31 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (4) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (4)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

ศิลารากฐานคริสตจักร

พระเยซูเปิดเผยการเกิดขึ้นของคริสตจักร หลังจากตรวจสอบความเข้าใจของสาวก ด้วยคำถามว่า คนอื่น ๆ คิดว่าพระองค์เป็นใคร และพวกสาวกละคิดว่าพระองค์เป็นใคร ? คนทั่วไปอาจจะยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูเป็นใคร คิดว่าน่าจะเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา และคนอื่นๆ แต่ เปโตร ตอบว่า ... “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” คำตอบบนี้เป็นมาจากการเปิดเผยของพระเจ้า โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นสำคัญที่บ่งบอกพระเยซูเป็นใคร

 หนึ่ง พระคริสต์ (The Christ) คือ ผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ เป็นกษัตริย์ เป็นพระผู้ไถ่ หรือ พระเมสสิยาห์

 สอง พระบุตรของพระเจ้า (The Son) เพื่อสำแดงความจริงของพระเจ้า (ยอห์น 1.14,3.16)

 สาม พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (The Living God) พระเยซูคริสต์คือ พระเจ้าผู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นและตลอดไป (ยอห์น 11.25)

 

โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น คือรากฐานคริสตจักรที่มั่นคง พระเยซูประกาศว่า...

ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้ - Matthew 16:18

 

บนศิลานี้” หมายถึง พระเยซูคริสต์ที่ทรงเป็นศิลารากฐานของคริสตจักร ใครที่เชื่อพระเยซูเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่ตั้งมั่นอยู่บนรากฐานแห่งความจริงของพระเยซู

 

ภาษากรีก ที่บันทึกพระคัมภีร์ตอนนี้ มีการเล่นคำ ระหว่าง เปโตร (Petros) และ เปตรา (Petra) ที่เป็น “ศิลานี้” ตามคำกล่าวของพระเยซูที่จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ไว้

คำว่า เปโตร (Petro) ภาษากรีก Πέτρος อ่านว่า pet'-ros ซึ่งหมายถึง ศิลา หรือก้อนหินก้อนเล็ก ซึ่งเป็นคำพ้องกับชื่อ เปโตร ลูกศิษย์พระเยซู ( Peter = "a rock or a stone" one of the twelve disciples of Jesus)

และ เปตรา (Petra) ภาษากรีก πέτρα อ่านว่า pet'-ra หมายถึงหินก้อนใหญ่ที่เป็นศิลา เป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง (a rock, cliff or ledge a. a projecting rock, crag, rocky ground b. a rock, a large stone c. metaph. a man like a rock, by reason of his firmness and strength of soul )

 

คนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ชีวิตของเขาอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวแม้มีภัยมา เป็นคนฉลาดที่เลือกสร้างบ้านบนฐานที่เป็นศิลา (มัทธิว 7.24-27)

 

ชีวิตของคุณวางไว้บนฐานที่มั่นคงหรือไม่ ?

 

คริสตจักรที่คุณมีส่วนร่วมอยู่มีความเชื่อบนพื้นฐานศิลาแห่งพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงหรือไม่ ?

 

ทุกวันนี้มีคำสอนที่เจือบนเข้ามาในชีวิตและคริสตจักร เช่น เชื่อพระเยซูไม่พอ ต้องมีการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติไปด้วย หรือ เชื่อพระเยซูแล้วจะไม่มีวันจน ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันล้มเหลว ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริงของพระคัมภีร์เพื่อการตลาดหรือดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนั้นต้องกลับมาศึกษา เรียนรู้ และยอมรับความจริงจากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่กลั่นออกมาจากลมหายใจของพระเจ้า (2 ทิโมธี 3.15-17)

 

อย่าให้ความคิดแบบมนุษย์มาฉุดชีวิตของคุณออกจากฐานแห่งศิลาที่มั่นคงของพระเยซูคริสต์ นะครับ

 

ก้อนหินยังจะเล่าเรื่องต่อไป...

 


(ภาพประกอบ โบสถ์ The Church of Nativity สถานที่เชื่อว่าเป็นที่ประสูติของพระเยซูในเบธเลเฮม)

30 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (3) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (3)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

ก้อนหินแห่งการประหาร


            จากการสังเกตในการเดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล พบว่าไปที่ไหนก็เห็นแต่ก้อนหิน  สามารถหยิบฉวยขึ้นมาใช้ มาทำอะไรได้ทุกช่วงเวลา ทุกพื้นที่  ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นว่า นี่น่าจะเป็นต้นเหตุทำให้แนวทางการลงโทษขั้นสูงสุดของชนชาติอิสราเอลคือ การขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย

            พระเยซูคริสต์เผชิญกับสถานการณ์ที่เกือบจะถูกหินขว้างให้ตายอยู่หลายครั้งจากการถูกล่าวหาว่าพระองค์หมิ่นประมาทพระเจ้าด้วยการสอนและอ้างตัวว่าตนเองเป็น พระคริสต์ (พระเมสสิยาห์ หรือ ผู้ถูกแต่งตั้งเพื่อช่วยให้ชนชาติอิสราเอลรอดพ้นจากศัตรู และต่อมาเราเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่า พระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป ความตายและมารร้ายที่เป็นศัตรูของมวลมนุษย์)

            พระเยซูช่วยให้หญิงคนหนึ่งรอดพ้นจากการถูกหินขว้างตามกฎของบัญญัติ (ยอห์น 8.1-11) แม้เธอจะทำผิดจริงและถูกจับได้คาหนังคาเขา แต่เหตุจูงใจของผู้นำศาสนาเวลานั้นพวกเขาหวังจะจับผิดพระเยซูพร้อมทั้งลงโทษผู้หญิงคนนั้นไปควบคู่กัน  จึงใช้เหตุการณ์นี้มาเป็นอุบายให้พระเยซูหมดทางหนี  ผิดทุกคำตอบ ไม่ชอบทุกประเด็น  หากจะตอบว่าควรประหารให้ตายก็แสดงถึงความใจร้ายของพระองค์ ไม่เหมือนที่สอนมาตลอดว่าทรงรักมวลมนุษย์ แต่ถ้าตอบว่าไม่ให้ลงโทษ คนก็จะโกรธที่พระองค์ไม่ทำตามกฎหมายไร้ความเป็นธรรม  พวกเขาได้ทีถามซ้ำ ๆ หวังจะขย้ำพระเยซูให้จมดินไปด้วย (อ่านรายละเอียดในยอห์น 8.1-11)

เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”

 

เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน -  John 8:4-6

 

            แต่ด้วยพระสติปัญญาปรีชาชาญ พระเยซูไม่ตอบโดยตรง ทรงใช้นิ้วเขียนที่ดิน ...

และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”- John 8:7

 

            ว่าแล้วทรงก้มลงเขียนที่ดินต่อไปอีก  ผลปรากฏว่าคนที่หวังจะคว้าก้อนหินมาขว้างทั้งผู้หญิงคนนั้น และพระเยซูให้ตายตามไปอย่างที่ตั้งใจไว้ กลับทยอยถอยหนีออกไปทีละคนสองคนจนเหลือแต่พระเยซูและผู้หญิงคนนั้น  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า คนที่ถอยออกไปก่อนคือคนเฒ่าคนแก่  


น่าคิดนะครับว่า ทำไมคนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นถึงต้องถอยไปก่อนใคร หากจะลองคิดดูจะพบว่า คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมายาวนานย่อมรู้ดีแก่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำอะไรมาก่อนหน้านั้นบ้าง ยิ่งได้ยินคำถามจากพระเยซูว่า “ใครที่ไม่มีผิด ไม่มีบาป ไม่เคยพลาดพลั้ง ให้ลงมือขว้างหินให้หญิงคนนี้ตายก่อนเลย”  


การถอยออกไปเป็นสัญญาณบงชี้ว่า ไม่มีใครเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงพอที่จะหยิบก้อนหินขว้างคนอื่นได้เลย  ตรงตามความจริงที่พระคัมภีร์กล่าวว่า  ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า - Romans 3:10, 20, 23

 

            ก้อนหินแห่งการประหาร ไม่สามารถกำจัดความบาปชั่วให้หมดสิ้นไปได้ แต่หัวใจแห่งความรักและของประทานอันประเสริฐจากพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์นั้นสามารถช่วยเราให้รอดพ้นจากโทษทัณฑ์ของบาปและความตายได้

เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา- Romans 6:23 ​

 

ลองคิดสักนิดว่าคุณกำลังใช้ก้อนหินในการประหัตประหารคนให้ตาย หรือเพื่อช่วยคนให้รอด ?

 

การที่คุณคิดว่าใครเลวทรามชั่วช้านั้นใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวชี้วัด ?

 

หากคุณคิดว่าดี เด่น ดังกว่าใคร แต่แท้จริงภายในชีวิตชอบธรรมที่จะตัดสินเขาหรือไม่ ?

 

ให้ก้อนหินแห่งการประหาร ที่พระเยซูสอนครั้งนี้เป็นตัวชี้วัดนะครับว่า  “ใครที่ไม่มีผิด ไม่มีบาป ไม่เคยพลาดพลั้ง ให้ลงมือขว้างหินให้คนนี้ตายก่อนเลย”  


คุณจะถอยออกไปด้วยใจยอมรับความจริงหรือไม่ ?

 

ติดตามก้อนหินเล่าเรื่องต่อไป...

