18 พฤศจิกายน 2558

"เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง" โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

            คิดอย่างบัณฑิต  โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

สิ่งที่ผู้นำควรเป็น :  
เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง

            โอย! ทำไมมีเรื่องยุ่งๆ วุ่นวาย หลายอย่างต้องทำ ต้องเสร็จ ต้องเป็น ต้องมี แต่เวลา สถานการณ์ไม่เอื้อเลยนะ ทุกอย่าง ทุกงาน ดูฉุกละหุก วุ่นวายไปหมด... คุณเคยรู้สึก เคยเป็นอย่างนี้ หรือ เคยเห็นใครเป็นอย่างนี้หรือไม่ ?  ทำอย่างไรดี มีสาเหตุจากอะไร ติดตามดูนะครับ...
            ปัญหาเช่นที่ยกมาล้วนยังเป็นปัญหา หรือ เคยเป็นปัญหาของผู้รับใช้หลายต่อหลายคน รวมทั้งคุณและผมด้วยหากไม่ทำความเข้าใจให้ดี  เพื่อจะก้าวสู่อิสระในการทำงานอย่างมีความสุข และก่อให้เกิดประโยชน์ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างสูงสุด เท่าที่จะทำได้  ขอเสนอแนวทางในการ เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง  โดยมีสิ่งที่ผู้นำควรเป็น ดังนี้...
1.  ต้องเป็นผู้บริหารที่ดี
            ปัญหาของผู้นำ ผู้รับใช้หลายคน คือ ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี นั่นเอง !   การบริหารจัดการในที่นี่ หมายถึง  การรู้จักจัดแบ่งงาน แบ่งเวลา แบ่งหน้าที่ แบ่งทรัพยากรอย่างเหมาะสม  โดยเฉพาะผู้รับใช้มือใหม่ หรือ แม้แต่มือเก่าที่ไม่พัฒนาก็อาจเจอปัญหาเช่นกัน  ยิ่งงานพันธกิจการรับใช้ที่ไม่มีเจ้านายที่เป็นมนุษย์คอยออกคำสั่งได้อย่างแท้จริง  เพราะเจ้านายที่อยู่เบื้องบนผู้ทรงอำนาจที่แท้จริงนั้น เราไม่อาจมองด้วยตา และไม่อาจได้ยินด้วยเสียงปกติ จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่คนงานของพระองค์จะรู้ว่าควรทำสิ่งใด ก่อนหลัง หรือ จัดแบ่ง แยกแยะอย่างไรดี  ด้วยเหตุนั้น ผู้รับใช้หลายท่านจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หรือ มีอะไรต้องทำบ้าง  ยิ่งปล่อยให้วันเวลาผ่านไป อันตรายที่ไม่คาดคิดก็มาเยือน เพราะงานนั้นควรทำ ควรเสร็จแล้ว แต่กลับยังไม่เริ่ม หรือ งานที่ควรเกิดกลับไม่เกิด งานที่สำคัญไม่ทำ แต่กลับไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นต้น  บางคนมองจากภายนอก ดูเหมือนทำตัวยุ่ง วิ่งไปวิ่งมา ลุกลี้ลุกลน หากดูผิวเผินอาจคิดได้ว่ากำลังยุ่งงานอยู่ แต่ความจริงคือ บริหารงานไม่เป็น จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก สิ่งนั้นก็ดูเหมือนรีบ สิ่งนี้ก็เร่ง จึงเคร่งเครียด และกังวล สาระวนจนสับสนไปหมด  ซึ่งความจริงแล้ว หากรู้จักวางแผน จัดระบบ จัดคน แบ่งงาน จัดการประสาน อำนวยการให้เหมาะสม เรื่องที่กำลังทำให้ยุ่งโดยไม่จำเป็นนั้น ก็กลายเป็นเรื่องปกติได้  ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่าทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ? ลองคิดดูว่ามีการบริหารจัดการที่ดีหรือยัง ? ในทางตรงกันข้าม หากคุณว่างจนไม่รู้จะทำอะไรดี มีอะไรให้ทำก็ไม่รู้  จงถามเช่นเดียวกันว่า คุณมีการบริหารจัดการที่ดีหรือไม่ ? เพราะหากมีการบริหารจัดการที่ดี จะไม่ทำให้ยุ่งจนวุ่นวาย และไม่ว่างจนวุ่นวนแน่นอน 
            ขอแนะนำว่า นอกจากศึกษาพระคัมภีร์ ที่คอยชี้แนะการบริหารอยู่มากมาย ทั้งให้คุณแก่ฝ่ายจิตวิญญาณอย่างชำนาญแล้ว ขอให้ลองอ่านหนังสือหลักการบริหารที่มีอยู่ทั่วไปด้วยก็จะช่วยได้มากขึ้นนะครับ เพราะสติปัญญาทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้า แต่จงเลือกปัญญาที่มาจากเบื้องบนที่ก่อให้เกิดความสงบสุขและประโยชน์ยิ่งต่อชีวิตตนและคนอื่น ดังที่ท่านยากอบบันทึกไว้... 17แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก   แล้วจึงเป็นความสงบสุข   สุภาพและว่าง่าย   เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี   ไม่ลำเอียง   ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้สร้างสันติสุข   หว่านอย่างสันติ   จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม (ยากอบ 3.17-18)
2.  ต้องเป็นผู้ประสานงานที่ดี
            ปัญหาอีกอย่างสำหรับผู้รับใช้มือใหม่ คือ การขาดแคลนผู้ร่วมงาน ซึ่งความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้รับใช้มือใหม่ แต่ผู้รับใช้ส่วนใหญ่อาจเห็นด้วยกันว่า ขาดคนงาน และหลายคนมักยอมจำนนอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่พระเยซูกล่าวไว้ว่า ...“ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ (มัทธิว 9.37) เพราะฉะนั้นอย่าบังอาจทำอย่างอื่นเลย เพราะยังไงๆ คนงานไม่พอ  แต่หากอ่านพระคัมภีร์ให้ดีต่อไปจะพบว่า มัทธิวบทที่ 9 ข้อ 38 พระเยซูตรัสต่อไปว่า ...เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”  คือให้เราทำหน้าที่แก้ปัญหาการขาดคนงานนี้โดย  หนึ่ง.. แจ้งให้เจ้าของนา (งาน) ทราบ  ซึ่งนั่นก็หมายถึง องค์พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่ง และงานทั้งมวลที่คุณและผมกำลังรับผิดชอบ  ไม่ใช่เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเพียงผู้รับใช้ที่รับผิดชอบงานของพระเจ้า  จึงจำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พระองค์ทราบ ด้วยการอธิษฐานอ้อนวอน ไม่ใช่ต่อว่า บ่น หรือ ประชดประชันว่า ให้งานมาเยอะแยะแต่ไม่ให้ค่าตอบแทน หรือ คนงานที่เพียงพอ อะไรอย่างนี้เป็นต้น  สอง.. ขอพระเจ้าส่งคนงานของพระองค์มาช่วย ขอย้ำอีกครั้งว่า "คนงานของพระเจ้า" ไม่ใช่คนงานของเรา หรือลูกน้องของเรา แต่ เป็นคนงานของพระเจ้า เช่นเดียวกับเรานั่นแหละ  ดังนั้น การที่คุณเคยคิดว่า "คนงานน้อย" อยู่นั้น ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มีคนงาน" แค่ "มีน้อย" ไม่ใช่ "ไม่มี"  เมื่อเข้าใจอย่างนี้จะทำให้คิดต่อไปได้ว่าจะทำอย่างไร  หากคนงานในบริเวณที่คุณอยู่มีน้อย นั่นอาจจะมีแหล่งอื่นที่มีคนงานที่สามารถมาช่วยคุณก็ได้  เพียงแต่หน้าที่ของคุณคือ เงยหน้าขึ้น หันมองรอบตัวและมองไปรอบทิศ  เพื่อคิดถึง คนงานของพระเจ้า ที่กำลังต้องการร่วมงานของพระองค์กับคุณ  โดยการติดต่อสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และประสานงานไปยังคนเหล่านั้น เพื่อให้เขารับรู้และเข้าใจ รวมทั้งมีภาระใจที่จะมีส่วนในการรับใช้ในทุ่งนาของพระเจ้า  ซึ่งหากทำความเข้าใจให้ดีแล้ว จะพบว่า มีคน มีหน่วยงาน มีองค์กร มีคริสตจักรอีจำนวนมากที่อยากหาโอกาสในการรับใช้ อยากส่งคน ส่งทีมไปทำงานตามที่ต่างๆ อยู่แล้ว  บางแห่งนอกจากให้คนแล้วยังยินดีให้สิ่งของ อุปกรณ์ เงิน และอื่นๆ อีก  เพียงแต่คุณรู้หรือไม่ว่าคนงานเหล่านั้นอยู่ที่ไหน และจะติดต่ออย่างไรเท่านั้นเอง !  หากไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แนะนำให้เปิดหนังสือไดเรคเตอรี่คริสเตียนไทย หรือแม้แต่สมุดหน้าเหลืองก็ยังช่วยได้  สามารถค้นผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้  แต่หากอยากให้เกิดการประสานที่ใกล้ชิด ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ไว้ใจได้ เข้าใจงาน เข้าใจคนตามที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ต้องเริ่มจากการสร้างสัมพันธ์ ประสานเครือข่าย และขยายความจริงของพระเจ้าออกไปด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะพบว่าไม่ขาดคนงานของพระเจ้าเลย แม้จะมีน้อย แต่ยืนยันว่า ยังมีอยู่ นอกจากอ้อนวอนพระเจ้าแล้ว  คุณได้ประสานงานถึงเขาหรือยัง ? ทำให้ครบถ้วนนะครับ

