12 สิงหาคม 2564

ลับคมความคิด โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ลับคมความคิด เพื่อพัฒนาชีวิตและพันธกิจ 

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

เป็นคนชนบท แต่ก็ยากรู้จักคนในเมืองว่าเขาทำอะไรกันบ้าง  หนังสือเล่มนี้ “คริสเตียนในเมืองใหญ่ การรับใช้ที่เกิดผลในโลกปัจจุบัน” เรย์ บาคกี และจิม ฮาร์ท เขียน ศูนย์ทีรันนัส นำมาแปลและพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007  ถูกซื้อมาพร้อมกับเล่มอื่น ๆ วางไว้ตามชั้นหนังสือ จากนั้นทยอยหยิบมาอ่าน เพื่อลับคมความคิด พัฒนาชีวิตและการทำพันธกิจของพระเจ้าให้รู้เท่าทันทั้งหลักแห่งพระวจนะและสถานการณ์ในสังคม

แม้เป็นหนังสือที่ตั้งชื่อเกี่ยวกับเมือง แต่ยังช่วยให้เห็นภาพว่า เมืองก็เกิดจากส่วนประกอบของคนชนบทที่เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ หลายเมืองเริ่มต้นจากเล็ก ๆ กลายเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่  ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองใหญ่ หรืออยู่แถวชายขอบของแผ่นดิน  ยังอยู่ในสายพระเนตรและแผนการณ์ของพระเจ้าเสมอ

พระเยซู เป็นชายหนุ่มจากบ้านนอกเข้าสู่เมืองกรุง  กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แซงบรรดาธรรมาจารย์ และฟาริสีจนถูกอิจฉาตาร้อน ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่พวกเขาใช้เป็นข้ออ้างขัดขวางและไปถึงการสังหารพระองค์ เพราะประชาชนหันไปนิยมชมชอบพระเยซูและคำสอนของพระองค์ (มัทธิว 7.28-29, ยอห์น 12.19) เจ้าเมืองปีลาต หาช่องทางช่วยพระเยซูเพราะรู้ว่าถูกแรงอิจฉาทำร้าย โดยประกาศชัดว่า  “เจ้าทั้งหลายปรารถนาให้ปล่อยผู้ใด บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์  เพราะท่านรู้อยู่แล้ว ว่าเขาได้อายัดพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา- Mattew 27:17-18

         พระเยซู สนพระทัยทั้งคนในเมืองและชนบท ทรงเดินเท้าเข้าไปพบปะผู้คนและช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ทั้งฝ่ายกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ด้วยพระทัยเมตตาสงสาร (มัทธิว 9.35-39)

จากคำดูถูกที่มีบางคนพูดถึงว่า “จะมีสิ่งดีอันใดมาจากนาซาเร็ธได้” (ยอห์น 1.46, มัทธิว 26.69,กิจการ 2.7 คำพูดเชิงดูแคลนต่อ"ชาวกาลิลี") สุดท้ายพิสูจน์แล้วว่าคนที่พูดนั้นกลายมาเป็นหนึ่งในสาวกที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระกิตติคุณของพระองค์ออกไปตลอดชีวิตของเขา

(อ่าน สิ่งดีจากนาซาเร็ธ https://bandhit.blogspot.com/2021/07/nazareth.html)