(ภาพประกอบถ่ายเมื่อ 2019 คือ บริเวณ Dorm of the Rock ที่เชื่อว่าเป็นบริเวณพระวิหารโบราณของอิสราเอล และเป็นที่เหตุการณ์ที่ก้อนหินแห่งการประหารได้เล่าเรื่องในครั้งนี้ด้วย)

29 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (2) โดย บัณฑิต ดาแว่น

 คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (2)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

ก้อนหินที่สวนองุ่น

เรื่องราวการส่งเสียงของก้อนหินในอิสราเอล มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เวลาเรานั่งรถไปตามถนน มองออกไปสองข้างทางต่างเห็นก้อนหิน ก้อนหิน และก้อนหิน เต็มไปหมด แล้วอย่างนี้คนอิสราเอลเขาทำมาหากินจากผืนดินได้อย่างไร  คำตอบที่ได้คือ  พระเจ้าให้สติปัญญาแก่ชนชาติที่ทรงเลือกสรร โดยให้พวกเขานำก้อนหินออกจากพื้นที่ที่ต้องการเพาะปลูก นำไปเรียงกองไว้ข้าง ๆ เป็นแนวรั้ว คล้ายคันนาของบ้านเรา เพียงแต่เป็นคันหินเป็นก้อน ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างตามพื้นที่ สะท้อนให้เห็นความทรหดอดทน และใจสู้ของชนชาติอิสราเอล ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอย่างหนักหน่วงกว่าจะได้ผลผลิตจากพื้นดิน  แต่พระเจ้าก็ประทานพรอย่างยิ่งใหญ่แก่ชนชาตินี้ โดยให้ผลผลิตของเขาเจริญเกิดผลดีอย่างอัศจรรย์  ตามคำสัญญาที่จะประทานแผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่เต็มไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง  ซึ่งทั่วโลกต่างประจักษ์แล้วว่าผลิตทางการเกษตรของอิสราเอลนั้นอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ก้อนหินที่เป็นแนวรั้วหิน กั้นเป็นเขตแดนสวนองุ่น สวนมะกอกเทศ สวนมะเดื่อ อินทผาลัม และพืชพรรณอื่น ๆ มีลักษณะเป็นสวนขั้นบันไดขึ้นไปตามเนินเขา ส่งเสียงร้องดังมาถึงหูของผมขณะนั่งรถผ่านไปว่า นี่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่เลือกสรรชนชาตินี้ และประทานแผ่นดินแห่งพระพรแก่เขา  เพื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยโฮวาห์ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร์ บุคคลผู้นั้นจะได้รับชีวิตที่เป็นอมตะอยู่กับพระองค์ตลอดไป  (ยอห์น 3.16, 11.25)

พระเจ้าให้ผู้เผยพระวจนะเอเสเคีลยเห็นภาพการเอาใจหินออกจากชีวิตของชนชาติอิสราเอลที่มีใจดื้ดึงและจะให้ใจเนื้อที่เชื่อฟังแก่เขาเพื่อการเกิดผลดี (เอเสเคีลย 11.19, 36.26)

 

เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า - Ezekiel 36:26

 

และสำหรับเราในวันนี้พระเจ้าตรัสว่า...จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ- 1 Peter 2.4

 

            มีใครได้ยินเสียงก้อนหินมั้ยครับ ?


ก้อนหินที่จะเล่าเรื่องต่อไปคือ ...ก้อนหินแห่งการประหาร

28 กรกฎาคม 2564

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (1) โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Stone Storytelling: ก้อนหินเล่าเรื่อง (1)

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

เชื่อไหมครับว่า ก้อนหินส่งเสียงดัง และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้ ?


เมื่อผมไปเดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล ทำให้พบความจริงนี้  เพราะทุกพื้นที่ที่เยื้องย่างไปนั้นเต็มไปด้วยก้อนหิน ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หลากหลายรูปแบบ  ผมชอบความรู้สึกที่ได้ยินเรื่องราวจากก้อนหินเหล่านี้อย่างจับใจ  จะนำมาบางเรื่องเท่าที่จะมีโอกาสเขียนนะครับ...

 

ก้อนหินของดาวิด

เริ่มตั้งแต่วันแรกที่ไปชมทุ่งหญ้าที่ดาวิดเคยสู้กับยักษ์โกลิอัท ด้วยก้อนหินจากลำธารที่นำมาใส่สวิงเหวี่ยงใส่จนยักษ์ใหญ่ต้องล้มหัวขมำ นำชัยชนะมาให้ชนชาติอิสราเอลอย่างยิ่งใหญ่  ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นดาวิดเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาผิวพรรณใส ๆ ไม่เคยผ่านการฝึกรบในฐานะทหารแม้แต่น้อย  เขาเข้าไปในสนามรบ เพราะต้องนำอาหารไปส่งพี่ชายที่เป็นทหารประจำการตามการบัญชาของกษัตริย์ซาอูล 