            งานของพระเจ้าจะทำให้ยุ่ง หรือ ทำแล้วรุ่งนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณและผมแล้วว่าได้เป็นในสิ่งที่ควรเป็น คือ  เป็นผู้บริหารและผู้ประสานที่ดีแล้วหรือยัง  ลองคิดดูนะครับ !

            มาช่วยกันเปลี่ยนเรื่องที่คิดว่า "ยุ่ง" ให้เป็นเรื่อง "รุ่ง" กันดีกว่านะครับ

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

29 ตุลาคม 2558

สิ่งที่ผู้นำควรมี..(2) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (2)
โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

ตอนที่  2.  
ผู้นำควรมีความเข้าใจ

            "ความเข้าใจ"  เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้นำสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล  เพราะหากขาดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วอาจนำไปสู่ความเสียหายได้
16ผู้ใดที่หันเหไปจากทางแห่งความเข้าใจ  
  จะพักอยู่ในที่ประชุมของคนตาย
   Proverbs 21:16
ผู้นำสามารถได้รับความเข้าใจได้โดย ความยำเกรงพระเจ้าและทำตามพระดำรัสของพระองค์
10ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของ สติปัญญา  
 บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี  
 การสรรเสริญพระเจ้า  ดำรงอยู่เป็นนิตย์
Psalms 111:10
นอกจาการศึกษาค้นคว้า เพื่อจะได้ความรู้ ความเข้าใจแล้ว  พระเจ้ายังเปิดทางให้รับสติปัญญาจากพระองค์โดยตรง  ...ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา   ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า   ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ   แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ James 1:5
            ผู้นำควรมีความเข้าใจในเรื่องอะไรบ้าง  สิ่งที่สำคัญที่ผู้นำควรมีความเข้าใจเพื่อจะนำไปสู่การนำคริสตจักรและการรับใช้ในพันธกิจ  ได้แก่  ความเข้าใจตน  เข้าใจคน และ เข้าใจงาน
            "เข้าใจตน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจตนเอง ว่า ตนเองเป็นใคร  มีนิมิต  ของประทาน ความสามารถ และภาระใจอย่างไรบ้าง  เพื่อจะวางตนเองในบทบาท ในหน้าที่ที่เหมาะสม  เพราะแต่ละคนนั้นมีความแตกต่าง  ไม่ใช่ว่าเพราะใครดีกว่าใคร แต่เป็นใครเหมาะสมกว่าใครต่างหาก  พระเจ้าสร้างแต่ละคนให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ  ดังนั้น ผู้นำจึงจำเป็นต้องค้นพบตนเองให้เจอ ทำความเข้าใจให้ได้  เพราะ...ในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆ  มิได้มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น   แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย   บ้างก็เพื่อศิลปะ   และบ้างก็สามัญ 21ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า   เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า   ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว   เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์   พร้อมกับการดีทุกอย่าง (II Timothy 2:20)
ของประทานของพระองค์   ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต   บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้   เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น Ephesians 4:11-12
            "เข้าใจคน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจคน  เพราะจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ที่มีความแตกต่างหลากหลาย  ผู้นำจึงจำเป็นต้องศึกษาลักษณะชีวิตของคนให้เข้าใจ เพื่อจะสร้างความสัมพันธ์ อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือ การเสริมสร้าง การนำคนเหล่านั้นให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  โดยเฉพาะในคริสตจักรนั้นย่อมจะมีคนหลายประเภท แตกต่างกันทั้ง เพศ วัย การศึกษา ฐานะ อาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ และอื่นๆ นั้นหมายความว่า ผู้นำต้องพร้อมที่จะเผชิญกับคนทุกประเภทอย่างชาญฉลาด จึงจะสามารถนำคริสตจักรและพันธกิจไปสู่เป้าหมายได้  ตัวอย่างอาจารย์เปาโลท่านได้เรียนรู้ในการเข้าถึงผู้คนแต่ละประเภท  โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวตนที่แท้จริง และไม่สูญเสียหลักการที่ถูกต้องไป เพื่อช่วยคนเหล่านั้นให้รู้จักพระเจ้า 
19เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด   ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง   เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น 20ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว   เพื่อจะได้พวกยิว   ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ   ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ   (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ)   เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น 21ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ   เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น   แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า   แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ 22ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ   ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง   เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง 23ข้าพเจ้าทำอย่างนี้   เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น   I Corinthians 9:20-23
            ผู้นำที่เข้าใจคนที่อยู่รอบข้างและคนอื่นที่เกี่ยวข้อง จะเป็นโอกาสที่จะช่วยคนเหล่านั้นให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของคริสตจักรและพันธกิจมากขึ้น  ซึ่งอาจต้องลงทุน ลงเวลา ลงความใส่ใจในผู้คนเหล่านั้น เพื่อจะช่วยเขาหรือเรียนรู้จากพวกเขาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  ดังพระเยซูเมื่อทรงเสด็จไปตามเขตเมืองและชนบท พระองค์ทรงเข้าใจผู้คนเหล่านั้น เข้าใจสถานการณ์ และยังเข้าใจสาวกของพระองค์ที่ต้องเผชิญสถานการณ์นั้นด้วย  จึงเป็นเหตุให้พระองค์แนะนำทางออกที่เหมาะสมว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  ดังที่บันทึกไว้ว่า.. 35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ   ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”  Matthew 9:35-38
            การที่จะเข้าใจคนอื่นนั้น พระเยซูทรงออกไปหาพวกเขาในทุกที่ที่เขาอาศัยอยู่ ทั้งในเขตเมืองใหญ่ และหมู่บ้านในชนบทเล็กๆ   พระเยซูคริสต์ทรงเข้าไปศึกษาชีวิตผู้คนหลากหลายประเภทและเข้าใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง  หากผู้นำนั่งคิด วางแผนอยู่แต่ในห้องทำงานคงไม่อาจทำความเข้าใจผู้คนได้  จึงจำเป็นที่จะต้องออกไปพบปะผู้คนเพื่อจะรู้จัก เข้าใจอย่างแท้จริง  ดังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้เป็นพระราโชบายในการแก้ไขปัญหาว่า "เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา"
