31 สิงหาคม 2563

ให้พระเยซูเป็นใหญ่ –Let JESUS become GREATER โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต 


ให้พระเยซูเป็นใหญ่

Let JESUS become GREATER

โดย บัณฑิต ดาแว่น


พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น   แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง John 3:30

He must become greater; I must become less. (NIV-r)

 

 “...พระองค์(พระเยซู)ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น   แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง…”

ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา มีท่าทีที่ถูกต้องต่อ พระเยซูคริสต์เจ้า คือ รู้ว่า ใครใหญ่กว่าใคร  แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังเป็นที่นิยมก็ตาม 

พระคัมภีร์บันทึกว่า

หลังจากนั้น   พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์   และทรงประทับที่นั่นกับเขา   และทรงให้บัพติศมา ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม   เพราะที่นั่นมีน้ำมาก   และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก   -John 3:22-23

 

ในขณะที่พระเยซูกำลังเริ่มต้นทำพันธกิจ แต่ชีวิตและงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นเป็นที่รู้จักและผู้คนจำนวนมากกำลังหลั่งไหลมาหาเขาอยู่ก่อนแล้ว

ฉบับอมตธรรมอธิบายว่า... ประชาชนมารับบัพติศมาจากท่านไม่ขาดสาย

ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเขาจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวเสียแล้ว  ผู้นั้นคือ พระเยซูคริสต์ ที่กำลังให้บัพติศมาแก่สาวกของพระองค์  และมีผู้คนกำลังหันไปสนใจมากขึ้นด้วย  !

ลูกศิษย์ยอห์นจึงรีบมาแจ้งข่าวนี้ให้อาจารย์รู้...

สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า   “อาจารย์เจ้าข้า   ท่านที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก   ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น   นี่แน่ะ   ท่านผู้นั้นให้บัพติศมา   และผู้คนต่างก็พากันไปหาท่าน”

 - John 3:26

 

ในทางธุรกิจ อาจต้องหาทางคิดกำจัดคู่แข่ง ที่กำลังจะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาด ในการการเมืองอาจต้องเลื่อยขาเก้าอี้ หรือ สกัดดาวรุ่ง เพื่อไม่ให้พุ่งแซงหน้าไป  และไม่ว่าจะเป็นวงสังคม วงการบันเทิง หรือวงการอื่น ๆ ก็มักจะเห็นการแย่งชิงโอกาส แย่งชิงมงกุฎ แย่งชิงรางวัล อาจต้องถึงขั้นห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อไม่ให้ใครมาใหญ่กว่าตน

แต่สำหรับยอห์น ผู้ให้บัพติศมา กลับไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะ...

 

1.  รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร  - คือ เป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่พระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)

 

ยอห์นตอบว่า   “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย   นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า   ข้าพเจ้าได้พูดว่า   ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์   แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ - John 3:27-28

 

ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร คือ ได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จแก่พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต ที่พระเจ้าประทานให้จากสวรรค์

ด้วยเหตุนั้น แม้เราจะได้รับมอบหมายหน้าที่จากเบื้องบนสูงสุด แต่สุดท้ายต้องเข้าใจว่า ยังมีผู้เป็นจอมเจ้านายอยู่เหนือชีวิตเสมอ

 

ย้อนกลับไปตอนที่ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวนี้แก่พ่อแม่ของยอห์นและทำนายถึงชีวิตและหน้าที่ของท่านเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน ทุกอย่างยังเป็นไปตามนั้น (ลูกา 1-5-25,57-80) รวมทั้งเป็นไปตามคำพยากรณ์หลายร้อยปีก่อนยอห์นจะมาเกิดด้วย (อสย.40.3, มลค.3.1) ต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับเศคาริยาห์และเอลิซาเบธที่ได้อดทนสั่งสอนเลี้ยงดูลูกชายให้เดินทางแห่งพระปะสงค์ของพระเจ้า และขอบคุณพระเจ้าสำหรับยอห์นที่เชื่อฟังและดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า  ทำให้รู้ตัวเสมอว่าตนเองเป็นใคร และสมควรจะทำอะไรจึงจะดีที่สุด

 

2.  รู้ดีถึงสถานะของตน – ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวที่ต้องดูแลงานสมรสให้สำเร็จไปด้วยดี

 

ยอห์น รู้ตัวว่า ตนเองเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แม้จะดูโดดเด่นไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังด้อยกว่าเจ้าบ่าวอยู่ดี สุดท้ายเจ้าสาวต้องเป็นของเจ้าบ่าว ผู้เป็นพระเอกตัวจริง

ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว   สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง   เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว   ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว - John 3:27-29

 

 ท่านรู้ดีว่าได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เตรียมทางแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ด้วยเหตุนั้น แม้เพียงแค่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าว  ผู้จัดเตรียมงานและเพื่อนเจ้าบ่าวสมควรที่จะชื่นชมยินดี และต้อนรับอย่างสมเกียรติ

 

