28 พฤษภาคม 2564

The Upper room: ห้องชั้นบน ที่นัดพบคนของพระเจ้า โดย บัณฑิต ดาแว่น

 


คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

The Upper room: ห้องชั้นบน

ที่นัดพบคนของพระเจ้า

โดย บัณฑิต ดาแว่น

ห้องชั้นบน ในเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีก่อนเป็นสถานที่สำคัญที่เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตามแผนการของพระเจ้า ซึ่งเป็นพรและการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก  ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมีโอกาสได้มาตามรอยพระคัมภีร์ครั้งนี้ (ค.ศ. 2019) ได้มายืนอยู่ในห้องที่ พระเยซูคริสต์กับเหล่าสาวกมารับประทานอาหารมื้อสุดท้ายที่เรียกว่า “ปัสกา” เพื่อระลึกถึงพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลให้ออกมาจากการเป็นทาสของอียิปต์ ซึ่งบรรพบุรุษของอิสราเอลที่เรียกว่าคน “ฮีบรู” ถูกดขี่ข่มแหงนานถึง 430 ปี 

อาหารมื้อสุดท้าย  หมายถึง อาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์ได้รับประทานกับสาวกในคืนวันพฤหัสบดีก่อนที่จะถูกจับ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา  ในคืนวันนั้นพระเยซูใช้เหตุการณ์วันปัสกาให้กลายเป็นวันแห่งการระลึกถึงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของความบาปโดยการยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์นั้นได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไท  พระคัมภีร์บันทึกว่า

ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก (มัทธิว 26-26-28)

นักวิชาการพระคัมภีร์สันนิฐานว่า ห้องชั้นบนนี้น่าจะเป็นบ้านของแม่มาระโก หนึ่งในผู้หญิงที่ติดตามพระเยซู  มาระโกลูกชายของเธอเด็กหนุ่มที่ติดตามเปโตรลูกศิษย์ของพระเยซูและต่อมาเขาเป็นผู้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูซึ่งเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม  ทำให้เราพบว่าอิทธิพลแห่งความเชื่อที่มาจากคุณแม่นั้นทำให้ชีวิตของมาระโกได้รับและทำสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อมวลมนุษยชาติไปชั่วกาลนาน

นักวิชาการอีกกลุ่มยังกล่าวว่า ห้องชั้นบนแห่งนี้ยังเป็นสถานที่นัดพบกันของกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า “เอสซีน” (Essene) เรื่องราวของเอสซีนนั้นผมได้เขียนถึงพวกเขาในฐานะเป็นผู้คัดลอกพระคัมภีร์โบราณในชุมชนคุมราน (Qumran)ไว้บ้างแล้ว  พวกเอสซีนก็เป็นกลุ่มคนที่แสวงหาพระเจ้า อุทิศตนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์อันเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พวกเขาเกิดขึ้นและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมสมัยกับพระเยซู ฟาริสี สะดูสี และธรรมาจารย์ 

หากจินตนาการไปในเวลานั้นอาจเป็นไปได้ที่แม่ของมาระโกเป็นเจ้าของห้องชั้นบนนี้และเปิดไว้เพื่อให้บริการกลุ่มคนที่จะใช้จัดกิจกรรมทางความเชื่อ ส่วนจะให้เช่าหรือใช้ฟรีนั้นไม่ทราบได้ เพราะหากเชื่อมโยงพระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพวกเอสซีน  และทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เติบโตมาพร้อม ๆ กัน โดยยอห์นผู้ให้บัพติศมาเกิดก่อนพระเยซูประมาณ 6 เดือน (ลูกา 1.24-27) ยอห์นเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซูด้วย และยังยืนยันว่าพระเยซูเป็นลูกแกะของพระเจ้าที่มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปตามคำสัญญาและเป็นไปตามแผนการณ์ของพระเจ้า(ยอห์น 1.29-37) นั่นหมายความว่าลูกแกะที่เคยฆ่าในวันปัสกาเพื่อระลึกถึงการถูกนำออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์นั้นเป็นภาพที่เล็งถึงพระเยซูที่จะมาตายเพื่อไถ่บาป

นอกจากพระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมาแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงไปถึงเปโตรผู้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูและมาระโกเป็นลูกศิษย์ของเปโตร  ดังนั้น การมาใช้ห้องชั้นบนจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  พระคัมภีร์ยังช่วยให้เราได้เห็นว่าพระเยซูและลูกศิษย์น่าจะมาใช้สถานที่แห่งนี้หลายครั้ง 

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ทรงสั่งสาวกให้ไปรอที่กรุงเยรูซาเล็ม กำชับให้รอที่นั่นจนกว่าจะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่พวกเขา ซึ่ง ณ เวลานั้นพวกสาวกของพระเยซูยังไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะยังจมอยู่กับความสับสนวุ่นวายจากการตายของพระอาจารย์ การงุนงงสงสัยที่เห็นพระเยซูมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ ว่าทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกเขายังไม่เชื่อ ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พระเยซูเคยตรัสสอนไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมา ว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกทนทุกข์ทรมานจนกระทั่งความตาย และในวันที่สามจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นคำพยากรณ์นับพันปีที่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่ามันจะเกิดขึ้นและสำเร็จในตัวของพระองค์ (ลูกา 24.36-49, กิจการ 1.4-5)

บรรดาสาวกยังยึดมั่นในคำสั่งของพระเยซู พวกเขาไปรวมตัวกันที่ห้องชั้นบนในเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บันทึกว่ามีประมาณ 120 คน (กิจการ 1.12-15) พวกเขาใช้เวลาอธิษฐาน นมัสการพระเจ้า โดยไม่ได้ออกไปที่ไหน นับตั้งแต่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เพราะยังมีการคุกคามจากทางผู้นำศาสนายิวและทหารโรมในเวลานั้นที่หาวิธีกำจัดคนกำจัดข่าวเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นการจ้างให้คนเล่าข่าวลือว่าสาวกของพระเยซูขโมยศพพระเยซูไปซ่อนและอ้างว่าเป็นขึ้น การขมขู่ไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องการถูกประหารอย่างไร้ความผิดและการเป็นขึ้นตามคำทำนาย  การตามจับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู เป็นต้น  ประกอบกับความกลัว ความสงสัยของพวกสาวกเอง การมารวมตัวกันในสถานที่ที่ปลอดภัยน่าจะดีกว่าแน่นอน  ทั้งนี้ เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  แม้ในขณะที่มนุษย์ยังไม่พร้อม ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ด้วยความรักความเมตตา พระองค์ยังทรงคอยช่วยเหลือตลอดมา (โรม 5.6-11)

เรื่องราวของห้องชั้นบน เกี่ยวข้องประวัติศาสตร์คริสตจักร

กิจการบทที่ 2 บันทึกถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกก็คือ...เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.1-4)

วันเพ็นเทคอสต์ คือ วันที่ห้าสิบ นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในเช้าวันอาทิตย์ (ปี ค.ศ. 2021 คือ 4 เมษายน) จากนั้นทรงสำแดงกายใหม่ให้สาวกได้เห็นหลายครั้งเป็นเวลาสี่สิบวันจากนั้นจึงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และถัดมาอีกสิบวัน ที่เรียกว่า “เพ็นเทคอสต์” ภาษากรีกหมายความว่า “ห้าสิบ” (ปี ค.ศ. 2021 คือ 23 พฤษภาคม) ดั้งเดิมเป็นเทศกาลของชาวยิว อยู่หลังจากของเทศกาลปัสกาและต่อด้วยการฉลองเทศกาลสัปดาห์ซึ่งเป็นการฉลองการเก็บเกี่ยว(เลวีนิติ 23.15)  พระเจ้าใช้เทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวนี้เพื่อทำการใหญ่ของพระองค์ผ่านทางผู้ติดตามพระเยซูเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือต่อไปนี้จะเป็นการฉลองถึงการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงประทานเป็นลมหายใจให้แก่มนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้างครั้งแรก(ปฐมกาล 2.7) เป็นพระวิญญาณที่จะสถิตอยู่กับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคนนั้นเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่แล้วโดยทางพระวิญญาณ (ยอห์น  1.12, 3.5-8, 2โครินธ์ 5.17, เอเฟซัส 1.13-14)