            พระเยซูออกไปพบผู้คนอย่างมีเป้าหมาย  ทรงให้ความรู้   ความเข้าใจ ให้การรักษา ช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นตามความเหมาะสมแต่ละสภาพของชีวิต  ด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสาร เพราะพระองค์เข้าใจความยากลำบาก อุปสรรค์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้คน  ทรงอยู่เคียงข้างเขา ฟังความต้องการของเขา และตอบสนองต่อความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และช่วยให้เขามองการณ์ไกลต่อไปได้ด้วย
            เมื่อออกไปพบผู้คน พระเยซูทรงรู้สถานการณ์ รู้ปริมาณความต้องการของคน ซึ่งพบว่า มีคนจำนวนมาก มีคนที่เจ็บป่วย มีคนที่ไร้ที่พึ่ง ถูกรังควาน และขาดคนผู้ดูแล  พระองค์ทรงเข้าใจสถานการณ์ของชุมชน ในขณะเดียวกันทรงเข้าใจสถานการณ์ของสาวก หรือคนงานของพระองค์ที่มีจำนวนน้อยกว่าปริมาณความต้องการของคนในชุมชน
            พระเยซูทรงแนะนำทางออกของการแก้ไขปัญหาทั้งของผู้คนในชุมชนและคนงานของพระองค์  โดยให้อธิษฐานวิงวอนพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง เพื่อส่งคนงานมาเพิ่ม  เพราะทรงเข้าใจดีว่าสถานการณ์เช่นนี้เกินกำลังของมนุษย์  หากผู้นำเข้าใจเช่นนี้ก็จะมีความหวังและทางออกที่ดีในการทำงานได้เช่นกัน
            "เข้าใจงาน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจในงานที่ตนเองรับผิดชอบ  เพื่อจะสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจตามมาได้มากขึ้น  แม้ว่าความสำเร็จหรือการเกิดผลเป็นของพระเจ้าที่มนุษย์ไม่อาจกำหนดได้ แต่หากผู้นำเข้าใจลักษณะงาน วิธีการทำงาน ขั้นตอน กระบวนการ ของการดำเนินงานอย่างเหมาะสมก็จะสามารถนำพาคริสตจักรและพันธกิจไปสู่เป้าหมายได้  หากย้อนกลับไปทบทวนตัวตนว่าเป็นใคร มีนิมิต และของประทานอะไร เหมาะสมกับงานประเภทไหน และยิ่งมีความเข้าใจผู้คน หรือกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้นำสามารถทำงานได้อย่างดีและมีความสุขยิ่งขึ้น  ดังที่พระเยซู เข้าใจงานของตนว่ามาเป็นพระผู้ไถ่(มก10.45)  ยอห์นบัพติสมาเข้าใจว่างานของตนคือการเตรียมทางให้พระคริสต์ (ยน.1.22-23) เปาโลเข้าใจงานในการประกาศกับคนต่างชาติ(รม11.13; 15.16) เป็นต้น


            คริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทย ต้องการผู้นำที่มีหัวใจ และมีความเข้าใจเป็นจำนวนมาก  ที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานในทุ่งนาอันกว้างใหญ่นี้  จึงต้องหาวิธีในการสร้างผู้นำ เตรียมชีวิตผู้นำ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้นำที่มีหัวใจและความเข้าใจเช่นนี้อย่างเป็นระบบให้มากขึ้น เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าจะตั้งอยู่ในชีวิตของคนไทย และพวกเขาจะหันมารับใช้พระองค์ร่วมกันต่อไป

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

22 ตุลาคม 2558

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (1) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น  

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (1)
ผู้นำ เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าให้ก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง มั่นคง และกว้างไกล  ผู้นำควรมีอะไรจึงจะทำให้คริสตจักรเข้มแข็งอย่างยั่งยืน...
ตอนที่ 1...ผู้นำควรมีหัวใจ
            ผู้นำที่มี "หัวใจ"  หมายถึง การมีชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย  โดยการมอบชีวิตจิตใจให้แก่พระองค์  ดังพระวจนะที่สอนว่า... 1พี่น้องทั้งหลาย   ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า   ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์   เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า   ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย  Romans 12:1
            หัวใจของผู้นำควรอยู่ที่พระเจ้า และมีลักษณะชีวิตที่เป็นดังพระทัยของพระองค์  อันประกอบไปด้วย   ความรัก   ความปลาบปลื้มใจ   สันติสุข   ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม   การรู้จักบังคับตน   และเรื่องอื่นๆ ที่ดีตามหลักการของพระวจนะ (กท.5.22-23)  เช่น การมีหัวใจที่เชื่อฟัง หัวใจที่กล้าหาญ  เป็นต้น
            คุณลักษณะชีวิตที่ผู้นำควรมีนั้น ส่วนใหญ่ไม่อาจเกิดขึ้นเองโดยอัติโนมัติ แต่ต้องอาศัยการอบรมฝึกฝน พัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข อย่างต่อเนื่อง  ทั้งส่วนที่อยู่ภายใน คือ อุปนิสัย และส่วนที่มองเห็นภายนอก คือ บุคลิกลักษณะที่พึงประสงค์  พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นต้นแบบในการเตรียมชีวิตของสาวกที่กลายมาเป็นผู้นำคนสำคัญในคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้า  พระองค์ทรงทุ่มเท ทั้งกายและใจ ให้เวลา ให้โอกาส ให้แบบอย่าง ให้แนวทาง การดำเนินชีวิต จากพวกเขาที่เป็นชนชั้นสามัญ จนกลายเป็นคนที่ใช้การได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ดังที่ปรากฏในการบันทึกที่ว่าผู้นำทางศาสนาและทางการเมืองในเวลานั้นยอมรับว่าสาวกของพระเยซูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง...  เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น   และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ   ก็ประหลาดใจ   แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู (กจ.4.13)
            พระวจนะของพระเจ้ายืนยันว่าพระเยซูคริสต์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่ยอมมอบหัวใจให้พระองค์ครอบครองให้เป็นคนที่ใช้การได้ โดยพระองค์จะทรงขจัดของเก่าที่ไม่ดีออก และประทานสิ่งใหม่ที่ดีกว่าให้ แต่ทั้งนี้ต้องพึ่งอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ที่สามารถสร้างและเปลี่ยนชีวิตได้  โดยให้ผู้นั้นยอมรับการเปลี่ยนแปลง และยอมกลับคืนดีกับพระเจ้าทางพระเยซู คือ หันจากความบาปชั่ว มามอบตัวและหัวใจยินดีอยู่ฝ่ายพระเจ้า ด้วยใจที่สำนึกผิดในพระคุณของพระองค์
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์   ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว   สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป   นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น 18ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า   ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์   และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน  II Corinthians 5:17-18
            คริสตจักรต้องการผู้นำที่มีหัวใจเช่นนี้ เพื่อจะนำคริสตจักรและพันธกิจของพระองค์ก้าวหน้า ก้าวไกล มั่นคงยั่งยืนอย่างแท้จริง