พระเยซูคริสต์ เป็นคนบ้านนอก เกิดจากสายเลือดผสมของคนที่ยากไร้ หลายเชื้อชาติ หลายคนที่มีชื่อในพงษ์พันธุ์ตามการบันทึกของพระกิตติคุณ(มัทธิว 1.1-16) พบ ผู้หญิงชื่อทามาร์ ชาวคานาอันลูกสะใภ้ของยูดาห์ (ปฐมกาล 38) ราหับ หญิงที่เคยเป็นโสเภณีแต่โดยความเชื่อเขาช่วยเหลือผู้สอดแนมชาวฮีบรู (โยชูวา 2, ยากอบ 2.25, ฮีบรู 11.31) เขากลายมาเป็นแม่ของโบอาส และโบอาสคนนี้ที่รับ  รูธ แม่หม้ายชาวโมอับซึ่งติดตามแม่สามีกลับมายังเบธเลเฮม (มัทธิว 1.5) (โมอับ สืบเชื้อสายมาจากโลทกับลูกสาวของตน ปฐมกาล 19) จากนั้นยังพบผู้หญิงที่ชื่อบัทเชบา อดีตภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ที่ดาวิดได้มาอย่างผิดทาง (2 ซามูเอล 11)

พระเยซู เป็นพระเจ้า แต่ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสภาพของโลกที่มีแต่ความผิดบาปสารพัดรูปแบบ พระองค์มีสิทธิเลือกที่เกิดและชาติกำเนิดที่สวยหรู แต่กลับยอมถ่อมพระทัยมาอาศัยท่ามกลางความยากลำบากร่วมกับพวกเรา (ฟิลิปปี 2.5-11) แต่ถึงกระนั้น พระองค์หาทรงมีบาปหรือมลทินไม่ (2 โครินธ์ 5.21, 1 เปโตร 1.19)

พระเยซู ทรงเข้าใจ เห็นใจคนทุกข์ยาก พระองค์ทำพันธกิจช่วยแม่หม้าย เด็กกำพร้า คนเจ็บป่วย ยากจน และยังช่วยช่วยคนมั่งมี ผู้สูงศักดิ์ เพราะทรงรู้ว่าทุกคนล้วนต้องการความช่วยเหลือและความรอด

พระองค์ทรงทำทุกสิ่งเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป  จากคนบ้านนอก ด้อยโอกาสในสายตาของหลายคน แต่ทรงยอมอดทน จนกระทั่งพิสูจน์ชัดแล้วว่าทรงเป็น พระบุตรของพระเจ้า ที่มาเกิดในโลกนี้เพื่อรับความเจ็บ ความจน ความอับอาย และความตายแทนคนทั้งปวงตามแผนการณ์อันล้ำลึก (เอเฟซัส 1.9)

อ่านมาเพียงครึ่ง จึงบันทึกข้อคิดจากการอ่าน เพื่อเป็นสัญญาณเตือนใจเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นคนบ้านนอกหรือในเมือง เราต่างต้องการพระเจ้า และต้องการความเข้าใจในชีวิต เพื่อพิชิตเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ตามแผนการณ์ของพระองค์



10 สิงหาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (6) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 


ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (6)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

ภูเขาหินแห่งอุโมงค์ฝังศพ


คณะเดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล  ได้เข้าเยี่ยมชมอุโมงค์ที่เชื่อว่าใช้เป็นที่ฝังพระศพพระเยซู (Garden Tomb) เป็นอุโมงค์ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขาหิน  มัทธิวสาวกพระเยซู บันทึกว่า

ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากบ้านอาริมาเธีย ชื่อโยเซฟเป็นศิษย์ของพระเยซู ได้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา โยเซฟก็เชิญพระศพเอาผ้าป่านที่สะอาด พันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของตน ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิลา กลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไปฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้น ก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์ Matthew 27:57-61

 

ผู้บรรยาย อธิบายถึงลักษณะของอุโมงค์ (ตามแผนภาพ Diagram)  มี 6 จุด  1. ทางเข้าห้องโถง (Entrance to antechamber)  2. คันกั้นต่ำที่เข้าไปส่วนในที่วางศพ เป็นเหมือนธรณีประตูเข้าสู่ห้องด้านใน (Low threshold to burial chamber)  3. แนวผนังกั้นต่ำระหว่างห้องโถงและห้องที่วางศพส่วนใน(Low rock walls) 4. ส่วนเฉพาะที่วางศพมีอยู่สองด้าน(Luculus- burial niche) 5. แนวกั้นระหว่างที่วางศพ (Slit for vertical stone slab) 6. ห้องโถงที่เข้ามาร้องไห้ หรือเข้ามาดูแลภายในอุโมงค์(Antechamber weeping chamber) 7. ช่องหน้าต่างเล็ก ที่สามารถมองลอดเข้าไปดูภายในอุโมงค์ (Small window)