พระเยซูคริสต์คือ เจ้าบ่าว ที่เป็นพระเอกตัวจริง  เรามีหน้าที่เป็นผู้เตรียมงานสมรสให้ท่าน  เมื่องานสมรสเกิดขึ้นผู้ที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดคือเจ้าบ่าว  แม้คนเตรียมงานจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด แต่ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจสำคัญของงานไปได้ คือ เราทำทุกสิ่งเพื่อให้สมพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของงาน

และแน่นอนพระเจ้าไม่ทรงละเลยผู้รับใช้เช่นกัน  การที่ได้รับคำชมว่า “ดีแล้ว  เจ้าเป็นทาสที่ดีและสัตย์ซื่อ” ก็มากเพียงพอสำหรับคนรับใช้แล้ว และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด”  (มัทธิว 25.23) นั่นถือว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้แล้ว

ดังนั้น ควรรู้สถานะของตนและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

 

3. รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเอง - ว่ามาจากโลก แต่พระองค์ลงมาจากสวรรค์ ย่อมต่างชั้นกันลิบลับ

 

ยอห์น รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเองและพระเยซู คือ ตนเองมากจากโลก  แต่องค์พระเยซูมาจากสวรรค์

พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง   ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลก   และพูดตามอย่างโลก   พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง -John 3:31

ความจริงเรื่องที่มาและฐานะของพระเยซูนั้น เป็นที่ประจักษ์และยอมรับของยอห์นผู้ให้บัพติศมาอยู่เสมอ  คือ พระเยซูมาจากสวรรค์  ทรงยอมเสด็จมาในโลกนี้ในสถาพของมนุษย์ แต่เนื้อแท้ของพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

ดังที่มัทธิวสาวกของพระเยซูบันทึกไว้ว่ายอห์นไม่อาจเอื้อมที่จะให้บัพติศมาแก่พระเยซูเพราะรู้ดีว่าพระองค์เป็นใครและมาจากไหน

แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลี   มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า   “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์   ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์” -Matthew 3:13-14

ซึ่งสอดคล้องกับอาจารย์เปาโลพูดถึงการยอมสละสภาพของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู

ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า   แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ   และทรงรับสภาพทาส   ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว   พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา   กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง   และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า  ในสวรรค์   ที่แผ่นดินโลก  ใต้พื้นแผ่นดินโลก   จะคุกลงกราบ  พระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ     ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า   อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

- Philippians 2:5 -11

ยอห์นจึงรู้ตัวดีและวางตัวอย่างเหมาะสมต่อพระเยซู  แม้ขณะนั้นจะยังเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนมาก ท่านไม่ได้ฉวยโอกาสใช้มวลชนเป็นเครื่องมือแสดงความยิ่งยิ่งใหญ่ของตน แต่ยอมถ่อมลงและยกให้พระเยซูเป็นใหญ่ด้วยใจยินดี

พระเยซูคริสต์ทรงทราบเรื่องนี้ดี จึงมีคำตรัสถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า...เป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ และเป็นมนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ที่เกิดมา (มัทธิว 11.7-11)

พระเยซูตรัสกับคนหมู่นั้นถึงยอห์นว่า   “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดาร   เพื่อดูอะไร   มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายไปดูอะไร   ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ   ดูเถิด   คนนุ่งห่มผ้าเนื้อนิ่มก็อยู่ในราชวัง แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร   ดูผู้เผยพระวจนะหรือ   แน่ทีเดียว   และเราบอกท่านว่า   ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละ   ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า     'เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน[ คือ   พระเมสสิยาห์ ]      ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน'  
 
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น   ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา   แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก - Matthew 11:7-11

 

พระคัมภีร์ยืนยันว่า พระเจ้าไม่เคยลืมผู้รับใช้ของพระองค์  แม้มนุษย์ด้วยกันอาจจะลืมกันได้ มองข้ามกันไปเมื่อยามได้ดี

พระเยซูตรัสว่า...

ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา   ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา   และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย   ถ้าผู้ใดรับใช้เรา   พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น -John 12:26

อาจารย์เปาโลกล่าวอ้างถึงธรรมบัญญัติของโมเสสว่า...

เพราะว่าในธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า   อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ พระองค์ไม่ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของพวกเราโดยเฉพาะดอกหรือ   ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย   แสดงว่าคนที่ไถนาควรไถด้วยความหวังใจ   และคนที่นวดข้าวควรนวดด้วยความหวังใจว่า   จะได้ประโยชน์ - I Corinthians 9:9-10

และย้ำอีกครั้งในการหนุนใจให้ผู้คนได้รับใช้ว่า...