แม้แต่ทหารหาญผู้เชี่ยวชาญการรบยังต้องหลบการมาปรากฏตัวของยักษ์ใหญ่  แต่ดาวิดเป็นใครจึงกล้าหาญชาญชัยได้ขนาดนั้น  พระคัมภีร์บันทึกว่า ดาวิดเชื่อในพระเจ้า เมื่อยามต้องเฝ้าฝูงแพะแกะ เขาใช้เวลานมัสการ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่เสมอ เมื่อหมี หมาป่า หรือสิงโตโผล่มาจะจับแกะของเขาไปกิน ดาวิดก็สู้มันด้วยก้อนหิน ที่สำคัญเขาสู้มันโดยพระนามของพระเจ้า  ดังนั้น ดาวิดจึงพูดว่า  ชาวฟิลิสเตียผู้ไม่เข้าสุหนัต (ไม่รู้จักพระเจ้า)คนนี้เป็นใคร ถึงมาหลบหลู่พระนามพระเจ้าอยู่ได้ตั้งหลายวัน...เขามาด้วยหอกด้วยดาบ แต่ดาวิดบอกว่า ข้าพเจ้ามาด้วยพระนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น

ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย”- 1 Samuel 17.45-47

 

จากก้อนหินก้อนนั้น ส่งผลให้ดาวิดกลายมาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาอิสราเอล และเชื้อสายเขาได้รับเลือกให้เป็นพระเมสสิยาห์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซู พระเจ้าผู้ช่วยให้มนุษย์ทั้งโลกรอดพ้นจากความผิดบาป

ผมได้หยิบก้อนหินบริเวณทุ่งหญ้าแห่งดาวิดมาเป็นที่ระลึกสองสามก้อน และทุกวันนี้ก้อนหินยังเล่าเรื่องให้ผมได้ยินอยู่เสมอ

(อ่านเรื่องราวก้อนหินของดาวิด ที่ผมเขียนไว้อีกมุมมองได้ https://bandhit.blogspot.com/2019/05/davids-stone.html )


ก้อนหินเล่าเรื่องต่อไป คือ ก้อนหินที่สวนองุ่น...ติดตามต่อนะครับ

24 กรกฎาคม 2564

Shiloh: เมืองชิโลห์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Shiloh: เมืองชิโลห์

โดย บัณฑิต ดาแว่น

เมืองชิโลห์ (Shiloh) เป็นศูนย์กลางของชนชาติอิสราเอลโบราณอยู่ในพื้นที่ของยูเดียและสะมาเรีย เริ่มมาตั้งแต่สมัยโมเสสจากนั้นมีการแบ่งดินแดนในสมัยโยชูวา (โยชูวา 18.1) ดำเนินต่อมาจนถึงก่อนจะมีการสถาปนากษัตริย์ คือราว ก่อน ค.ศ. 1100  ยุคนั้นยังเป็นการนำของปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะ  โดยใช้หลักธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ประทานมาตั้งแต่สมัยโมเสสเป็นกฎหมาย  มีปุโรหิต เอลี  ทำหน้าที่ดูแลประชากรทั้งฝ่ายศาสนพิธี และชีวิตประจำวัน  ที่ชิโลห์ จึงเป็นที่ตั้งของพลับพลา (Tabernacle) สถานที่นมัสการพระเจ้า ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และภายในห้องอภิสุทธิสถานยังมีหีบพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ (Ark of the Covenant) ซึ่งภายในหีบบรรจุแผ่นหินพระบัญญัติ 10 ประการ โถทองคำใส่มานา(อาหารที่พระเจ้าประทานแก่ชนชาติอิสราเอลช่วงอพยพจากอียิปต์อยู่กลางทะเลทราย) และไม้เท้าอาโรนที่ออกดอกตูม(อพยพ 25,1พง์กษัตริย์ 8, ฮีบรู 9.4)  หีบพันธสัญญาตั้งอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลที่เมืองชิโลห์เกือบ 400 ปี  มีประชาชนไปร่วมพิธีถวายเครื่องบูชาที่ชิโลห์ปีละครั้ง

ปัจจุบัน เมืองชิโลห์เป็นซากปรักหักพังจาการรุกรานของหลายชนชาติ แต่ยังได้รับการบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการศึกษา อยู่ในเขตเวสต์แบงก์ตามแนวของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank)  หลังจากรถคณะทัวร์ไปถึง มีการอธิบายและนำโดยมัคคุเทศก์  เราต้องเดินขึ้นไปตามทางลูกรัง ช่วงแรกยังเป็นลักษณะสวนสาธารณะแหล่งการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ เดินไปตามทางยังพบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะนักเรียนหญิงชายที่แต่งตัวน่ารักๆ มาทัศนศึกษา ผมจึงแอบถ่ายรูปเอาไว้ มัคคุเทศก์ชี้ให้ดูต้นอัลมอนด์ ที่กำลังออกผลยังเขียวสดอยู่ คงต้องรอให้มันแก่ เป็นพืชตระกูลถั่ว เขาโฆษณาสรรพคุณดีมากมายหลายประการทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วย  ว่าแล้วก็เดินไปต่อตามทางเดิน ผมแวะถ่ายรูปป้ายอธิบายสถานที่และประวัติความเป็นมาเป็นบางจุด  ตามทางเดินและรอบ ๆ ตามภูเขาที่มีแต่หิน หิน และหิน ทั้งหินก้อนเล็ก ก้อน ใหญ่ และก้อนมหึมา ซึ่งนี่แหละทำให้ผมประทับใจและได้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับก้อนหิน เช่น เรื่องก้อนหินของดาวิด ติดตามตามอ่านได้(https://bandhit.blogspot.com/2019/05/davids-stone.html)