            ติดตามตอนต่อไป...
                                                                                                                            (ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

17 กันยายน 2558

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมี (3) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมี
ตอน...ความมั่นใจในการทรงนำ

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมีและยึดมั่น เพื่อการรับใช้ที่ถวายเกียรติ ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันสุดท้าย นอกจากจะมั่นใจในการทรงเรียกแล้ว ยังต้อง  มั่นใจในพระวจนะของพระเจ้า และมั่นใจในการทรงนำด้วย...
3.  มั่นใจในการทรงนำของพระวิญญาณของพระเจ้า
            พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้ผู้รับใช้เข้าใจความจริงและให้รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดอย่างเหมาะสม  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาประทับอยู่กับสาวกและผู้เชื่อ ทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงที่พระเยซูตรัสไว้ชัดเจนขึ้น และทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและการรับใช้อย่างเต็มที่ พวกเขาออกไปประกาศการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูอย่างไม่กรงกลัวอำนาจใด
            ผู้รับใช้ของพระเจ้าจำเป็นต้องมีความมั่นใจในการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะจัดสินใจ และลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความมั่นใจเช่นกัน และเมื่อมั่นใจแล้วว่านี่เป็นการทรงนำที่แท้จริง ก็จงดำเนินตามนั้น แม้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากจะเข้าใจก็ตาม แต่หากยังไม่มั่นใจในการทรงนำ ก็จงใช้เวลาค้นหา และรอคอยพระประสงค์ของพระเจ้าต่อไป
            พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถสื่อสารให้คนของพระองค์มีความเข้าใจตรงกันได้  หากมีใครอ้างว่านี่เป็นการทรงนำของพระวิญญาณสำหรับเขาและสิ่งนั้นมีผลกระทบต่อคนอื่นด้วย เรามีความเชื่อว่าพระวิญญาณองค์เดียวกันสามารถสำแดงและสื่อสารให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจได้  แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นควรต้องรอพิสูจน์ให้ชัดก่อนว่าสิ่งนั้นมาจากการทรงนำของพระวิญญาณจริงหรือไม่
1ท่านที่รักทั้งหลาย   อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ   แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่   เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก 2โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า   คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์   วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า 3และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู   วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า   วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์   ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา   และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว I John 4:1-3
13ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า   เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา   เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา  I John 4:13
            ขอพระวิญญาณแห่งความจริงสำแดงให้ผู้รับใช้พระเจ้ามั่นใจในการทรงนำด้วยเถิด

            อย่าให้ความมั่นใจในการทรงเรียก ความมั่นใจในพระวจนะและความมั่นใจในการทรงนำของพระวิญญาณ ขาดหายไปจากชีวิตการรับใช้พระเจ้า ให้ชีวิตและการงานที่รับใช้นั้นเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าเสมอ เพื่อจะสามารถยืนหยัดอยู่ในทุกสถานการณ์จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์  ...เอเมน

(ขอบคุณภาพประกอบจากอีินเตอร์เน็ต)

15 กันยายน 2558

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมี (2) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมี

ตอน...ความมั่นใจในพระวจนะ

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมีและยึดมั่น เพื่อการรับใช้ที่ถวายเกียรติ ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันสุดท้าย นอกจากจะมั่นใจในการทรงเรียกแล้ว ยังต้อง  มั่นใจในพระวจนะของพระเจ้าด้วย...
2.  ความมั่นใจในพระวจนะของพระเจ้า
            พระวจนะของพระเจ้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตและการปรนนิบัติรับใช้  ผู้รับใช้พระเจ้าจำเป็นต้องใส่ใจศึกษา เรียนรู้ และยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าเสมอ เพื่อจะทำหน้าที่ในการรับใช้อย่างถูกต้อง ชัดเจน มีหลัก เป็นที่เชื่อถือ ยอมรับ และสำเร็จผลตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้
            เราต่างรู้ดีว่าพระวจนะของพระเจ้านั้น เป็นกฎหมาย เป็นข้อบังคับ เป็นแสงนำทาง เป็นคำตอบ เป็นอาหารล่อเลี้ยงชีวิต เป็นประโยชน์ เป็นแนวทางการอบรมสั่งสอน ตักเตือนว่ากล่าว และการเตรียมคนให้พร้อมในการทำการดี อีกทั้งยังเป็นฤทธิ์เดชที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ (สดด 19, 2ทธ3.16,รม1.16)
            ผู้รับใช้พระเจ้าจำเป็นต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตและทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอย่างมั่นใจ แม้สถานะของตนเองในท่ามกลางผู้คนที่กำลังรับใช้อยู่นั้นอาจดูเหมือนด้อยกว่าทาง วัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือ แม่แต่ทางฐานะ การศึกษาก็ตาม แต่หากผู้รับใช้รู้และมั่นใจว่า สิ่งที่ตนเองดำเนินตามและกำลังถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟังและดำเนินตามนั้น หาใช่เพียงจากคำพูด คำสอนจากปากของคนเท่านั้น แต่นั่นเป็นคำพูด คำสอนที่เป็นมาจากพระวจนะของพระเจ้าที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดช ก็จะไม่หวั่นเกรงหรือสูญเสียโอกาสในการรับใช้  แต่ทั้งนี้ยังต้องประกอบไปด้วยท่าทีที่เหมาะสมและสุภาพตามสมควรที่พระเจ้าทรงมีบัญชา
11แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า   จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้   จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม   ในทางของพระเจ้า   ความเชื่อ   ความรัก   ความอดทน   และความอ่อนสุภาพ 12จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ   จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้   ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ   ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน I Timothy 6:11-12
24ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท   แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน   เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน 25ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ   ว่าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจ   และมาถึงซึ่งความจริง 26และหลุดพ้นบ่วงของมารผู้ซึ่งดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน  II Timothy 2:24-25
12เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้   เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก   จงสวมใจเมตตา   ใจปรานี   ใจถ่อม   ใจอ่อนสุภาพ   ใจอดทนไว้นาน  Colossians 3:12
            ขอให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าเชื่อพระวจนะ ศึกษา ใคร่ครวญพระวจนะ  ดำเนินตามพระวจนะ และใช้พระวจนะอย่างมีหลัก เพื่อจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเต็มที่ต่อไป อย่าได้คล้อยตามลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่างโดยไม่ระวังอีกต่อไป แต่ให้ยึดมั่นและยืนหยัดอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าอย่างมั่นใจ
13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ   และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า   จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่   คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ 14เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป   ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง   และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก   เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ   คือพระคริสต์  Ephesians 4:13-15