นี่เป็นแผนผังอุโมงค์ฝังศพของคนรวยที่เตรียมไว้สำหรับตนเองและครอบครัว  โดยส่วนที่สี่ถือว่าเป็นส่วนที่จะวางศพคนสำคัญในครอบครัว ส่วนใหญ่จะวางไว้ส่วนในด้านขวาบนของภาพ  เขาเชื่อว่าพระศพของพระเยซูวางไว้ส่วนนั้นด้วย  เป็นการจัดลำดับเหมือนบ้าน ห้องโถงหน้าและในมีระดับใกล้เคียงกัน แต่ที่วางศพส่วนที่สี่จะสูงขึ้นมาคล้ายระดับของเตียงนอนและมีแผ่นหินกั้นไว้  การจัดระบบอย่างนี้เพื่อสะดวกต่อการดูแล พร้อมทั้งมีช่องหน้าต่างเพื่อมองจากด้านนอกเข้าไปได้ด้วย

สำหรับอุโมงค์ฝังศพที่เศรษฐีโยเซฟอุทิศให้พระองค์นั้น ยังไม่ได้ใช้งานมาก่อน และหลังจากใช้เป็นที่ฝังศพพระเยซูก็ไม่ได้เป็นของครอบครัวของเขาอีกต่อไป

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพ  พระเยซูตายเพื่อรับความผิดบาปแทนเราทุกคน  อุโมงค์ฝังศพนั่น เป็นที่สุดท้ายที่มนุษย์จะต้องไปนอน  แต่โดยพระคุณพระเจ้า พระเยซูใช้อุโมงนั้นแทนเราแล้ว แม้วันหนึ่ง เราอาจไปนอนตรงนั้น แต่เป็นเพียงชั่วคราว เพราะพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงสัญญาว่าทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะยังมีชีวิต(ฝ่ายวิญญาณ)แม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม

พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” - John 11:25-26

 

จงยอมให้อุโมงค์ฝังศพเป็นของพระเยซูดีกว่านะครับ อย่ากอดความตายไว้ที่ตัวคุณต่อไปเลย  ให้ความบาปชั่วถูกฝังไว้ในอุโมงค์และรอวันเป็นขึ้นมามีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าโดยความเชื่อในพระเยซู นะครับ

เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน - Romans 6:4



04 สิงหาคม 2564

ระวัง ! ชีวิตตกรุ่น โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ระวัง ! ชีวิตตกรุ่น  โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

เมื่อผมต้องหาซื้ออะไหล่คอมพิวเตอร์ที่ใช้มาเกือบสิบปี  เข้าไปร้านไหน เขาก็บอกว่า “ไม่มีรุ่นนี้ครับ”  แถมบางคนยังบอกด้วยเสียงเย้ยหยันว่า “เขาไม่ใช้กันแล้วพี่” (นึกในใจ แต่ผม (...) ยังใช้อยู่) จากนั้นต้องกลับบ้านและค้นหาต่อจากอินเตอร์เน็ต ผลลัพธ์เหมือนกันคือ หาอะไหล่ที่ต้องการไม่ได้ สุดท้ายต้องตัดใจซื้อรุ่นที่ใหม่กว่ามาใช้แทน ผมเองต้องฝึกเป็นนายช่างถอดเปลี่ยน ตั้งค่าระบบทุกอย่างด้วยตนเองด้วยอาการสั่นๆ นิดๆ เพราะยังมือใหม่หัดซ่อม 

นี่เป็นประสบการณ์หลายครั้งเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมทั้งโทรศัพท์ ที่มักถูกปฏิเสธการซ่อมจากร้าน เพราะ “มันตกรุ่นไปแล้ว” !

