังต่อว่าหยาบคายต่อพระเจ้าผู้สร้างชีวิตคนนั้นด้วย  ดังเช่นที่มีคนด่าลูกก็จะเจ็บช้ำไปถึงหัวใจของพ่อแม่ด้วยแน่นอน
เมื่อลูกชายคนเล็กเขากินฝักถั่วอาหารหมู และคิดถึงบ้านของตนที่พ่อให้การเลี้ยงดูทุกคนอย่างดี แม้คนรับใช้ คนรับจ้าง ยังได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ แต่นี่เขาเป็นลูกแท้ๆของพ่อ จะมารอความตายต่อไปได้อย่างไร  เมื่อเขา “สำนึก” อย่างนั้น พระคัมภีร์บันทึกต่อไปว่า เขาได้ลุกขึ้นและกลับไปบ้านเพื่อจะขอโทษพ่อและขอเป็นเพียงคนงานรับจ้างก็พอแล้ว เพราะเขาได้ทิ้งพ่อให้ลำบากและผลาญสมบัติไปล่วงหน้าหมดแล้ว  แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อเขาไปใกล้บ้าน พบว่าคุณพ่ออ้าแขนยืนรออยู่ก่อนด้วยความเมตตา คุณพ่อผู้รอคอยลูกชายคนเล็กที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจที่หายออกจากบ้านไปเป็นเวลานาน แม้แค่ลูกหายไปในชั่วข้ามคืนก็ทำให้ท่านหัวอกระทม แต่นี่หายไปโดยไม่รู้เป็นตายร้ายดี  ท่านคงออกมายืนหน้าบ้านมองหาว่าคนที่ผ่านไปมานั้นจะเป็นลูกชายของตนหรือไม่ วันแล้ววันเล่าท่านยังทำอย่างนั้นด้วยความหวัง  โดยไม่ได้อาฆาตมาดร้ายที่ลูกชายได้ลบหลู่ดูหมิ่นและยึดเอาทรัพย์สมบัติของตนไปก่อนเวลา และแถมกลับมาด้วยสภาพหมดตัว  ยังไม่ทันฟังคำสารภาพของลูกด้วยซ้ำ ท่านได้ให้อภัยตั้งแต่เห็นลูกเดินโซเซมาแต่ไกล และรู้แล้วว่าลูกชายได้รับบทเรียนและสำนึกในความผิดของตนแล้วจึงได้ซมซานมาหาพ่อเยี่ยงนี้ แทนที่จะซ้ำเติม และจัดการลงโทษให้สาสม แต่กลับเข้าไปกอดและจูบลูกชายที่มอมแมมด้วยความเอ็นดูสงสาร  สั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมเสื้อผ้า อาหาร และจัดงานเลี้ยงฉลองการได้ลูกกลับคืนมาอย่างรื่นเริงยินดีอย่างกับไม่เคยมีความผิดมาก่อนเลย  เพราะท่านถือว่าลูกคนนี้ตายไปแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นมา และหายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก  สิ่งชั่วร้ายเก่าๆ หายไปเมื่อเขาสำนึกผิดทั้งต่อพ่อและต่อพระเจ้าบนสวรรค์
พระเยซูเล่าต่อไปว่า...แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา  ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่าบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่าจงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีกเขาทั้งหลายต่างก็มีความรื่นเริงยินดี (ลก.15.20-24)

เรื่อง Carob : คารอบ  ฝักถั่วของคนสำนึกผิด” ช่วยสะกิดใจของคุณและผม เมื่อเราทำผิดต่อใคร สิ่งนั้นมีผลทั้งในโลกนี้และสวรรค์ด้วย หากทำผิดต่อโลกนี้ยังมีโทษตามกฎหมาย จากสถานเบา จนถึงสถานหนักรุนแรงถึงตาย  แต่หากใครทำผิดต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะหลุดจากโทษทัณฑ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้อย่างไร  แต่ถึงกระนั้น พระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงรักและเมตตา ยังพร้อมอ้าแขนต้อนรับคนที่สำนึกตนว่า ได้ทำผิดต่อมนุษย์และทำผิดต่อพระเจ้า และเข้ามาสารภาพต่อพระองค์  พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม จะทรงยกบาปผิดและชำระชีวิตให้พ้นจากความชั่วร้ายได้เสมอ (1ยน.1.9)  และพระองค์พร้อมอ้าแขนรับให้กลับเข้าเป็นลูกของพระองค์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์คือบ้านอันถาวรด้วย (ยน.1.12)
พระคัมภีร์ของพระเจ้าสอนว่า... แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์(พระเยซูคริสต์) ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณยังจะทนกินฝักถั่วอาหารหมู และอยู่กับความโสมมของชีวิตอยู่ต่อไปหรือ ?  รีบสำนึกและกลับบ้านของพระบิดาด้วยใจสารภาพ เถิดครับ !