...อาเมน....ติดตามตอนต่อไป...ความมั่นใจในการทรงนำ  
(-ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต-)

12 กันยายน 2558

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมี (1) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

  คิดอย่างบัณฑิต  
โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

ตอน...
ความมั่นใจในการทรงเรียก

ความมั่นใจที่ผู้รับใช้พระเจ้าควรมีและยึดมั่น เพื่อการรับใช้ที่ถวายเกียรติ ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันสุดท้าย...
1.  ความมั่นใจในการทรงเรียก
            การทรงเรียกของพระเจ้าต่อผู้รับใช้นั้นมีความสำคัญ ผู้รับใช้พระเจ้าควรมีความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเรียกให้รับใช้อย่างชัดเจนหรือไม่  เพราะการรับใช้นั้นไม่ใช่ทำตามความต้องการของมนุษย์แต่เป็นการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกผู้รับใช้ให้ตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์ทั้งงานเฉพาะเจาะจงและงานทั่วไป  สังเกตว่าผู้ที่รับการทรงเรียกนั้นจะมีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า ได้รับการสำแดงให้รู้ว่าทรงต้องการให้ทำอะไร 
            พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมในตอนที่เขามีชื่อว่า อับราม โดยให้เขาได้รู้อย่างชัดเจนว่า ต้องทำอะไร ไปที่ไหน และจะเกิดอะไรขึ้น
พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า   “เจ้าจงออกจากเมือง   จากญาติพี่น้อง   จากบ้านบิดาของเจ้า   ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ 2เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่  เราจะอวยพรแก่เจ้า   จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป   แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร 3เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า  เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า   บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า”   Genesis 12:1-3
            อับราฮัมได้รับการทรงเรียกที่ชัดเจน ให้ทำอะไร... ออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดา  ให้ไปที่ไหน...ไปยังดินแดนที่พระเจ้าจะบอกให้รู้  จะเกิดอะไรขึ้น....พระเจ้าสัญญาจะให้อับราฮัม 7  ประการ  ได้แก่  หนึ่ง ให้เป็นชนชาติใหญ่  สอง พระเจ้าจะอวยพร  สาม จะให้มีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป  สี่ อับราฮัมจะช่วยให้คนอื่นได้รับพร  ห้า พระเจ้าจะอวยพรคนที่อวยพรอับราฮัม  หก พระเจ้าจะสาปแช่งคนที่สาปแช่งอับราฮัม  และ เจ็ด  บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะอับราฮัม
            แม้หนทางการติดตามพระเจ้าและการรับใช้พระองค์จะยาวไกลและเนิ่นนาน ผ่านอุปสรรคนานับปการ แต่อับราฮัมก็พิสูจน์แล้วว่า ท่านยืนหยัดอยู่บนเส้นทางแห่งการทรงเรียกอย่างสัตย์ซื่อ  จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งความเชื่อ และด้วยความเชื่อนี่เองพระเจ้าจึงทรงเรียกว่าผู้ชอบธรรม  พระคัมภีร์ยังได้บันทึกถึงพระพร ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง และความพอพระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่ออับราฮัมตามพระสัญญาอย่างอัศจรรย์และยิ่งใหญ่มาจนทุกวันนี้ 
            เพราะโมเสส รับการทรงเรียกอย่างชัดเจนและเจาะจงว่าให้ไปนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา  ท่านจึงยึดมั่นและนำประชากรของพระเจ้านับล้านคนออกไปตามพระบัญชาอย่างอัศจรรย์และยิ่งใหญ่  แม้จะพบอุปสรรคปัญหามากมายจนกระทั่งตัวท่านได้แค่มองดินแดนแห่งพระสัญญาเท่านั้น แต่ท่านยังยืนหยัดอยู่ในเส้นทางแห่งการทรงเรียกอยู่เสมอ
            เพราะเอลียาห์ รับการทรงเรียกให้เผยพระวจนะต่อกษัตริย์อาหับและพระนางเยเซเบล เพื่อชนชาติอิสราเอลจะกลับใจจากความบาปหันกลับมาหาพระเจ้า แม้ท่านต้องหนีหัวซุกหัวซุน และท้อแท้ใจจนอยากตาย แต่ยังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางแห่งการรับใช้ตามการทรงเรียก จนกระทั่งส่งต่องานให้เอลีชาศิษย์เอกของท่านอย่างอัศจรรย์และยิ่งใหญ่
            เพราะยอห์น บัพติสมา รู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้เป็นผู้เตรียมทางของพระเมสสิยาห์ผู้กำลังจะเสด็จมาภายหลังท่าน ยอห์นไม่รีรอในการรับใช้ในหน้าที่ของตน ท่านเริ่มต้นเทศนา ประกาศให้กลับใจเสียใหม่และให้บัพติสมา ท่านกล้าเผชิญหน้ากับคนทุกระดับตั้งแต่สามัญชนจนถึงกษัตริย์ แม้สุดท้ายชีวิตจะถูกคุมขังและถูกประหารด้วยการตัดศีรษะ แต่ท่านยังยึดมั่นในเส้นทางแห่งการทรงเรียกจนนาทีสุดท้าย
            เพราะเปาโล ได้รับการทรงเรียกอย่างชัดเจนและเจาะจงให้ประกาศพระนามพระเยซูที่ท่านเคยข่มเหงมาก่อนหน้านั้นไปทั่วบรรดาประชาชาติ แม้จะต้องเผชิญความลำบากสารพัด จนกระทั่งถึงชีวิต ท่านยังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางการรับใช้อย่างดีเช่นกัน ผลงานการเขียนจดหมายที่กลายมาเป็นหลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนมาจนถึงวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว
            ยังมีผู้รับใช้อีกหลายคนที่ได้รับการทรงเรียกและมั่นใจในพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ได้พิสูจน์ตนเองให้เห็นมาตลอดทุกยุคสมัย  ในวันนี้คุณและผมในฐานะผู้รับใช้ หากได้รับการทรงเรียกและมั่นใจในพระประสงค์ของพระองค์อย่างแท้จริง ก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เหมือนบุคคลเหล่านั้นเช่นกัน  คุณเชื่อเช่นนั้นหรือไม่


ติดตามตอนต่อไป...ความมั่นใจในพระวจนะของพระเจ้า
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