ชีวิตของคุณตกรุ่น หรือไม่ ?  คอมพิวเตอร์ตกรุ่นยังพอเปลี่ยนได้ แต่หากชีวิตตกรุ่นนั้นอันตราย 

คอมพิวเตอร์ หรือ เครื่องมือทางอีเลคทรอนิกส์ ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ (Upgrade Hardware) และปรับเปลี่ยนโปรแกรม (Program, software) ให้ทันสมัยอยู่เสมอ  หากชีวิตของเราไม่มีการปรับปรุง พัฒนาก็จะล้าหลัง ถึงขั้นใช้งานไม่ได้  

ยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก ทุกสามเดือนจะมีรุ่นใหม่ๆ มาให้พิจารณาเสมอ (แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกรุ่นนะ จ่ายไม่ไหวแน่) 

ด้านชีวิตก็เช่นกันต้องเรียนรู้ปรับปรุง พัฒนาอย่างเหมาะสม ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมหัว หลายคนเอาตัวแทบไม่รอด เพราะมัวแต่กดไลก์ กดแชร์ แต่ไม่ได้ดูว่าจริงหรือเท็จ (ยกเว้น “คิดอย่างบัณฑิต” ถ้าชอบให้กดไลก์ และถ้าตรงใจให้กดแชร์)

คนของพระเจ้าจำเป็นต้องพัฒนาชีวิตอย่างน้อยสามด้าน

หนึ่ง ด้านความรู้ความเข้าใจในพระวจนะ ที่ควรจะสื่อสารในการเทศน์ สอน ประกาศอย่างเข้าถึงเข้าใจต่อผู้คนได้อย่างมืออาชีพ อย่างพระเยซูที่สั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ ประชาชนต่างอัศจรรย์ใจในคำสั่งสอนนั้น หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ในยุคนั้นไม่ (มัทธิว 7.28-29)

สอง ด้านความรู้ความเข้าใจในสังคมโลก ควรจะสามารถสนทนา สื่อสารกับคนอย่างรู้เรื่องรู้ใจ คือคุยได้ทั้งทางโลกและทางธรรม อย่างพระเยซูจับคู่สนทนากับคนหลายหลายประเภทได้อย่างจับใจ ตั้งแต่ระดับสามัญชนถึงคนชั้นสูง อย่างอาจารย์เปาโลที่กล่าวว่ายอมเป็นคนทุกชนิดเพื่อจะช่วยคนเหล่านั้นได้(1 โครินธ์ 9.20-23)

สาม ด้านความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพ  ควรจะฝึกฝนพัฒนาให้สามารถดูแลตนเองและช่วยคนอื่นได้ นอกจากจะเป็นช่องทางในการเลี้ยงชีพแล้ว ยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมโยงไปถึงผู้คนได้อย่างดีด้วย  โลกทุกวันนี้ทำอาชีพเดียวอยู่ยากแล้ว ต้องเป็นสารพัดช่าง (Polytechnic) หรือทำได้หลายหน้าที่(Multifunctional) สังเกตว่าคนรุ่นใหม่จะทำงานแบบอิสระมากขึ้น (Freelance) 

ศิษยาภิบาลอเมริกันกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ประกอบวิชาชีพและรับใช้ในคริสตจักรไปควบคู่กัน (Bi-vocational Pastor) แต่ไม่ใช่พวกไบโพล่าร์นะ(Bipolar) ฮะๆๆๆ

พฤติกรรม นิสัย อารมณ์ คำพูด ข้อเขียน หรือหลายอย่างก็ควรจะปรับเปลี่ยนได้แล้ว ต้องรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าเพื่อจะเป็นภาชนะที่ใช้การได้อยู่เสมอ (โรม 12.1-2, 1โครินธ์ 9.27)


อย่าให้ชีวิตต้องตกรุ่น จนต้องถูกทิ้งไปในถังขยะอย่างคอมพิวเตอร์เก่าๆ ของผมเลย


ฝากไว้ให้คิด  เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ


เห็นด้วยมั้ยครับ ?