และยังจะมีเรื่องเล่าจากก้อนหินตามมาให้อ่านกันอีกนะครับ  ก้อนหินเป็นของที่ระลึกที่ผมหยิบมาแทบทุกที่ที่ไปเยือน เป็นกลยุทธ์ส่วนตัวที่บันทึกความทรงจำโดยไม่ต้องจ่าย ฮะๆๆ...แต่ต้องดูด้วยนะครับบางแห่งเขาไม่อนุญาตให้เก็บสิ่งของหรือเด็ดดอกไม้ มิฉะนั้นอาจติดคุกกินอาหารยิวจนเลี่ยนเชียวนะ...

เดินขึ้นเขาที่เต็มไปด้วยหิน ต้องระวังการเดินสะดุดและลื่นไหล แม้อากาศจะเย็น ลมแรง แต่เหงื่อเริ่มไหลหลังจากเดินมาครึ่งทาง บางคนหัวเข่าเริ่มปวดตามวัย  พวกเราเข้าไปในอาคารโบราณ ที่เขาเชื่อว่าเคยเป็นธรรมศาลาของชาวยิวโบราณ เพื่อให้ดูวิดีทัศน์เกี่ยวกับเมืองชิโลห์ พลับพลาและการถวายเครื่องบูชา เป็นภาพสามมิติ แสงสีเสียง จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังย้อนยุคไปอยู่ในสมัยนั้นจริง ๆ  จากนั้นขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นอาคารหอคอยชมทิวทัศน์ที่ประกอบไปด้วยก้อนหินอย่างที่เล่ามา  ข้างในอาคารหอคอยมีการฉายสารคดีเกี่ยวกับประวัติของอิสราเอลที่ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง  เดินออกมารอบ ๆ พบหลุมที่เป็นช่องลงไปลึก มีตาข่ายเหล็กปิดไว้ ได้รับคำอธิบายว่านี่เป็นนวัตกรรมการเก็บน้ำมาตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งพระเจ้าให้สติปัญญากับคนยิวใช้ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหินให้เกิดประโยชน์อย่างอัศจรรย์  เดินต่อมาหลายคนเกิดคำถามเมื่อเห็นดอกไม้คล้ายดอกป็อปปี้ (Poppy) หรือดอกฝิ่น ซึ่งผมถ่ายรูปไว้ ต่อมาได้รับคำยืนยันว่าคือดอกฝิ่นจริง ๆ  และยังมีดอกไม้ป่าของพื้นเมืองกระจัดกระจายให้ชื่นชมตลอดทาง

มาถึงบริเวณที่เชื่อกันว่า เคยที่เป็นที่ตั้งของพลับพลาสมัยปุโรหิตเอลี  ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เมื่อก่อนคนที่จะเข้ามาต้องถอดรองเท้า เพื่อแสดงความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้า  แต่บัดนี้พวกเรามายืนล้อมวงและถ่ายรูปโดยยังสวมรองเท้าได้เพราะหลังหมดยุคแห่งการถวายบูชาในพลับพลาแล้ว ชนชาติอิสราเอลได้สร้างพระวิหารเพื่อเป็นศูนย์กลาง  โดยกษัตริย์ซาโลมอน บุตรชายของกษัตริย์ดาวิด ได้ลงมือสร้างอย่างสง่างามที่ภูเขาโมรียาห์ ช่วงปี ก่อน ค.ศ.970-930 (2 พงศาวดาร 3.1) และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในชื่อภูเขาพระวิหารในเยรูซาเล็ม หรือวิหารโดมทอง (Dorm of the Rock)ที่พวกเราก็ต้องไปที่นั่นเหมือนกัน  ด้วยเหตุนั้น มัคคุเทศก์อธิบายว่า ความศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดจึงขึ้นอยู่กับหีบพันธสัญญาและพระวิหารแห่งใหม่  เราจึงมายืน ณ ที่แห่งนี้ที่เคยเป็นพลับพลาโบราณได้โดยไม่ต้องถูกไฟแห่งพระพิโรธเผาให้วอดวาย  แต่ถึงกระนั้นเรายังต้องมีความเคารพยำเกรงพระเจ้าอยู่เสมอในทุกสถานที่ เพราะพระเจ้าเคยใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ 