08 สิงหาคม 2558

มารีย์...ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลก โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต
มารีย์  ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลก   
โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น
“ผู้หญิง”  มักถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่รอบคอบ อารมณ์แปรปรวน ไม่ควรเป็นผู้นำ และอีกหลายอย่างที่กำหนดให้เธอต้องถอยออกไปจากทางแห่งความสำเร็จ   แต่พระเจ้าไม่ทรงประสงค์เช่นนั้น  เพราะตลอดประวัติศาสตร์โลก พบว่า ผู้หญิงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกและชีวิตอย่างมหาศาล   โดยพระคุณของพระเจ้า ทรงใช้ ผู้หญิง ให้เป็นช่องทางนำความรอดมายังมวลมนุษยชาติ  ทรงมีแผนการและทำให้สำเร็จผ่านทางสตรีเพศ (ปฐก.3.15,อสย.7.14,กท.4.4) 

ในพระคัมภีร์ มีผู้หญิงหลายคนที่ให้พระเจ้าใช้ชีวิตและเกิดผลดีอย่างยิ่งใหญ่  ดังจะยกตัวอย่าง มารีย์ มารดาของพระเยซู ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลกตลอดกาลคนนี้...
มารีย์ มารดาพระเยซู  ผู้หญิงที่ยอมให้พระเยซูมาอยู่ในครรภ์ของเธอ และเธอตัดสินใจที่จะอยู่กับพระเยซูแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ในฐานะหญิงสาว ชาวบ้านธรรมดา มารีย์ได้แสดงความศรัทธาและกล้าหาญ แม้อาจจะต้องถูกหินขว้างให้ตายโทษฐานท้องก่อนแต่งได้ทุกเมื่อ  เธอเป็นผู้นำในการตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ โดยตอบสนองพระบัญชาของพระเจ้าต่อหน้าทูตสวรรค์ในเวลาไม่นานนัก (ลก.1.26-38) ซึ่งต่างจากโยเซฟที่ยังลังเล และต้องใช้เวลาในการตัดสินใจทั้งคืน (มธ.1.18-25)
ในฐานะภรรยา มารีย์ต้องรับผิดชอบและทำงานหนัก  ทำหน้าที่ทั้งในบ้านและนอกบ้านอย่างดี  นอกจากทำหน้าที่ส่งเสริมโยเซฟให้เป็นที่ยกย่องท่ามกลางสังคมตามขนบธรรมเนียมแล้ว เธอยังต้องรับผิดชอบในการดูแลลูก คือพระเยซูและน้อง  (มธ.13.55-56) แม้เธอต้องลำบาก  เพราะมีการสันนิษฐานว่าโยเซฟน่าจะตายไปก่อนที่พระเยซูและน้องๆ จะเติบโต  นั่นหมายความว่า มารีย์ต้องดูแลลูกเพียงลำพัง เพราะพระเยซู ผู้เป็นพี่ชายคนโตก็ออกจากบ้านไปเพื่อทำพันธกิจของพระบิดาบนสวรรค์  ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตในเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่มารีย์และน้องๆ ของพระองค์มาคอยอยู่ข้างนอกบ้าน (มธ.12.46-50)  เป็นไปได้ไหมว่าเพราะพวกเขามีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากและต้องการการช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต ซึ่งโดยธรรมเนียมยิวแล้วต้องเป็นผู้รับผิดชอบครอบครัวแทนผู้เป็นพ่อ  แต่เนื่องจากพระเยซูมีพระบิดาอยู่เบื้องบน พระองค์จึงต้องทำหน้าที่ของพระบุตรองค์เดียวของพระบิดามากกว่า
ในฐานะแม่ มารีย์ต้องอดทน อดกลั้น ทุกอย่างเก็บไว้ในอก ซึ่งเสมือนดาบทิ่มแทงในใจของเธอเรื่อยมา  ดังคำที่สิเมโอนได้กล่าวไว้  “... ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”   (ลก.2.35)  การเลี้ยงลูกของมารีย์ คงไม่เหมือนกับลูกของครอบครัวทั่วไป ที่ลูกมักจะต้องอยู่ใต้บังคับโดยไม่มีข้อแม้มากนัก  แต่สำหรับพระเยซู ไม่ได้เป็นลูกที่เธอจะเลี้ยงดู สั่งสอน ได้อย่างปกติทั่วไป เพราะเธอรู้เสมอว่า พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เกิดโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้รูปร่างหน้าตาของพระเยซูจะเป็นเฉกเช่นเด็กทั่วไปแต่ภายในจิตใจมีความแตกต่าง  พระเยซูต้องไปเรียนธรรมบัญญัติ ไปอธิษฐาน ไปนมัสการในพระวิหาร เหมือนเด็กทั่วไป แต่ทรงไปในฐานพระบุตรของพระบิดาด้วย  ดังนั้น พระองค์จึงใช้เวลาเป็นพิเศษกับพระบิดาและไม่ได้เดินทางกลับพร้อมครอบครัว จนกระทั่งมารีย์และโยเซฟต้องตามหาด้วยความหวั่นวิตกเพราะลูกอายุ 12 ปี หายไปตั้ง 3 วันแล้ว  เมื่อหาพบแล้วพวกเขายิ่งไม่เข้าใจกับคำตอบของพระเยซู ที่ว่า  ...“ท่านเที่ยวหาฉันทำไม   ท่านไม่ทราบหรือว่า   ฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน  ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำซึ่งท่านกล่าวแก่เขา แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา   ไปยังเมืองนาซาเร็ธ   อยู่ใต้การปกครองของเขา   มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ   (ลก.2.42-51) 
มารีย์คงเก็บความรู้สึกจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในใจเสมอ แม้พระเยซูจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เธอคงหวังจะให้ช่วยเหลือในยามต้องการ  ดังตัวอย่างในงานสมรสที่หมู่บ้านคานา (ยน.2.1-11) มารีย์ขอให้พระเยซูช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล้าองุ่นหมด พระองค์ไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอคิด แต่ทำในเวลาของพระองค์เอง  เธอคงรู้ว่าสักวันหนึ่งคงต้องเสียลูกไปแน่นอน  แต่คงไม่เข้าใจถึงขนาดว่าในที่สุดพระเยซูต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน  ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อถึงเวลานั้นจริง มารีย์ก็แสดงความเข็งแกร่ง อดทน กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่หวั่นไหว เธอเป็นผู้อยู่กับพระเยซูในเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตจนนาทีสุดท้าย(ยน.19.25-27) และยิ่งกว่านั้นเธอยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หลังไม่มีพระเยซูอยู่ด้วยในฐานะลูกชายคนโตในโลกนี้อีกแล้ว     ขอบคุณพระเจ้าที่มารีย์ดำเนินอย่างมั่นคงต่อไปจนกระทั่งได้เห็นการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.1.14)และเห็นกลุ่มผู้เชื่อจำนวนมากเกิดขึ้น เห็นคริสตจักรที่พระเยซูประกาศว่าจะตั้งขึ้นบนศิลาแห่งความรอดของพระองค์ (มธ.16.18) และยิ่งกว่านั้นเห็นลูก ๆซึ่งเป็นน้องของพระเยซูมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาสาวกของพระเยซู
เชื่อแน่ว่าจิตใจของมารีย์นั้นจะเป็นสุขยิ่งกว่าผู้ใดในโลก  ตามที่นางเอลีซาเบธได้กล่าวกับเธอตอนที่พบกันขณะตั้งท้อง  ..นางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  จึงร้องเสียงดังว่า   “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก... (ลก.1.41-42)     และบทเพลงจากปากของเธอตามการทรงนำของพระวิญญาณที่ว่า ... เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์  เพราะนั่นแหละ  ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก   (ลก.1.48)
แต่กว่าจะมาถึงความ “ผาสุก”  เธอต้อง “ผ่านทุกข์” จากสถานการณ์อันยากลำบากมาอย่างนับไม่ถ้วน จึงสมควรแล้วที่พระเจ้าจะให้เธอเป็นที่ยอมรับและยกย่องท่ามกลางประชาชาติมาจนทุกวันนี้และตลอดกาล
หากไม่มีผู้หญิงอย่างมารีย์ในวันนั้น คงไม่อาจมีคุณและผมในวันนี้เช่นกัน  ดังนั้น ในฐานะคนของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ชาย หรือ หญิง  ความเป็นจริงก็คือ พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของแต่ละคนตามความเหมาะสม  อย่าคิดว่าคุณเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เป็นแค่ภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง เป็นแค่แม่ที่ต้องดูแลลูกเท่านั้น  พระเจ้ามีแผนการอันยิ่งใหญ่กว่านั้นให้คุณทำควบคู่ไปกับฐานะที่คุณเป็นอยู่ได้ด้วย  อย่าให้ค่านิยมที่ผิดๆ อุดมคติของสังคมที่แปรปรวนตามเวลา ข้อกำหนดของความคิดมนุษย์อันเต็มไปด้วยอคติ  มาปิดกั้นพระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่จะกระทำในชีวิตของคุณเป็นอันขาด
(ขอบคุณภาพจาก http://www.belongtothetruth.com/Holy/anglicans02.htm)