03 สิงหาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (5) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 


คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (5)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

ก้อนหินแห่งการสรรเสริญ

 

            เหตุการณ์ตอนที่พระเยซูคริสต์ทรงลูกลาเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเฉกเช่นกษัตริย์เสด็จเข้าสู่กรุงอย่างสมพระเกียรติ เป็นภาพจำที่เกิดขึ้นทำให้รับรู้ถึงการยอมรับพระเยซูในฐานะกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล เพราะสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด มีศักดิ์และสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ที่จะขึ้นครองราชย์ 

แต่เนื่องจากนี่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เพราะในฐานะพระบุตรที่เสด็จมาในโลก ทรงมีแผนการณ์ที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์คือ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งดวงใจของมวลประชาชาติแบบนิรันดร์กาล ไม่ใช่แค่ดำรงตำแหน่งในประเทศหรือในโลกนี้เท่านั้น 

แต่ถึงกระนั้นประชาชนที่รอรับเสด็จ พวกเขายังเต็มใจที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์ แม้ไม่เข้าใจแผนการณ์ทั้งหมดก็ตาม  ผู้บันทึกพระกิตติคุณต่างบันทึกถึงการโห่ร้อง ยกย่องสรรเสริญ แสดงความยินดี ความหวัง ที่มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมา ซึ่งรอคอยมานับพันปี บ้างปูใบไม้ ทางตาล และเสื้อผ้าของตนลงบนทางเดินเพื่อให้ดำเนินไปบนนั้น (ลูกา 19:36-40)

            เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำทางศาสนาในกลุ่มของฟาริสี ขณะนั้นมีอำนาจต่อสังคมอย่างสูง ถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายแม้หลายครั้งพวกเขาทำเกินกว่าเหตุ  เมื่อมีพระเยซูมาแย่งความนิยมจากมวลชนที่เคยอยู่ใต้อำนาจของตน  จึงไม่พอใจอย่างยิ่ง  พวกเขาสั่งให้พระเยซูห้ามผู้คนให้หยุดรับเสด็จกษัตริย์ของเขา ให้หยุดการโห่ร้องสรรเสริญ ให้หยุดนิ่งเงียบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


ลองคิดดูว่าในสถานการณ์ อารมณ์ของฝูงชนในขณะนั้น ใครจะหยุดพวกเขาได้ !  


แม้พระเยซูมีอำนาจจะสั่งให้ทุกอย่างสงบเงียบได้ในพริบตา อย่างที่ทรงห้ามลมพายุและคลื่นทะเล ทรงให้คนใบ้พูด ทรงให้คนตายฟื้น แต่นั้นไม่ใช่พระประสงค์ และไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของฟาริสีที่ไม่หวังดี

คำตอบของพระเยซูทำให้ฟาริสีต้องหน้าหงาย


“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง

 

ไม่มีใครหยุดกิจการของพระเจ้าได้ แม้อำนาจทางการเมือง ก็ไม่อาจหยุดอำนาจของประชาชนที่กำลังทำตามสิ่งที่สมควรตามพระประสงค์นั้นได้  อาจจะบีบบังคับให้เขาหยุดหากต้องการ พระเยซูยืนยันว่า หากไม่ให้คนเหล่านั้นส่งเสียง พระเจ้าจะให้ก้อนหินส่งเสียงแทน

พระเจ้าสอนให้เราให้เกียรติแก่กันและกัน ให้เกียรติแก่คนที่สมควรได้รับ ให้ทำทุกสิ่งเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า (โรม 12.10, 13.7,1 ทิโมธี 5.17, 1 เปโตร 2.17, 1โครินธ์ 10.31)