จากเหตุการณ์ที่ห้องชั้นบนท่ามกลางเหล่าผู้ติดตามพระเยซูประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนในวันนั้นที่พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญา ทำให้พวกเขากลายเป็นคนใหม่ ที่มีความมั่นใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ  พวกเขาจึงไม่กลัว ไม่หยุดการเป่าประกาศถึงเรื่องราวแห่งความจริงนี้ 

เปโตร เป็นหนี่งในคนเหล่านั้นที่ประกาศเสียงดังต่อผู้คนจำนวนมากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเมสสิยาห์ตามคำพยากรณ์ไว้ พระองค์ถูกจับ ถูกประหารอย่างไร้ความผิด ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และในที่สุดทรงเป็นขึ้นมา ทรงปรากฏให้หลายคนได้เห็น ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังคนของพระองค์  ใครก็ตามที่ยอมรับว่าตนเองได้ทำผิดบาปต่อพระเจ้าและยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เขาจะรับการช่วยให้รอดพ้นจากโทษของบาปนั้นโดยความเชื่อในพระเยซู 

นายแพทย์ลูกาบันทึกประวัติศาสตร์นี้ไว้ในพระธรรมกิจการบทที่สองว่า เมื่อผู้คนได้ยินถ้อยคำของเปโตร พวกเขาก็ยอมรับความจริงนั้น มีคนยอมติดตามพระเยซูคริสต์จำนวน 3,000 คนในวันเดียว (กิจการ 2.41) ต่อมามีคนจำนวนมากเข้ามาร่วมและติดตามพระเยซูทุกวัน ๆ จนเกิดการขยายออกไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ คาดว่ามีประชากรผู้ติดตามพระเยซูสองพันกว่าล้านคนทั่วโลก

ข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ ณ บริเวณห้องชั้นบน และกระจายออกไปทั่วเยรูซาเล็มและทั่วโลกในเวลานี้นั้น เกิดจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูและเกิดความเข้าใจถึงความจริงจนกระทั่งยอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งชีวิตของตนเอง  พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือพวกเขาเวลานั้น มีเปลวไฟและเกิดลมพัดแรงพร้อมเสียงจากฟ้า

            ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.2-4)

จากนั้นพวกเขาเริ่มต้นพูดภาษาอื่น ๆ ซึ่งผมนับได้อย่างน้อยสิบสี่ภาษาตามกลุ่มชนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาร่วมในเทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวขณะนั้น พวกเขาประหลาดใจที่ได้ยินสาวกของพระเยซูซึ่งปกติพูดได้แค่ภาษายิว(อาราเมค และฮีบรู) แต่ขณะนั้นพวกเขาต่างได้ยินเป็นภาษาของตนเองที่มาจากแดนไกลนั่นเอง แม้มีบางคนคิดว่าพวกเขาเมาเหล้า แต่เมื่อฟังคำอธิบายของเปโตรแล้วต่างรู้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่มาจากพระเจ้า 

ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันเพนเทคอสต์เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของพระเจ้าด้วยภาษาที่หลากหลายเพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จักพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  จากเหตการณ์หลายพันปีก่อนครั้งเมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้าโดยการสร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของตนเองที่มีวิทยาการการก่อสร้างที่ล้ำสมัยและคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าอีกต่อไป เพราะต่อไปนี้หากพวกเขาต้องการอะไรก็สร้างขึ้นมาเองได้  เวลานั้นคนทั้งโลกพูดภาษาเดียวกัน แต่สุดท้ายพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะมีภาษาใหม่ ๆ เกิดขึ้น หอคอยนั้นจึงถูกทิ้งร้างสร้างไม่สำเร็จและพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปตามภาษาของตนเองและเรียกหอนั้นว่า “บาเบล” แปลว่า “วุ่นวาย” (ปฐมกาล 11) นั่นหมายความว่าเมื่อคนเราพูดคนละภาษาย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่อาจจะร่วมมือกันได้ (ทุกวันนี้แม้คุยภาษาเดียวกันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะคุยคนละเรื่องเดียวกัน คนละความหมาย ใช่หรือไม่)

เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จลงมาทำให้เกิดการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างอัศจรรย์  พระองค์สามารถช่วยให้คนที่แม้จะต่างภาษาแต่คุยกันรู้เรื่องได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเข้าใจและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า  จึงทำให้เห็นว่าการนำคนมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์เป็นเพียงผู้รับใช้ เป็นช่องทางที่พระเจ้าใช้ให้สื่อสารพระวจนะนั้นออกไป ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น

เมื่อมีคนเชื่อพระเยซูมากขึ้น พวกเขามารวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า ศึกษาคำสอนแห่งพระวจนะ ร่วมสามัคคีธรรม อธิษฐานและช่วยเหลือกันและกัน ต่อเมื่อ พวกเขาได้ชื่อว่า “คริสเตียน” (กิจการ 11.26) คือมีคนเรียกว่าพวกเขาว่า ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ นั่นเอง  ต่อมามีการจัดตั้ง จัดระบบ จัดองค์กร จนเรียกว่า “คริสตจักร” ของพระเยซูคริสต์กระจายไปทั่วโลก

ณ ห้องชั้นบน ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 33 ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของ “คริสตจักร” ที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างเป็นทางการ  ตามที่ทรงแจ้งแก่สาวกก่อนนั้นว่าจะทรงตั้งคริสตจักรขึ้นบนศิลา (มัทธิว 16.16-18)

ผมเดินทางขึ้นไปยังห้องชั้นบนเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2019 ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางท่ามกลางแดดแรงและต้องขึ้นไปตามความสูงชันของภูเขาศิโยน แม้จะเป็นในเมืองแล้ว แต่เหมือนเดินขึ้นบันไดตึกสูงมากกว่าสิบชั้น ทำเอาขาผมปวดระบมไปหมด แต่เกินคุ้ม เกินคำบรรยายเมื่อได้เข้าไปในห้องที่พระเยซูประทับที่นั่น ทรงพูดคุยและกินอาหารกับบรรดาสาวก และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่นี่ หลังจากนั่งพักที่บันไดในห้องชั้นบนสักพัก ผมเดินมาสองสามก้าวใช้มือคลำที่ต้นเสาตรงกลางห้องด้วยใจขอบพระคุณ  หันมาฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ยกระดับขึ้นมีสัญญาลักษณ์เป็นต้นมะกอกเทศสีทองตั้งไว้ ซึ่งมัคคุเทศก์ได้อธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สภาพห้องยังรักษาไว้ตามแบบโบราณที่สร้างด้วยก้อนหินเรียงกันขึ้นไป แม้จะเป็นสถานที่ห้องชั้นบน แต่อากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้รู้สึกเย็นสบาย เกิดความสุขเข้าไปในหัวใจของผมทีเดียว แล้วพวกเราได้ร่วมใจกันอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นเดินต่อถัดไปยังสถานที่เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุศพของกษัตริย์ดาวิด 

เรื่องราวห้องชั้นบน ที่นัดพบสำหรับคนของพระเจ้า ในปัจจุบันจะไม่มีวันที่จะจบสิ้นและจำกัดเฉพาะที่เยรูซาเล็มเท่านั้น เพราะเราสามารถเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้าได้ในทุกที่ทุกเวลา ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตกับผู้เชื่อเสมอ และทรงให้การนมัสการไม่กำจัดอยู่ที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป แต่ให้นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าสืบไป ตามที่พระเยซูกล่าวว่า

แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยอห์น 4.23-24)




24 พฤษภาคม 2564

คุมราน (Qumran) สถานที่คัดลอกพระคัมภีร์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

คุมราน (Qumran) สถานที่คัดลอกพระคัมภีร์

โดย บัณฑิต ดาแว่น

การเดินทางตามรอยพระคัมภีร์ ที่ประเทศอิสราเอล จุดสำคัญที่คณะของเรามาเยี่ยมชมอีกแห่งคือ คุมราน (Qumran)  เป็นชุมชนโบราณท่ามกลางหุบเขาที่มีถ้ำเล็กถ้ำน้อย ซึ่งในอดีตคนเลี้ยงแกะมักนำฝูงแกะขึ้นไปหลบพายุ  และเป็นที่ซึ่งชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบคัมภีร์โบราณที่ต่อมาเรียกกันว่า ม้วนหนังสือทะเลตาย  (Dead Sea Scrolls) ในถ้ำเก่าแก่อย่างอัศจรรย์

รถบัสคันใหญ่นำพวกเราเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวขึ้นลงไปตามไหล่เขา  สองข้างทางยังเต็มไปด้วยภูเขาที่เห็นเป็นสีน้ำตาลแดงอันเนื่องจากไม่มีต้นไม้สีเขียวให้เห็นมากนัก ประกอบกับแสงแดดที่แผดเผาเป็นเปลวขึ้นมา แต่ว่ายังมีผู้คนทำสวนองุ่น มะกอกเทศ โดยนำหินไปกองไว้เป็นแนวสวนของตนเอง บางช่วงเห็นฝูงแพะแกะเดินตากแดดท่ามกลางหญ้าที่แห้งกรอบ มีต้นหนามเป็นหย่อมๆ  เห็นคนเลี้ยงแกะตัวคล้ำๆ เดินตะคุ้ม ๆ อยู่บ้าง  ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ชาวเบดูอิน ซึ่งแม้พวกเขาเป็นชาวเร่ร่อนที่แทบไม่มีชื่อในทะเบียนของโลกด้วยซ้ำ แต่เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของการมาบังเกิดของพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของทั้งโลก กล่าวคือ คนเลี้ยงแกะที่ได้รับข่าวจากทูตสวรรค์ถึงการมาบังเกิดของพระเยซูผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งนายแพทย์ลูกาบันทึกไว้ (ลูกา 2.1-20) น่าจะเป็นชนเผ่าเบดูอินที่ว่านี้  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าใส่ใจทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนสูงศักดิ์ หรือสามัญ และที่น่าทึ่งคือ ทรงใช้คนเรร่อน คนไม่มีชื่อ(เสียง) ให้กลายเป็นกระบอกเสียงแห่งข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงให้โอกาส ทรงให้ความไว้วางใจแก่คนธรรมดาสามัญอย่างเรา มีส่วนในเรื่องที่สำคัญของพระองค์ แล้วอย่างนี้เรายังจะทำให้พระองค์ผิดหวังได้หรือ 

นั่งรถมาพอสมควรมีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากเส้นทางที่คดเคี้ยว แต่ยังถือว่าเพลิดเพลินกับประสบการณ์ข้างทางมากกว่า บางช่วงได้ถ่ายวิดีโอเก็บไว้บ้าง ความสวยงามของสวนอินทผลัมที่เรียงรายตามสองข้างทางดูแล้วทำให้เกิดจิตนาการ  มัคคุเทศก์แนะนำพวกเราด้วยภาคภูมิใจว่าผลผลิตอินทผลัมที่อิสราเอลนั้นมีคุณภาพสูง ให้รสชาติที่หวานฉ่ำและมีคุณค่าทางโภชนการสูง เพราะพื้นที่ อากาศ และการดูแลพิเศษ ว่าแล้วก็มีการส่งต่อผลอินทผลัมมาให้ชิม ซึ่งก็สมคำบรรยายจริงๆ หวานในลิ้น ช่วยให้สดชื่น รู้สึกกระชุ่มกระชวยจากอาการสลืมสลือที่นั่งรถมานานได้ดีทีเดียว ที่สำคัญใกล้มื้อเที่ยงแล้วก็ยังช่วยให้รู้สึกมีอะไรให้รองท้องไปได้ด้วย  ต่อมาเมื่อกลับเมืองไทยแล้ว ผมเคยซื้ออินทผลัมจากตลาดมากิน รู้สึกว่าไม่เหมือนของแท้จากอิสราเอล (คงเกิดจากความรู้สึกในบรรยากาศด้วยนะ) 