30 กรกฎาคม 2558

“เลิกเหล้า...เลิกเมา กันดีกว่า” โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น
เลิกเหล้า...เลิกเมา 
กันดีกว่า
ผมขับรถตามหลังรถกระบะคันหนึ่งที่บรรทุกของมาเกินพิกัด สูงขึ้นไปจากกระบะรถ โอนเอนไปมา พวกเราที่นั่งมาในรถก็พูดคุยกันว่า เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่เป็นอันตรายมากโดยเฉพาะเวลาถึงทางโค้ง  เราวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามประสา   และเมื่อรถของเราขับเข้ามาใกล้  ต้องหัวเราะกับคำตอบที่ได้จากสติ๊กเกอร์ท้ายรถคันนั้นที่เขียนไว้ว่า 
กูม่ายรู้ กูเมา !!”      ??? 

            ได้แต่หวังว่า ความเมา  จะมีเฉพาะข้อเขียนในสติ๊กเกอร์เท่านั้น แต่ถ้า คนขับเมา ! ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ?
คนไทย  ได้รับการกล่าวถึงว่า  งานไหน ๆ พี่ไทยก็เมา  ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเปิดเสรีในการผลิตสุราพื้นบ้าน  ที่เมื่อก่อน เขาเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า เหล้าเถื่อน  หรือ เหล้าขาว  หากมองในแง่ดี  ถือว่าเป็นการยกฐานะภูมิปัญญาท้องถิ่น  แต่ว่าด้วยนิสัยพี่ไทยงานไหนก็เมาจาก  ภูมิปัญญา”  ที่ดี ๆ นั้นกลับกลายเป็น  สมรภูมิแห่งปัญหา  ที่หาวิธีแก้ไขอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะสถิติการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยเพิ่มสูงขึ้น และขยายกลุ่มผู้ดื่มไปสู่เด็กและเยาวชนมากขึ้น  ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมา  ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานยนต์ขณะมึนเมา  ที่แต่ละปีช่วงเทศกาลตายเจ็บนับร้อย นับพัน  ความรุนแรงในครอบครัว  สามีทำร้ายภรรยา  ผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก เพราะขาดสติยั้งคิดเนื่องจากพิษของเหล้าที่ดื่มเข้าไปเกินพอดี  ปัญหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไร้สติของคนที่เมามายสุราและเหล้า ที่ก่อนดื่มเขามีโฆษณาเชิญชวนว่า มันจะนำความสุข  ความภาคภูมิใจ ความรักชาติ  ความเป็นชายตัวจริง  ความเป็นหญิงที่แกร่ง  เป็นคนทันสมัย  เป็นคนประสบความสำเร็จ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่โหมใส่ต่อมความอยากมีอยากเป็นอย่างเช่นเขาโฆษณา...  มีหรือที่พี่ไทยเราจะยั้งใจเอาไว้ได้ ! เพราะแรงผลักภายในก็มากพออยู่แล้ว ยิ่งมีแรงเสริมภายนอก  อย่าบอกนะว่าชักเปรี้ยวปากขึ้นมาทันที  บางคนถึงขนาด คิดถึงถึงผลลัพธ์ของ 5 คูณ 8 ( = 40 ดีกรี) ยังต้องกลั้นอาการคลื่นเหียนอาเจียนไม่ได้  ตกเย็นเลิกงานยังต้องนำติดไม้ติดมือมาแก้เหนื่อย แก้เมื่อย แก้กลุ้ม แก้ท้อ  แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรละ ! 
เรื่องการพยายามรณรงค์เพื่อให้เกิดการลด ละ เลิก จากอบายมุขนั้นมีกันอยู่มากเช่นกัน  แต่น้ำน้อยยังแพ้ไฟต้มเหล้าอยู่ดี  น่าเศร้าใจที่งานกีฬาต้านยาเสพติดบางงานที่เขียนป้ายอย่างชัดเจนว่า  กีฬาต้านยาเสพติด  แต่สังเกตว่าวันแข่งกีฬานั้นกองเชียร์จะออกอาการเมามากกว่าปกติ  แทนที่กีฬาจะ  ต้าน  ก็กลายเป็น ก้าน (แพ้)  ยาเสพติด  ตามสำเนียงภาษากำเมืองไปเสียนี่  !!
การหาวิธีช่วยเหลือให้ห่างไกลสิ่งชั่วร้ายนั้นหากมองในด้านศาสนา  ส่วนใหญ่ก็สอนให้ระวังและหลีกเลี่ยงด้วยกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังถือว่า เป็น บาป  ร้ายที่ทำลายชีวิตถึงโลกหน้าทีเดียว  ในฐานะนักศาสนศาสตร์ที่ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ของคริสตศาสนา และเป็นคนที่พยายามดำเนินชีวิตให้ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย  เพราะรู้ดีว่ายังต้องต่อสู้ดิ้นรนฟันฝ่าเฉกเช่นปุถุชนทั่วไป  แต่สำหรับเรื่องสุรา ยาเมานั้นสามารถยืนยันได้ว่า  ละได้แล้วซึ่งความรักลุ่มหลงในตัวมัน  ไม่ยอมให้มันเป็นนายอีกต่อไป  แต่หากจะใช้ก็เพียงเป็นยาเท่านั้น  เพราะในบางส่วนก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่....ขอเตือนว่าอย่าใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่จะตอบสนองต่อความต้องการอันใฝ่ต่ำของเนื้อหนังเป็นอันขาด  บางคนบอกว่าแค่เพื่อสังคมเท่านั้น แค่เจริญอาหารเท่านั้น แต่ขาดมันไม่ได้สักครั้ง อย่างนี้ควรพิจารณาให้ดีว่าถูกต้องหรือไม่  คำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  มีข้อห้าม มีคำเตือนเกี่ยวกับเรื่อง สุรา ยาเมา เหล้า เบียร์ และไวน์  ซึ่งจะยกมาบางประการเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจ  ดังนี้...