 

หากเราไม่ถวายเกียรติ ไม่ให้เกียรติ พระเจ้าสามารถใช้สิ่งอื่นทำหน้าที่แทนเราได้

 

 ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เตือนคนที่คิดว่าตนเองมีเชื้อสายจากบรรพบุรุษแห่งความเชื่อ แต่กลับไม่ได้สำแดงชีวิตในความเชื่ออย่างแท้จริง


อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ - Matthew 3:9 ​

 

พระเจ้าสามารถใช้ก้อนหินทำงานแทนเราที่ไม่รับผิดชอบต่องานของพระเจ้าได้

 

พระเจ้าสามารถใช้ก้อนหินแซ่ซ้องสรรเสริญแทนคนที่ไม่ยอมสรรเสริญ

 

ตราบใดที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ ให้รีบรับใช้ เชื่อฟัง และนำการสรรเสริญจากปาก จากใจ และช่วยให้คนอื่น ๆ สรรเสริญพระเจ้า 

 

อย่าให้อายก้อนหิน และต้นไม้ใบหญ้าที่พระเจ้าสร้างมาโดยไม่มีเสียงพูดต้องมาทำหน้าที่แทนเราเลย

จงให้ทุกสิ่งที่หายใจ สรรเสริญพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิดPsalms 15.6

 

“สรรเสริญ พระเจ้า” !!

 

อาเมนมั้ยครับ



 

(ภาพประกอบ ผมถ่ายให้เห็นมุมกว้างของเมืองเก่า บริเวณภูเขาพระวิหาร และภูเขามะกอกเทศ ที่เกิดเหตุการณ์ก้อนหินแห่งการสรรเสริญเล่าเรื่อง)

31 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (4) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (4)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

ศิลารากฐานคริสตจักร

พระเยซูเปิดเผยการเกิดขึ้นของคริสตจักร หลังจากตรวจสอบความเข้าใจของสาวก ด้วยคำถามว่า คนอื่น ๆ คิดว่าพระองค์เป็นใคร และพวกสาวกละคิดว่าพระองค์เป็นใคร ? คนทั่วไปอาจจะยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูเป็นใคร คิดว่าน่าจะเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา และคนอื่นๆ แต่ เปโตร ตอบว่า ... “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” คำตอบบนี้เป็นมาจากการเปิดเผยของพระเจ้า โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นสำคัญที่บ่งบอกพระเยซูเป็นใคร

 หนึ่ง พระคริสต์ (The Christ) คือ ผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ เป็นกษัตริย์ เป็นพระผู้ไถ่ หรือ พระเมสสิยาห์

 สอง พระบุตรของพระเจ้า (The Son) เพื่อสำแดงความจริงของพระเจ้า (ยอห์น 1.14,3.16)

 สาม พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (The Living God) พระเยซูคริสต์คือ พระเจ้าผู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นและตลอดไป (ยอห์น 11.25)

 

โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น คือรากฐานคริสตจักรที่มั่นคง พระเยซูประกาศว่า...

ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้ - Matthew 16:18

 

บนศิลานี้” หมายถึง พระเยซูคริสต์ที่ทรงเป็นศิลารากฐานของคริสตจักร ใครที่เชื่อพระเยซูเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่ตั้งมั่นอยู่บนรากฐานแห่งความจริงของพระเยซู

 

ภาษากรีก ที่บันทึกพระคัมภีร์ตอนนี้ มีการเล่นคำ ระหว่าง เปโตร (Petros) และ เปตรา (Petra) ที่เป็น “ศิลานี้” ตามคำกล่าวของพระเยซูที่จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ไว้

คำว่า เปโตร (Petro) ภาษากรีก Πέτρος อ่านว่า pet'-ros ซึ่งหมายถึง ศิลา หรือก้อนหินก้อนเล็ก ซึ่งเป็นคำพ้องกับชื่อ เปโตร ลูกศิษย์พระเยซู ( Peter = "a rock or a stone" one of the twelve disciples of Jesus)