จงถือว่าผู้ปกครองที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า   โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เทศนาและสั่งสอน เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า   อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว  เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน - I Timothy 5:17-18

 

ดังนั้น จงทำหน้าที่ของตนในฐานะผู้รับใช้  โดยตระหนักรู้เสมอว่า  ตนเป็นใคร มีฐานะเช่นไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วจะทำให้เส้นทางการรับใช้เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และมีเกียรติตามสมควรที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายสูงสุดจะทรงโปรดตามพระทัย

เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น   ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก   สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา   ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์   หรือเป็นเทพอาณาจักร   หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ   สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น   โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง   และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย   คือคริสตจักร   พระองค์ทรงเป็นปฐม   เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย   เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง - Colossians 1:16-18

อาเมน


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

19 พฤษภาคม 2563

จงมั่นคงในความเชื่อ - Stand firm in the faith. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
จงมั่นคงในความเชื่อ - Stand firm in the faith.
โดย บัณฑิต ดาแว่น 

ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง   จงมั่นคงในความเชื่อของท่าน   จงเป็นลูกผู้ชายแท้   จงเข้มแข็ง
ทุกสิ่งซึ่งท่านกระทำนั้น   จงกระทำด้วยความรัก
Be watchful, stand firm in the faith, act like men, be strong.
Let all that you do be done in love.  - I Corinthians 16:13-14

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังหาความแน่นอนไม่ได้  จึงต้องตั้งใจดูแลชีวิตให้ดี
นอกจากระมัดระวังอยู่เสมอแล้ว ยังมีคำแนะนำจากพระวจนะต่อไปอีกคือ...

จงมั่นคงในความเชื่อ - Stand firm in the faith.

“ความมั่นคง”Stand firm  พระคัมภีร์ตอนนี้ให้เห็นภาพว่า  เป็นการยืนหยัดอย่างมั่นคง  พร้อมจะขับเคลื่อนต่อไปได้  พยายามรักษาการยืนอยู่  เป็นการตั้งค่าของอุปกรณ์ที่จะใช้งานให้พร้อม  เป็นเตรียมพร้อมที่จะให้การต่อหน้าผู้พิพากษา  พร้อมที่จะอยู่หรือจะไปอย่างมั่นคง  ยังสามารถรักษาความมั่นคง หรือพลังอำนาจไว้  มีความมั่นคงไม่ลังเลและมีความปลอดภัย  ถ้าเป็นอาคารก็มีความมั่นคงปลอดภัย ถ้าเป็นการทำธุรกิจก็พร้อมจะซื้อจะขายอย่างมั่นใจ ถ้าเป็นการเดินทางก็พร้อมจะขับเคลื่อนอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีทิศทาง เป็นนักมวยพร้อมสู้ นักกีฬาพร้อมแข่งขัน


จะมั่นคงในอะไร พระคัมภีร์สอนว่า... ต้องมั่นคงในความเชื่อ

 “ความเชื่อ” ในที่นี่หมายถึง  ความเชื่อมั่นในความจริงของพระเจ้าที่ทรงเป็น ทรงอยู่ และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ เชื่อในความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  เป็นความเชื่อที่มั่นคง ไว้ใจได้ ยังคงสัตย์ซื่อในพระเจ้าเสมอ

+ เชื่อในพระเจ้า ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และทรงมีแผนการณ์แห่งการช่วยให้รอดผ่านทางพระเยซูคริสต์

+ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในฐานะทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (พระเมสสิยาห์)และเชื่อในชีวิตนิรันดร์ที่ทรงประทานให้และเชื่อมั่นว่าจะได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์กับพระองค์

ความมั่นคงในความเชื่อ โดยภาพรวมแล้ว จึงเป็นการยืนหยัดและยืนยันถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า ต่อพระเยซูคริสต์  ด้วยความมั่นคงศรัทธา พร้อมที่จะประพฤติ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยความตั้งใจแน่วแน่ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ยังมั่นใจในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน


จะมั่นคงในความเชื่อได้อย่างไร – How to stand firm in faith ?

1. ยืนหยัดอยู่ในข่าวประเสริฐStand firm in the gospel.
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐ   ที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย   ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้   อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ - I Corinthians 15:1

2. แต่งตัวให้พร้อมด้วยยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า – Stand firm in whole armor of God.
จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า   เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้
เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้   เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น   และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ - Ephesians 6:11-13

3. มีความศรัทธาอย่างเต็มขนาดและเชื่อฟังเต็มที่ – Stand firm in faith and obey.
เอปาฟรัส ขอ​ฝาก​ความ​ระลึก​ถึง​มา เขา​เป็น​อีก​คน​หนึ่ง​ใน​คณะ​ของ​ท่าน​และ​เป็น​ผู้​รับใช้​พระเยซู​คริสต์​และ​อธิษฐาน​เพื่อ​ท่าน​เสมอ ทั้ง​ทูล​ขอ​พระเจ้า​ให้​โปรด​ช่วย​ท่าน​ให้​มั่นคง เป็น​คริสตชน​ที่มี​ความ​ศรัทธา​เต็ม​ขนาด และ​เชื่อฟัง​พระประสงค์​ของ​พระองค์​เต็มที่ - Colossians 4:12 (TCL)

4. ยืนหยัดในฐานะเสรีชนคนที่รับการไถ่บาปโดยพระเยซูคริสต์Stand firm in freedom of Christ.
ไม่กลับไปอยู่ใต้ธรรมบัญญัติเพื่อจะทำให้ตนเองรอด แต่พึ่งอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ช่วยชีวิตให้หลุดพ้นจากบาปแล้วโดยพระคุณ
พระเยซู​ทรงให้​เรา​เป็น​ไท​แล้ว เรา​จึง​เป็น​อิสร​ชน! ฉะนั้น จง​ยืนหยัด​ดัง​ผู้​ที่​เป็น​เสรี​ชน   อย่า​ยอม​ตัว​ตก​ไป​เป็น​ทาส​อีก  - Galatians 5:1 (TCL)

5. มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน – Stand firm in unity.
ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์   เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม   ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า   ท่านเชื่อมั่นคง   เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่ออันเกิดจากข่าวประเสริฐนั้น - Philippians 1:27

6. ยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า – Stand firm in the Lord.
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า   ผู้เป็นที่รัก   เป็นที่ปรารถนา   เป็นที่ยินดี   และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า   พวกที่รักของข้าพเจ้า   จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด   - Philippians 4:1

7. ยึดถือในพระวจนะของพระเจ้า – Stand firm in the word of God
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายจงมั่นคงไว้   และยึดถือโอวาทที่ท่านได้เรียนจากเรา   ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือด้วยจดหมาย   - II Thessalonians 2:15

8. มั่นคงในการทำงานของพระเจ้า – Stand firm in work of God
เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า   ท่านจงตั้งมั่นอยู่   อย่าหวั่นไหว   จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา   ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า   โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า   การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้ - I Corinthians 15:58

ขอพระเจ้าให้ท่านมีความเชื่อที่มั่นคง และดำรงชีวิตด้วยความมั่นใจในทุกสถานการณ์ นะครับ


15 พฤษภาคม 2563

จงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง – Be Watchful. โดย บัณฑิต ดาแว่น



คิดอย่างบัณฑิต
จงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง Be Watchful.
โดย บัณฑิต ดาแว่น

ในช่วงเวลานี้ที่มีความเสี่ยงมากมาย จึงจำเป็นต้องมีความระมัดระวัง  เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนและไม่ตกเป็นเหยื่อ
อาจารย์เปาโลใช้ถ้อยคำเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เชื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติ

ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง   จงมั่นคงในความเชื่อของท่าน   จงเป็นลูกผู้ชายแท้   จงเข้มแข็ง
ทุกสิ่งซึ่งท่านกระทำนั้น   จงกระทำด้วยความรัก
Be watchful, stand firm in the faith, act like men, be strong.
Let all that you do be done in love.  - I Corinthians 16:13-14

จะทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ...ขอเสนอตามหลักพระวจนะตอนนี้ว่า...จงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง

จงระมัดระวัง – Be Watchful.

ฝ่ายร่างกายเพื่อให้สุขภาพดี มีความปลอดภัย  ยังต้องรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอานามัย  อยู่ในที่ปลอดภัย ไม่เข้าไปในกลุ่มเสี่ยง หากเลี่ยงไม่ได้ ต้องเว้นระยะห่าง 

ฝ่ายจิตวิญญาณ ยิ่งต้องระมัดระวัง !

พระคัมภีร์ให้ความหมาย  “ระมัดระวัง” Be watchful  คือ การจดจ่อ จดจ้อง แบบใส่ใจอย่างแน่วแน่  รอบคอบ มีความกระตือรือร้น  เป็นการตื่นขึ้นจากหลับ หรือแสดงการมีชีวิตอยู่ (ฟื้นจากความตาย) ลุกขึ้นจากที่นอน หรือ เตรียมพร้อม เหมือนนักมวยที่ยืนในท่าที่มั่นคงและเต้นฟุตเวิร์กตั้งการ์ดพร้อมต่อสู้  หากเป็นการก่อสร้างก็มีการเตรียมฐานและสามารถต่อเติมขึ้นไปได้อย่างมั่นคง

เหตุผลที่ต้องมีการระมัดระวัง – The reason why to be watchful.

1. เพราะไม่รู้วันเวลาการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซู –  For you know neither the day nor the hour.
เหตุฉะนั้น   จงเฝ้าระวังอยู่   เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น -Matthew 25:13

2. เพื่อจะมีความพร้อมทั้งกายและจิตวิญญาณ – For ready in your physical and spiritual.
ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน   เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง   จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง   แต่กายยังอ่อนกำลัง” - Matthew 26:41

3. เพื่อจะทำหน้าที่ด้วยใจขอบพระคุณ – For being watchful in it with thanksgiving.
จงขะมักเขม้นอธิษฐาน   จงเฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ - Colossians 4:2

4. เพื่อจะป้องกันไม่ให้ศัตรูโจมตีได้For protection from devil.
ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี   ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ   ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ - I Peter 5:8
5. เพื่อจะไม่ถูกหลอกจากผู้สอนผิด - For protection from  false teacher.
พี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน   ให้สังเกตดูคนเหล่านั้นที่ก่อเหตุวิวาทและทำให้คนอื่นหลง   ซึ่งเป็นการผิดคำสอนที่ท่านทั้งหลายได้เรียนมา   จงเมินหน้าจากคนเหล่านั้น -  Romans 16:17

6. เพื่อจะช่วยทั้งตนเองและคนอื่นได้ – For save both yourself and other.
จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน   จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น   เพราะเมื่อกระทำดังนั้น   ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้ - I Timothy 4:16