ข้อคิดที่ผมได้รับจากประเด็นนี้คือ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่สถิตของพระเจ้าผ่านทางพลับพลาและหีบพันธสัญญา แต่ปัจจุบันถูกย้ายไปที่อื่นที่เหมาะสมกว่า  อะไรเป็นเหตุที่ต้องเป็นอย่างนั้น  บางครั้งแทนที่ตัวเราเองจะเป็นศูนย์กลางแห่งพระพรต่อคนอื่น ๆ หรือ พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเราในบางเรื่อง แต่น่าเสียดายหากเราไม่พร้อม ไม่เหมาะ หรือไม่ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าตามที่ควร จึงทำให้พลาดโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ไป

อิสราเอลไม่สิ้นคนดี แม้หมดยุคปุโรหิตเอลีแต่ยังมีซามูเอลมาสืบทอด

พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวในยุคของปุโรหิตเอลี  การกำเนิดของซามูเอล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการปกครองโดยกษัตริย์ไว้ในพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล  เรื่องที่ชวนคิดคือ หากเอลีและลูกชายของท่านยังอยู่ในทางของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พวกเขาน่าจะเป็นต้นตระกูลที่ปกครองชนชาติอิสราเอลไปอีกนาน และสถานที่แห่งนี้คือเมืองชิโลห์คงจะเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณอย่างยิ่งใหญ่ตลอดไป แต่น่าเสียดายลูกชายทั้งสองของท่านทำให้เกิดความทุกข์มาสู่เอลีโดยการยักยอกทรัพย์ บีบบังคับประชาชน และทำสิ่งฉ้อฉลอย่างไม่ยำเกรงพระเจ้า  ชายหนุ่มทั้งสองตายในสงครามและส่งผลให้เอลีผู้พ่ออกแตกตายอย่างทรมานในปั้นปลายของชีวิต (1 ซามูเอล 4) และหีบพันธสัญญายังถูกยึดไปอยู่ในมือของศัตรูด้วย แต่ในที่สุดพระเจ้าก็ทำให้หีบนั้นกลับคืนมาได้

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีชนชั้นนำทำตัวไม่เหมาะสมนั้น ยังมีหนุ่มน้อยซามูเอล เด็กรับใช้ในพลับพลา อยู่ภายใต้การดูแลของปุโรหิตเอลี (อาจเทียบได้กับเด็กวัดบ้านเรา)  ซามูเอล เป็นลูกชายที่เกิดจากคำอธิษฐานของแม่ คือนางฮันนาห์ หญิงหมันที่ทนทุกข์จากการไม่มีลูกมาหลายปี  เธอติดตามสามีมาที่ชิโลห์ทุกปีเพื่อถวายเครื่องบูชาตามประเพณี แต่เธอทำมากกว่านั้น คือใช้เวลาอธิษฐานวิงวอน ภาวนา คร่ำครวญ ร้องขอต่อพระเจ้า จนแม้แต่ปุโรหิตเอลีเข้าใจผิดคิดว่าเธอเมาเหล้าและพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อฟังคำอธิบายว่าเธอมีทุกข์อย่างไรและมีความปรารถนาเช่นใดอย่างถ่องแท้แล้ว จึงได้อวยพรเธอ พระเจ้าตอบคำอธิษฐานฮันนาห์ โดยประทานบุตรชายคนนี้ “ซามูเอล” หมายถึง อธิษฐาน หรือ พระเจ้าฟังคำอธิษฐาน (Samuel sounds like the Hebrew for heard of God)

 และอยู่มาเมื่อถึงกาลกำหนด ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเด็กนั้นว่าซามูเอล เพราะนางกล่าวว่า “ดิฉันทูลขอมาจากพระเจ้า” (1 ซามูเอล 1.20)

หลังจากซามูลเอลหย่านมแล้ว นางฮันนาห์จึงนำมาถวายให้เป็นคนของพระเจ้าที่พลับพลาต่อหน้าปุโรหิตเอลี ตามความตั้งใจที่เธอได้อธิษฐานไว้ (1 ซามูเอล 1.11,24-28)  ซามูเอล คนนี้แหละที่กลายมาเป็นปุโรหิตที่ประชาชนให้ความเคารพบันถือถึงขั้นขอให้เขาเป็นผู้ปกครองทั้งด้านจิตวิญญาณและทางบ้านเมืองแต่ท่านไม่ปรารถนาเป็นผู้ปกครองเมือง  พระเจ้าจึงใช้ท่านให้เป็นผู้เจิมตั้งกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล คือซาอูล และต่อมาได้เลือกกษัตริย์อีกองค์คือ ดาวิด ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลสืบมาจนปัจจุบัน

ซามูเอล เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ และท่านมีความถ่อมตน ไม่ทะเยอทะยานในด้านตำแหน่งหรือชื่อเสียง แต่ทำหน้าที่สำคัญคือ การอธิษฐานเผื่อประชาชน ซึ่งท่านได้ทำสิ่งนี้จนถึงวาระสุดท้าย  ตามคำกล่าวต่อหน้าประชาชนว่า...

ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน -1 Samuel 12:23

ณ เมืองชิโลห์ แห่งนี้ มีบทเรียนที่ล้ำค่าต่อชีวิต  จากชีวิตของเอลีและลูก ที่ต้องถูกพิพากษาโทษเพราะการไม่เชื่อฟัง จึงพลาดโอกาสการเป็นศูนย์กลางแห่งพระพร แต่สำหรับ ซามูเอล  เด็กชายที่ได้เกิดมาเพราะคำอธิษฐาน  เขาได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อทำตามประสงค์ของพระเจ้า จึงทำให้เราระลึกถึงท่าน ในฐานะปุโรหิต  ผู้วินิจฉัย และผู้เจิมตั้งกษัตริย์ให้ชนชาติอิสราเอล และยังเป็นนักอธิษฐานที่คิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ

ลองพิจารณาดูนะครับว่า คุณอยากมีชีวิตแบบเอลีและลูกที่ถูกปฏิเสธในปั้นปลาย

 หรือ 

อยากเป็นคนที่ถูกพระเจ้าเรียกและใช้อย่างซามูเอล จากเด็กรับใช้ในพลับพลา กลายมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล



 

 

 

17 กรกฎาคม 2564

Nazareth : สิ่งดีจากนาซาเร็ธ โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Nazareth : สิ่งดีจากนาซาเร็ธ

โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คณะผู้นำ(ผู้รับใช้)แบ๊บติสต์ไทย เดินตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอล  เดินทางขึ้นเหนือเพื่อเยี่ยมชมเมืองสำคัญ  นาซาเร็ธ  เป็นสถานที่พระเยซูคริสต์เติบโตผ่านการเลี้ยงดูของมารีย์และโยเซฟ  เมื่อก่อนหน้านั้น นาซาเร็ธ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในแคว้นกาลิลี ไม่ได้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ใด ๆ แต่ปัจจุบันกลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากพระเยซูคริสต์สำแดงพระองค์เอง และถูกเรียกว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ”

คณะของเราพักที่โรงแรม Rimonim Nazareth ถือว่าเป็นการพักผ่อนหลังจากเดินทางมาหลายวัน  กิจกรรมที่นี่ไม่ได้ออกไปชมในพื้นที่ แต่ใช้เวลาอธิษฐาน แบ่งปันประสบการณ์ และขอบคุณพระเจ้า  อีกทั้งมีเวลาผ่อนคลายในมื้ออาหารที่หลากหลายทั้งแบบพื้นเมืองและสากล  พวกเราต่างมีความสุขที่ได้ลิ้มรสอาหารพร้อมทั้งสนทนาอย่างเพลิดเพลิน และมีอิสระที่จะเดินเล่นบริเวณเมือง

ยามค่ำคืน  ผมออกไปเดินชมเมืองนาซาเร็ธ  อากาศช่วงที่เราไปนั้นค่อนข้างเย็น ลมแรง  ใช้วิธีเดินเร็วเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย  ท่ามกลางบรรยากาศแสงไฟ บ้านเรือน อาคารในเมืองนาซาเร็ธ ณ ปี 2019 ถือว่าเจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองที่อยู่บนภูเขา  ผมพยายามจินตนาการถึงช่วงเวลาที่พระเยซูดำเนินอยู่บริเวณนี้  พระองค์จะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะในวัยเด็ก ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกรายนละเอียดไว้  นับตั้งแต่ทูตสวรรค์แจ้งข่าวแก่เซฟและมารีย์ในขณะที่ต้องหนีไปอยู่ในอียิปต์ว่าเฮโรดผู้แสวงหาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว จากนั้นโยเซฟจึงพาพระกุมารไปอาศัยอยู่ที่นาซาเร็ธ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการณ์ของพระเจ้า (มัทธิว 2.19-23) เชื่อว่าพระเยซูอาศัยที่นี่จนถึงวัยหนุ่มเลยทีเดียว

มัทธิวบันทึกว่า...ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ - Matthew 2:23