และ เปตรา (Petra) ภาษากรีก πέτρα อ่านว่า pet'-ra หมายถึงหินก้อนใหญ่ที่เป็นศิลา เป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง (a rock, cliff or ledge a. a projecting rock, crag, rocky ground b. a rock, a large stone c. metaph. a man like a rock, by reason of his firmness and strength of soul )

 

คนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ชีวิตของเขาอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวแม้มีภัยมา เป็นคนฉลาดที่เลือกสร้างบ้านบนฐานที่เป็นศิลา (มัทธิว 7.24-27)

 

ชีวิตของคุณวางไว้บนฐานที่มั่นคงหรือไม่ ?

 

คริสตจักรที่คุณมีส่วนร่วมอยู่มีความเชื่อบนพื้นฐานศิลาแห่งพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงหรือไม่ ?

 

ทุกวันนี้มีคำสอนที่เจือบนเข้ามาในชีวิตและคริสตจักร เช่น เชื่อพระเยซูไม่พอ ต้องมีการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติไปด้วย หรือ เชื่อพระเยซูแล้วจะไม่มีวันจน ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันล้มเหลว ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริงของพระคัมภีร์เพื่อการตลาดหรือดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนั้นต้องกลับมาศึกษา เรียนรู้ และยอมรับความจริงจากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่กลั่นออกมาจากลมหายใจของพระเจ้า (2 ทิโมธี 3.15-17)

 

อย่าให้ความคิดแบบมนุษย์มาฉุดชีวิตของคุณออกจากฐานแห่งศิลาที่มั่นคงของพระเยซูคริสต์ นะครับ

 

ก้อนหินยังจะเล่าเรื่องต่อไป...

 


(ภาพประกอบ โบสถ์ The Church of Nativity สถานที่เชื่อว่าเป็นที่ประสูติของพระเยซูในเบธเลเฮม)

30 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (3) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (3)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

ก้อนหินแห่งการประหาร


            จากการสังเกตในการเดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล พบว่าไปที่ไหนก็เห็นแต่ก้อนหิน  สามารถหยิบฉวยขึ้นมาใช้ มาทำอะไรได้ทุกช่วงเวลา ทุกพื้นที่  ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นว่า นี่น่าจะเป็นต้นเหตุทำให้แนวทางการลงโทษขั้นสูงสุดของชนชาติอิสราเอลคือ การขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย

            พระเยซูคริสต์เผชิญกับสถานการณ์ที่เกือบจะถูกหินขว้างให้ตายอยู่หลายครั้งจากการถูกล่าวหาว่าพระองค์หมิ่นประมาทพระเจ้าด้วยการสอนและอ้างตัวว่าตนเองเป็น พระคริสต์ (พระเมสสิยาห์ หรือ ผู้ถูกแต่งตั้งเพื่อช่วยให้ชนชาติอิสราเอลรอดพ้นจากศัตรู และต่อมาเราเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่า พระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป ความตายและมารร้ายที่เป็นศัตรูของมวลมนุษย์)

            พระเยซูช่วยให้หญิงคนหนึ่งรอดพ้นจากการถูกหินขว้างตามกฎของบัญญัติ (ยอห์น 8.1-11) แม้เธอจะทำผิดจริงและถูกจับได้คาหนังคาเขา แต่เหตุจูงใจของผู้นำศาสนาเวลานั้นพวกเขาหวังจะจับผิดพระเยซูพร้อมทั้งลงโทษผู้หญิงคนนั้นไปควบคู่กัน  จึงใช้เหตุการณ์นี้มาเป็นอุบายให้พระเยซูหมดทางหนี  ผิดทุกคำตอบ ไม่ชอบทุกประเด็น  หากจะตอบว่าควรประหารให้ตายก็แสดงถึงความใจร้ายของพระองค์ ไม่เหมือนที่สอนมาตลอดว่าทรงรักมวลมนุษย์ แต่ถ้าตอบว่าไม่ให้ลงโทษ คนก็จะโกรธที่พระองค์ไม่ทำตามกฎหมายไร้ความเป็นธรรม  พวกเขาได้ทีถามซ้ำ ๆ หวังจะขย้ำพระเยซูให้จมดินไปด้วย (อ่านรายละเอียดในยอห์น 8.1-11)

เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”

 

เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน -  John 8:4-6

 

            แต่ด้วยพระสติปัญญาปรีชาชาญ พระเยซูไม่ตอบโดยตรง ทรงใช้นิ้วเขียนที่ดิน ...

และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”- John 8:7

 

            ว่าแล้วทรงก้มลงเขียนที่ดินต่อไปอีก  ผลปรากฏว่าคนที่หวังจะคว้าก้อนหินมาขว้างทั้งผู้หญิงคนนั้น และพระเยซูให้ตายตามไปอย่างที่ตั้งใจไว้ กลับทยอยถอยหนีออกไปทีละคนสองคนจนเหลือแต่พระเยซูและผู้หญิงคนนั้น  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า คนที่ถอยออกไปก่อนคือคนเฒ่าคนแก่  


น่าคิดนะครับว่า ทำไมคนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นถึงต้องถอยไปก่อนใคร หากจะลองคิดดูจะพบว่า คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมายาวนานย่อมรู้ดีแก่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำอะไรมาก่อนหน้านั้นบ้าง ยิ่งได้ยินคำถามจากพระเยซูว่า “ใครที่ไม่มีผิด ไม่มีบาป ไม่เคยพลาดพลั้ง ให้ลงมือขว้างหินให้หญิงคนนี้ตายก่อนเลย”  


การถอยออกไปเป็นสัญญาณบงชี้ว่า ไม่มีใครเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงพอที่จะหยิบก้อนหินขว้างคนอื่นได้เลย  ตรงตามความจริงที่พระคัมภีร์กล่าวว่า  ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า - Romans 3:10, 20, 23

 

            ก้อนหินแห่งการประหาร ไม่สามารถกำจัดความบาปชั่วให้หมดสิ้นไปได้ แต่หัวใจแห่งความรักและของประทานอันประเสริฐจากพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์นั้นสามารถช่วยเราให้รอดพ้นจากโทษทัณฑ์ของบาปและความตายได้

เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา- Romans 6:23 ​

 

ลองคิดสักนิดว่าคุณกำลังใช้ก้อนหินในการประหัตประหารคนให้ตาย หรือเพื่อช่วยคนให้รอด ?

 

การที่คุณคิดว่าใครเลวทรามชั่วช้านั้นใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวชี้วัด ?

 

หากคุณคิดว่าดี เด่น ดังกว่าใคร แต่แท้จริงภายในชีวิตชอบธรรมที่จะตัดสินเขาหรือไม่ ?

 

ให้ก้อนหินแห่งการประหาร ที่พระเยซูสอนครั้งนี้เป็นตัวชี้วัดนะครับว่า  “ใครที่ไม่มีผิด ไม่มีบาป ไม่เคยพลาดพลั้ง ให้ลงมือขว้างหินให้คนนี้ตายก่อนเลย”  


คุณจะถอยออกไปด้วยใจยอมรับความจริงหรือไม่ ?

 

ติดตามก้อนหินเล่าเรื่องต่อไป...

(ภาพประกอบถ่ายเมื่อ 2019 คือ บริเวณ Dorm of the Rock ที่เชื่อว่าเป็นบริเวณพระวิหารโบราณของอิสราเอล และเป็นที่เหตุการณ์ที่ก้อนหินแห่งการประหารได้เล่าเรื่องในครั้งนี้ด้วย)