7. เพื่อจะได้รับบำเหน็จอย่างเต็มที่ – For may win a full reward.
ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี   เพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้กระทำมาแล้ว   แต่อาจจะได้รับบำเหน็จเต็มที่ - II John 1:8

เมื่อรู้เหตุผลอย่างนี้แล้ว ยิ่งต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังให้มากขึ้น
อาเมนมั้ยครับ !
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

09 พฤษภาคม 2563

ล่องทะเลกาลิลี มีพระเยซูอยู่ด้วย Take Galilee’s boat with Jesus. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิตข้อคิดจากอิสราเอล
ล่องทะเลกาลิลี  มีพระเยซูอยู่ด้วย
Take Galilee’s boat with Jesus.
โดย บัณฑิต  ดาแว่น

หลังจากอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ ใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า และกินอาหารเช้าคือขนมปังทาด้วยปลาทูน่าใส่ต้นหอมผักชี มีแอปเปิลอีกหนึ่งลูก  เปิดคอมพิวเตอร์ตรวจงานที่คงค้างและงานที่ต้องทำ เปิดเฟสบุค ไลน์ และอุปกรณ์สื่อสาร ติดตามข่าวสารทั่วไป
เฟสบุค ผู้รู้ใจยิ่งกว่าคนข้างๆ และรู้ดียิ่งกว่าตัวเราเอง แสดงความทรงจำขึ้นมาหน้าแรกว่า “วันนี้เมื่อปีที่แล้ว” (9 พฤษภาคม 2019)  ภาพผมอยู่บนเรือโบราณที่กำลังพาล่องไปในทะเลกาลิลี ประเทศอิสราเอล  เป็นประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น กับทะเลแห่งตำนานที่ยังมีชีวิต  โดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเจ้าใช้เวลาสั่งสอน และดำเนินชีวิต พันธกิจ ในบริเวณทะเลกาลิลี และรอบ ๆ ชายฝั่งนี้ เมื่อสองพันปีก่อน  และตอนนี้ผมได้ร้องเพลงนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า ร่วมกับบรรดาผู้ศรัทธาจากทั่วไทยร้อยกว่าคน  วันนั้นเราแยกกันลงเรือสองลำแต่ใช้เชือกผูกติดกันไว้ เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันในช่วงเวลาพิเศษ
ผู้นำบนเรือ ที่เป็นทั้งเจ้าของและกัปตัน ทักทายต้อนรับด้วยภาษาฮีบรู อังกฤษ และภาษาไทยบางคำ จากนั้นเราร้องเพลงชาติไทย พร้อมเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา และเข้าสู่การร้องเพลงนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า นับเป็นบรรยากาศที่ตราตรึงอยู่ในใจไม่รู้ลืม  ยิ่งตอนร้องเพลง พระคุณพระเจ้า  - Amazing grace ด้วยเสียงประสานทั้งไทย อังกฤษ และ ฮีบรู ยิ่งทำให้ขนลุก สำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ขึ้นมาอยู่บนเรือที่ลอยบนทะเลกาลิลีแห่งนี้  สัมผัสในหัวใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่บนเรือด้วย
เจ้าของเรือ เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นเขายังไม่เชื่อพระเยซู เขาเป็นยิวที่ยึดมั่นในความเชื่อตามบรรพบุรุษเรื่อยมา แต่ชีวิตก็ล้มลุกคลุกคลาน เนื่องจากยากจนและการศึกษาน้อยจึงต้องมาทำงานบนเรือคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว หลายครั้งที่เขามักได้เห็น ได้ยินเสียงผู้คนที่มาสรรเสริญพระเจ้าและมีชีวิตที่ดูแล้วมีความสุข  ในที่สุดเขาจึงได้มาเชื่อในพระเยซูและพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต  จากการเป็นลูกเรือที่คอยทำงานรับจ้าง กลายมาเป็นเจ้าของเรือที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก  แต่เบื้องหลังกว่าจะได้เรือมาเป็นของตนเองนั้น เกิดจากพระคุณพระเจ้าที่เมตตาเขานั่นเอง  เนื่องจากเขาได้มาเชื่อพระเยซูเพราะการทำงานบนเรือ  เขาจึงอยากมีเรือเพื่อใช้เป็นที่นมัสการพระเจ้า และเรือที่เขาต้องการคือ เรือที่มีลักษณ์คล้ายกับสมัยพระเยซู  แต่ว่าไม่มีเงินมากพอ สุดท้ายพระเจ้าดลใจให้เศรษฐีเจ้าของเรือโบราณขายให้ในราคาพิเศษ เพราะเห็นความตั้งใจที่เขาไปอ้อนวอนหลายต่อหลายครั้ง  ในเดือนพฤษภาคม ปี 2019 ที่คณะของเราไป  เขามีเรือสองลำแล้ว ตั้งชื่อเรือตามพระคัมภีร์  หนึ่งโครินธ์ บทที่ 13.ข้อ13 ที่ว่า...จงตั้งอยู่สามสิ่งคือ ความเชื่อ ความหวัง และความรัก...  ตอนนี้เราอยู่บนเรือทั้งสอง คือ เรือ ความเชื่อ ( Faith) และ เรือ ความหวัง (Hope) และเขาตั้งใจว่าจะมีเรือลำที่สามต่อไปถ้าพระเจ้าเมตตา แน่นอนจะใช้ชื่อว่า ความรัก (Love) เขาชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อก่อนร้องเพลงทั่วไปด้วยความเมามาย แต่ตอนนี้เขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและประกาศพระนามพระเยซูบนเรือโบราณที่ระลึกถึงพระเยซูต่อหน้านักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี

ทะเลกาลิลี  เป็นสถานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนมากมาย  เมื่อเขาได้พบกับพระเยซู  มีคนเด่นๆ ที่เป็นที่รู้จักมาจนทุกวันนี้  คือ สองพี่น้อง เปโตรและอันดรูว์  และอีกสองพี่น้องคือ ยากอบและยอห์น บุตรเศเบดี(มธ.4.18-22)  ทั้งสี่คนเป็นชาวประมง จับปลาเลี้ยงชีพอยู่ในทะเลกาลิลี เมื่อพระยซูทรงเรียก พวกเขาก็ทิ้งเรือ ทิ้งแหและอวน แล้วตามพระองค์ไป พวกเขาจึงกลายเป็น ผู้จับคน แทนการจับปลา ทำให้ผู้คนทั่วโลก รวมทั้งผมและอีกหลายคนได้เป็นลูกศิษย์พระเยซูด้วย
ทะเลกาลิลี เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่สวยงาม  มีปลาชุกชุม โดยเฉพาะปลาที่เราคุ้นเคยดีคือ ปลานิล (เรากินมื้อเที่ยงที่นั่น จะเล่าให้ฟังต่อไปครับ) ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 213 เมตร ยาว 22.5 กิโลเมตร กว้าง 9.5 กิโลเมตร  รับน้ำจากแม่น้ำจอร์แดนตอนบน  ทะเลนี้มีหลายชื่อ บ้างก็เรียกว่า เยเนซาเรท (ลก.5.1) ทิเบเรียส (ยน.6.1,21.1) ในพระคัมภีร์เดิมเรียก คินเนเรท (กดว.34.11) เพราะมีรูปร่างคล้ายพิณ (ยชว.11.2)
ท้องทะเลกาลิลีและบริเวณรอบ ๆ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำพันธกิจและการอัศจรรย์ของพระเยซูอย่างมากมาย พระเยซูใช้เวลาอยู่บริเวณนี้เพื่อสั่งสอนทั้งบนเรือในกลางทะเล หรือนั่งบนเรือแล้วสอนคนที่อยู่ชายฝั่ง  มีการอัศจรรย์หลายครั้ง เช่น ทรงช่วยให้เปโตรและเพื่อนจับปลาตอนกลางวันได้จนเต็มลำ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหามาทั้งคืนแต่ไม่ได้สักตัว(ลก.5.1-11) ห้ามลมพายุให้สงบในฉับพลัน(มธ.8.23-27) ทรงเดินบนน้ำไปหาสาวกที่เผชิญพายุกลางทะเลและช่วยเปโตรให้เดินมาหาพระองค์เมื่อเขากำลังจมก็ช่วยขึ้นมาอย่างปลอดภัย(มธ.14.22.36)  ทรงเลี้ยงคนนับหมื่นด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย(ยน.6) รักษาคนถูกผีสิงให้หายเป็นปกติ (มก.5.1-13)และยังมีเหตุการณ์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็ทรงปรากฏให้สาวกได้เห็นและจัดเตรียมปลาให้พวกเขากินด้วย(ยน.21)
ณ ทะเลกาลิลี ที่มีพระเยซูอยู่ด้วย ทรงช่วยให้เกิดสิ่งพิเศษและมหัศจรรย์  จนทำให้ผมและอีกหลายคนได้มาตามรอยพระบาทและรับประสบการณ์แสนพิเศษในครั้งนี้ ด้วยหัวใจที่ตื้นตัน สำนึกในพระคุณ การช่วยกู้ การจัดเตรียม การทรงนำ และการอวยพรแก่ชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้

สิ่งที่ผมทำได้คือ ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ ก็จะป่าวประกาศพระนามพระเยซู ผู้ทรงพระคุณนี้ออกไป ให้ทุกคนได้รู้จักและดื่มด่ำในพระคุณพระองค์เช่นเดียวกับที่ผมได้รับมาตลอดเช่นกัน