             เท่าที่ได้สูดอากาศ เยี่ยมชม เดินไปท่ามกลางเมืองที่ได้ชื่อว่า นาซาเร็ธ แม้ไม่มีโอกาสลงพื้นที่แบบละเอียดตามเป้าหมายเดิมของคณะทัวร์ แต่เพียงเท่านี้ แม้แค่เศษส่วนหนึ่งของชีวิตที่ได้สัมผัส ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ซาบซึ้งถึงความรู้สึกภายในอย่างที่สุดแล้ว  จากที่ก่อนจะเดินทางมาร่วมคณะ แทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะมาในครึ้งนี้  เคยเขียนข้อความไปถึงผู้นำจัดทัวร์ของแบ๊บติสต์ คือ อาจารย์พงษ์ศักดิ์ อังศ์ธราธร ว่าอาจจะขอถอนตัว เพราะไม่แน่ใจจะเก็บเงินได้พอหรือไม่ แต่ท่านให้กำลังใจและยืนยันว่าเป็นโอกาสแห่งพระพร จึงอยากให้พยายามและรอเวลาของพระเจ้า... สุดท้ายก็ได้มาถึงที่นี่ นับเป็นพระมหากรณาธิคุณหาที่สุดไม่ได้ หลังกินอาหารแล้ว มานั่งสนทนากันที่ห้องรับแขกของโรงแรม ได้พูดคุยถึงประสบการณ์ส่วนตัวนี้กับเพื่อนผู้รับใช้และอาจารย์พงษ์ศักดิ์ด้วยความสำนึกในพระคุณอีกครั้ง และยังมีผู้รับใช้ท่านอื่น ๆ ที่แลกเปลี่ยนกันด้วยว่า ท่านเองก็มีสถานการณ์คล้าย ๆ กัน แต่ในที่สุดพระเจ้าเมตตาให้มาเช่นกัน 

ฮาเลลูยาห์ ! ขอบคุณพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ ทรงถูกมองข้าม ถูกเย้ยหยันจากสังคม ในฐานะที่เป็นคนในนาซาเร็ธ ที่ไม่อยู่ในสายตาของสังคม จากคำพูดของ นาธานาเอล (อีกชื่อ บาโธโลมิว มัทธิว 10.3)ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นจริงใจ เขาพูดออกมาทันทีหลังจากฟิลิปไปหาเขาและชวนให้มาติดตามพระเยซูว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” - John 1:46

นาธานาเอลคิดไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะมีอาจารย์ดี ๆ จากนาซาเร็ธ เพราะตัวเขาเองก็อยู่ที่นี่มานานก็ไม่เห็นมีอะไร แต่เมื่อเขาพบพระเยซู พระองค์สำแดงให้เขาโดยตรงว่าทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่ง เพราะพระองค์บอกได้เลยว่า นาธานาเอล เป็นคนอิสราเอลแท้ ที่ไม่มีอุบาย และก่อนจะมาพบพระองค์เขาได้คุยกับฟิลิปใต้ต้นมะเดื่อ เพียงแค่นี้ นาธานาเอล ไม่ได้เอ่ยถึงความคิดของตนเองที่ปรามาสก่อนหน้านั้นว่า จะมีอะไรดีจากนาซาเร็ธได้ เขากลับยอมรับและถวายตัวเป็นลูกศิษย์พระเยซูทันที พร้อมทั้งยกย่องพระองค์ในฐานะ พระบุตรของพระเจ้า และกษัตริย์ของอิสราเอล (ยอห์น 1.49)

            ประสบการณ์ชีวิตของผู้รับใช้หลายท่านคงคล้าย ๆ กัน  ส่วนใหญ่ที่รู้จักมักมาจากพื้นฐานความยากลำบาก จากหมู่บ้านที่ห่างไกล แต่เมื่อรับการทรงเรียกจากพระเจ้า ชีวิตจึงรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์  ผมเองเป็นคนหนึ่งในนั้น  เป็นชาวไร่ ชาวนา จากบ้านนอกคอกนา (พระเยซู ก็เป็น ชาวนา...ซาเร็ธ) เมื่อได้มาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดโดยพระคุณอันประเสริฐ  มีโอกาสดีมาถึงชีวิตมากมาย เศษดินกลายเป็นสิ่งมีค่า เมื่อมาอยู่ในพระหัตถ์พระเยซู จึงกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่มีที่เป็น ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น และไม่มีสิ่งใดที่จะทดแทนพระคุณได้ จึงขอทุ่มเทชีวิต จิตใจ เพื่อรับใช้พระองค์โดยประกาศความจริงของพระเยซูคริสต์ให้ทุกคนได้รู้และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้าต่อไป

ปัจจุบันอาจมีบางคนยังเย้ยหยันว่า พระเยซูเป็นใคร ทำไมต้องยอมเป็นผู้รับใช้ ทำไมไม่ทำงานอย่างที่คนในสังคมเขาทำ ทำไมต้องเชื่อ (หรือบางคนอาจบอกว่างมงาย) ทำไมอะไร ๆ ก็พูดถึงแต่พระเจ้า  แน่นอนผมไม่อาจมีคำตอบที่สมบูรณ์พร้อม แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ ถ้าไม่ใช่เพราะพระเยซูชาวนาซาเร็ธที่ช่วยผมไว้ คงไม่มีโอกาสอย่างในวันนี้แน่นอน 

ดังนั้นขอพูดอย่างที่ฟิลิปตอบนาธานาเอลว่า  “มาดูเถิด” (Come and see)

 

เชิญมาดูสิครับ แล้วคุณจะเห็นว่าพระเยซูคือใคร !

คุณจะพบสิ่งดีจากนาซาเร็ธ และสิ่งดีนั้นจะเกิดในชีวิตคุณได้