1.  สิ่งที่จะดื่มหรือกินนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
เรา ทำ สิ่ง สารพัด ได้ แต่ ไม่ ใช่ ทุก สิ่ง ที่ จะ ทำ ได้ นั้น เป็น ประโยชน์
เรา ทำ สิ่ง สารพัด ได้ แต่ ไม่ ใช่ ทุก สิ่ง ที่ จะ ทำ ให้ เจริญ ขึ้น  (1โครินธ์   10:23) 
2.  สิ่งที่จะดื่มหรือกินนั้นจะทำให้เสียผู้เสียคนหรือไม่  ?    พระคัมภีร์สอนว่า...
อย่า เมา เหล้าองุ่น ซึ่ง จะ ทำ ให้ เสีย คน
แต่ จง ประกอบ ด้วย พระวิญญาณ  (เอเฟซัส 5:18) 
3.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะทำให้มีอนาคตที่ดีหรือไม่  ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
...การ อิจฉา กัน การ เมา เหล้า การ เล่น เป็น พาลเกเร และ การ อื่นๆ ใน ทำนอง นี้ อีก  เหมือน ที่ ข้าพเจ้า ได้ เตือน ท่าน มา ก่อน  บัดนี้ ข้าพเจ้า ขอ เตือน ท่าน เหมือน กับ ที่ เคย เตือน มา แล้ว ว่า คน ที่ ประพฤติ เช่น นั้น จะ ไม่ มี ส่วน ใน แผ่นดิน ของ พระเจ้า (กาลาเทีย 5:21) 
4.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือไม่  ?    พระคัมภีร์สอนว่า...
...แต่ จง ระวัง ตัว ให้ ดี เกลือกว่า ใจ ของ ท่าน จะ ล้น ไป ด้วย อาการ ดื่ม เหล้าองุ่น มาก
และ ด้วย การ เมา และ ด้วย คิด กังวล ถึง ชีวิต นี้ แล้ว เวลา นั้น จะ มา ถึง ท่าน ดุจ บ่วงแร้ว อย่าง กะทันหัน  (ลูกา 21:34)
...วิบัติ แก่ คน เหล่านั้น ที่ ลุกขึ้น แต่ เช้า มืด เพื่อ วิ่ง ไป ตาม เมรัย ผู้ เฉื่อยแฉะ อยู่ จน ดึก จน เหล้าองุ่น ทำ ให้ เขา เมา หยำ เป  เมา เหล้า องุ่น เลี้ยง กัน อย่าง ถึง ใจ  (อิสยาห์ 5:11 )
5.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะนำความภาคภูมิใจ ความสุขมาสู่ชีวิตจริงหรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
...ใคร ที่ ร้องโอย ใคร ที่ ร้องอุย ใคร ที่ มี การวิวาท ใคร ที่ มี การ ร้องคราง
ใคร ที่ มี บาดแผลปราศจาก เหตุ ใคร ที่ มี ตาแดง  คือ บรรดา ผู้ ที่ นั่ง แช่ อยู่ กับ เหล้า องุ่น บรรดา ผู้ ที่ ไป ทดลอง เหล้า ประสม
อย่า มองดู เหล้าองุ่น เมื่อ มัน มี สีแดง เมื่อ เป็น ประกาย ใน ถ้วย และ ลง ไป คล่องๆ
ณ ที่สุด มัน กัด เหมือน งู และ มัน ฉก เอา เหมือน งูทับทาง
ตา ของ เจ้า จะ เห็น สิ่ง แปลกๆ และ ใจ ของ เจ้า จะ พูด ตลบ ตะแลง
เจ้า จะ เป็น เหมือนคน ที่ นอน อยู่ กลาง ทะเล อย่าง คน ที่ นอน อยู่ บน เสา กาง ใบ  เจ้า จะ ว่า "เขา ตี ข้าแต่ ข้า ไม่ เจ็บ เขา ทุบ ข้า แต่ ข้า ไม่ รู้สึก  ข้า จะ ตื่น เมื่อไร หนอ       ข้า จะ แสวง การดื่ม อีก    (สุภาษิต 23.29-35)
6.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นมันจะทำให้ชีวิตมีคุณค่าและเป็นที่น่านับถือหรือไม่  ? พระคัมภีร์สอนว่า...
...พึง สอน ชาย ที่ สูง อายุ ให้ รู้ จัก ประมาณ ตน ใน การ กิน ดื่ม ให้ เอาจริงเอาจัง
ให้ มี สติสัมปชัญญะ ให้ มี ความ เชื่อ ความ รัก และ ความ อดทน ตาม สมควร  
ส่วน ผู้หญิง ที่ สูง อายุ ก็ เหมือน กัน ให้ เขา มี ความ ยำเกรง พระเจ้า
ให้ เขา เป็น คน ไม่ ส่อเสียด ไม่ เป็น คน กิน เหล้า แต่ ให้ เป็น ผู้สอน สิ่ง ที่ ดี งาม  (ทิตัส 2:2-3) 
7.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นมันจะทำให้เกิดการยกย่องถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
ท่านไม่รู้หรือว่า   ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน   ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า   ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว   ด้วยราคาสูง   เหตุฉะนั้น   ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด (1โครินธ์ 6.19-20)
เหตุ ฉะนั้น เมื่อ ท่าน จะ รับประทาน จะ ดื่ม หรือ จะ ทำ อะไร ก็ ตาม   จง กระทำ เพื่อ เป็น การ ถวาย พระเกียรติ แด่ พระเจ้า  (1โครินธ์ 10:31)

            ยังมีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมาก  แต่เท่าที่นำมานับว่าเพียงพอแล้วที่เราจะห่างไกลจากแหล่งอบายทั้งหลาย โดยเฉพาะ เหล้า  ไม่ว่ามันจะสีอะไร  ยี่ห้ออะไร ดีกรีเท่าไหร่ ผลิตจากมือชาวบ้าน หรือจากโรงงานทันสมัย  สุดท้ายเมื่อดื่มเข้าไปมันกลายเป็นอันตรายทั้งนั้น  ผลร้าย มากกว่าผลดี  แล้วอย่างนี้จะดื่มมันทำไม ?   ตัดสินใจเลิกได้แล้ว !!     ขอเป็นกำลังใจให้  หากเลิกเหล้าเสียตั้งแต่วันนี้  อะไรที่ดีก็จะตามมาแน่นอน
คุณต้องการ ลด ละ เลิก จากการเป็นทาสของ สุรา ยาเมา เหล้า เบียร์ และไวน์หรือไม่  ?  พระเจ้าสามารถช่วยคุณได้  เมื่อแสวงหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ  เพราะไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า  ขอจงมีใจเชื่อและศรัทธา...อาเมน