08 พฤษภาคม 2563

สิ่งที่ควรมีในชีวิต – The important things in life. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
สิ่งที่ควรมีในชีวิต 
 The important things in life.  
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขัน แต่การรับมือมีความจำกัด
จะทำอย่างไรดี เพื่อจะที่จะยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ! 
...เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา   แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์   ความรัก   และการบังคับตนเองให้แก่เรา
…for God gave us a spirit not of fear but of power and love and self-control. -II Timothy 1:7
อาจารย์เปาโลส่งข้อความนี้ถึงทิโมธีศิษย์รักของท่าน เพื่อให้เขาเรียนรู้ในการทำงานท่ามกลางความยุ่งยาก ทั้งด้านวัยวุฒิ คุณวุฒิ เพราะเขายังเป็นคนหนุ่มที่ประสบการณ์น้อย แถมสุขภาพยังมีปัญหา แต่ต้องเผชิญหน้ากับผู้คนและสถานการณ์ที่ท้าทายของชีวิต  ท่านจึงให้คำแนะนำว่าสิ่งที่ควรมีที่จะนำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ...
1.  มีความกล้า – Courage,  No fear.
เรามีความกล้าได้  เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ประทานจิตใจที่ประกอบด้วยฤทธิ์  ในฐานะลูกของพระเจ้าที่เชื่อพระเยซูคริสต์  จึงจำเป็นต้องยืนยันความจริงว่า พระเยซูคริสต์เป็นใคร  พระองค์เป็นพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราเสมอ  พระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลก (มธ.28.18-20)  พระองค์ผู้เป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย (วว.1.17-18) ซึ่งหมายความว่าทรงอยู่ตลอดเวลา ทรงควบคุมทุกสิ่งได้ ทรงรู้สถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดแล้ว  ทรงรู้อนาคตที่สุดท้ายจะกลับกลายเป็นผลดีต่อชีวิตของคนที่พระองค์รักได้(รม.8.28)  ยิ่งกว่านั้นยังทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่เคียงข้างเป็นที่ปรึกษาชี้แจงความจริงและปลอบประโลม ทรงประทานความเข้มแข็งให้แก่เราได้(อฟ.1.19,3.16,6.10) อีกทั้งยังมีพระคำอันประเสริฐที่คอยเป็นกำลังให้เสมอ(1ยน.2.14) 
แล้วอย่างนี้จะให้ความกลัวมากดดันตัวเองทำไม  จงลุกขึ้นและยืนหยัดด้วยความกล้าเพื่อพิชิตทุกสถานการณ์ให้ได้

2.  มีความรัก – Love.
ความรัก เป็นพื้นฐานชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ เพราะทรงเป็นความรัก และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข (1ยน.4.7-9) ประสงค์ให้รักกันและกัน  ดังที่ทรงรักอย่างมากมายจนประทานพระบุตรองค์เดียวมาเกิดในโลกนี้เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นบาป  ให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้  หากเรารักซึ่งกันและกันก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความรักที่เรามีต่อพระองค์ด้วย เพราะแท้จริงแล้ว ที่เรามีความรักและมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน  นั่นหมายความว่าในขณะที่เรายังไม่น่ารักเลย  ลองคิดดูชีวิตของเราก่อนจะรู้จักพระเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง  เชื่อว่าแต่ละท่านสามารถยืนยันได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมานั้นไม่สมควรได้รับความรักจากใครเลย แต่ขอบคุณพระเจ้าทรงยังทรงรักและให้โอกาสแก่ชีวิตเสมอ จึงทำให้มีวันนี้ได้  ดังนั้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ ย่อมมีคนอีกมากมายที่ไม่น่ารัก แถมยังน่าชังอีกต่างหาก  แต่พระเจ้าสอนให้เรารักอย่างที่พระองค์รักเรา  เพราะความรักจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ดีกว่าการเต็มไปด้วยความเกลียดชังแน่นอน
จงให้ความรักนำทางในชีวิตเสมอ

3. มีการควบคุมตนเอง - Self-control.
การควบคุมตนเอง หรือ การบังคับตน  เป็นของผลของพระวิญญาณประการหนึ่งที่ประทานให้กับผู้เชื่อในพระเยซู(กท.5.22-23)  เพื่อจะอยู่ในโลกที่วุ่นวายสับสนได้อย่างมั่นคง  ไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ(Panic) ไม่รนรานจนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น  แต่สามารถเข้าใจสถานการณ์และควบคุมอารมณ์ ความคิด จิตใจ อย่างมีสติสัมปชัญญะ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม  อีกทั้งมีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอย่างคนที่มีระเบียบวินัย (Discipline)  เพราะคนที่ขาดระเบียบวินัยและการควบคุมตนเองนั้นย่อมเป็นอันตราย จากเรื่องเล็กอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ (สภษ. 5.23) แต่คนที่ยึดระเบียบวินัยนั้นย่อมมีผลดีต่อชีวิต (สภษ.4.23,6.23)
จงใช้ชีวิตด้วยการควบคุมตนเองในทางที่ควรเสมอ

นี่คือสามสิ่งสำคัญที่ควรมี เพื่อที่จะอยู่อย่างมีคุณภาพ
เห็นด้วยมั้ยครับ !

26 เมษายน 2563

พระเจ้าห่วงใยคุณมากเพียงใด - How much God care for you. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต


พระเจ้าห่วงใยคุณมากเพียงใด
 How much God care for you.
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ หรือ บางคนเริ่มใช้คำว่า “ความปกติแบบใหม่” (New normal) ที่ยังต้องปรับตัวกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และคงไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้ 
จะผ่านไปได้อย่างไร?
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้ายังควบคุมเหนือสถานการณ์เหล่านี้ ? 
พระเจ้ายังทรงห่วงใยอยู่หรือไม่ ?
และยังมีอีกหลายคำถามที่เกิดขึ้นในสภาวะขาดกำลัง ขาดรายได้  ขาดจากเพื่อนฝูงที่เคยผูกพันใกล้ชิด เคยใช้วิถีชีวิตในการนมัสการในรูปแบบที่คุ้นเคย แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสที่จะทำได้  จะทำอย่างไรดี  เมื่อความเข้มแข็งที่มีเริ่มถดถอย ?

พระเจ้ายังห่วงใยในชีวิตของเราเสมอ

พระคำของพระเจ้ายังยืนยัน
จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์   เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย -I Peter 5:7
พระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์มากกว่าทูตสวรรค์จึงให้พระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิตที่ทรงสละพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ความจริง   พระองค์มิได้ทรงเป็นห่วงทูตสวรรค์   แต่ทรงเป็นห่วงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง   เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต   ผู้กอปรด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ   ในการกระทำกิจกับพระเจ้า   เพื่อลบล้างบาปของประชาชน เพราะเหตุที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานและถูกลองใจ   พระองค์จึงทรงสามารถช่วยผู้ที่ถูกลองใจได้
Hebrews 2:16-18
มารีย์ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีว่าพระเจ้าทรงห่วงใยในคนต่ำต้อยและทุกข์ยากอย่างเธอ
เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์  
เพราะนั่นแหละ   ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก
-Luke 1:48 
พระเยซูยืนยันความห่วงใยต่อแกะของพระองค์ในฐานะเป็นผู้เลี้ยงที่ดีที่พร้อมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือ
เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี   ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ   และฝูงแกะไม่เป็นของเขา   เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป   สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย   และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย -John 10:11-13
ชีวิตของเรามีค่ายิ่งกว่านก พระเจ้าทรงห่วงใยแน่นอน
จงดูนกในอากาศ   มันมิได้หว่าน   มิได้เกี่ยว   มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง   แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย   ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้   ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ  -Matthew 6:26
ชีวิตของเรามีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ เหตุไฉนพระเจ้าจะไม่ห่วง
ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม   จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า   มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร   มันไม่ทำงาน   มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี   ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น   ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ   โอ   ผู้มีความเชื่อน้อย   พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 
- Matthew 6:28-30
พระเจ้าทรงทราบความทุกข์ยากและความต้องการของชีวิต
...แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า   ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ 
- Matthew 6:32

ควรทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อรู้แล้วนี่ว่าทรงห่วงใย !

อย่ากระวนกระวายมากเกินกว่าเหตุ
“เหตุฉะนั้น   เราบอกท่านทั้งหลายว่า   อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า   จะเอาอะไรกิน   หรือจะเอาอะไรดื่ม   และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า   จะเอาอะไรนุ่งห่ม   ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ   และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ-Matthew 6:25
จงใส่ใจแสวงหาสิ่งที่สำคัญกว่า คือการให้พระเจ้าครอบครองชีวิต ยอมอุทิศตัวเพื่อแผ่นดินของพระองค์
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า   และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน   แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้   -Matthew 6:33
ไว้วางใจในพระเจ้าวันต่อวัน อย่าให้ความกังวลเพิ่มความทุกข์ทนในวันนี้อีกเลย

 “เหตุฉะนั้น   อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้   เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง   แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว  -Matthew 6:34

เพื่อนชาวอเมริกัน แบ่งปันแนวคิดของเขาให้ฟังว่า ชีวิตของเราพระเจ้าโปรยด้วยพรมชั้นดี เพื่อที่เราจะเหยียบย้ำไปในทางของโลกนี้  ลองก้มลงดูพื้นที่เราเดินไปสิ มีทั้งหญ้าเขียวสวย มีทั้งดอกไม้นานาพันธุ์  พระเจ้าทรงสร้างมันให้อยู่ใต้เท้าของมนุษย์  แล้วอย่างนี้จะพูดได้อย่างไรว่า ชีวิตมิได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะไม่ใช่แค่กลีบกุหลาบที่ถูกเด็ดออกมาจากต้น แต่พระเจ้าให้ต้นหญ้าเขียวสด และดอกที่สวยสดงดงามให้เราเดินไปเสมอ  เพียงแต่เราจะใส่ใจต่อความห่วงใยของพระเจ้าหรือไม่เท่านั้นเอง

แฟรงค์ กราเอฟ (1860-1919)  ผู้ประพันธ์บทเพลง “พระเยซูทรงห่วงข้าหรือไม่” ได้ตั้งคำถามว่า
 พระเยซูทรงห่วงข้าหรือไม่ ...เมื่อยามเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ใจ ไร้ความมั่นคงในชีวิต
...เมื่อยามโดดเดี่ยว ว้าเหว่ใจ  เกิดภัยพิบัติ ขาดคนเข้าใจ
...เมื่อยามคนที่รักจากไป ความโศกเศร้ารุมเร้าดวงใจ
เมื่อยาม...
คำตอบที่เขาได้รับคือ...พระเจ้าทรงห่วงใยอย่างแน่นอน !!
“พระองค์ทรงห่วง...พระองค์ทรงห่วง  เมื่อข้าเศร้าพระองค์ทรงห่วง
                        กลางวันอ่อนระอาใจ  กลางคืนอ่อนล้ากาย  ข้ารู้  พระองค์ทรงห่วง”


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)