หลังจากทยอยลงจากรถ แต่ละคนก็ยังมองหาห้องน้ำเป็นลำดับแรก จากนั้นเดินไปตามพื้นดินที่แห้งผาก เป็นลักษณะเนินเขา มีการกัดเซาะเป็นร่อง ๆ และทางเดินเท้าคดเคี้ยวไปตามแนวเนินเขา  สภาพพื้นที่คล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ หรือ แกรนแคนย่อนไทยที่เชียงใหม่  แสงแดดที่สว่างจ้า และลมที่พัดค่อนข้างแรง ทำให้รู้สึกว่าเย็นๆ ผมยังต้องใส่เสื้อสูทแม้เดินท่ามกลางแสงแดด ไม่ได้ผิดปกตินะครับ เพราะพวกเราคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องสวมแจ็คเก็ต หรือสูท เพราะอากาศจะเย็นจากลมที่พัดแรง และที่อิสราเอลอากาศช่วงกลางวันกับกลางคืนจะเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือกลางวันร้อนจัดส่วนกลางคืนหนาวเย็น และอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา 

มัคคุเทศก์นำเราเข้าไปในอาราม ที่จำลองที่พักอาศัยของคนในชุมชนโบราณที่เรียกว่า “เอสซีน”  (Essene) เป็นกลุ่มคนที่อุทิศตนเอง เพื่อคัดลอกคำสอนศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษชาวยิว ซึ่งเชื่อกันว่านับตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงสมัยของพระเยซูที่พวกเขาต้องนั่งคัดลอกและรักษาม้วนหนังสือเหล่านั้นไว้สุดชีวิต  พวกเขาเปรียบเสมือนนักบวชที่ต้องหลีกเลี่ยงจากมลทินทั้งปวง เขาให้เกียรติ ยำเกรงถ้อยคำของพระเจ้าที่สำแดงแก่บรรพชนอย่างเคร่งครัด  ในพื้นที่คุมราน จะมีแอ่งน้ำหลายแห่งที่ใช้อาบน้ำชำระตัวให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาจะเขียนถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า จะต้องชำระตัวก่อนทุกครั้ง  การคัดลอกทุกบท ทุกตัวอักษรได้รับการเอาใจใส่และเที่ยงตรงตามต้นฉบับอย่างละเอียดลออด้วยการนับจำนวนตัวอักษรให้ตรงกัน  ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงมีความเชื่อมั่นว่าถ้อยคำที่ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันนั้นมีความเที่ยงตรงสูง  ภายในยังจำลองวิถีชีวิตของชุมชนชาวเอสซีน ที่อยู่อย่างสมถะ คล้ายๆพวกฤๅษีของบ้านเรา (หมายถึงเป็นฤๅษีที่อุทิศตัวจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์ทางการเงินหรืออวดอ้างวิชาอาคม)  นักวิชาการพระคัมภีร์เชื่อว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาน่าจะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการฝึกฝนชีวิตในลักษณะของชาวเอสซีนด้วย

 

การค้นพบม้วนพระคัมภีร์ที่คุมราน มีผลอย่างไรต่อชีวิตของเราในทุกวันนี้บ้าง...

จากข้อมูลพบว่า การค้นพบม้วนหนังสือทะเลตายครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1947 ในคุมราน (Qumran) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ประมาณสามสิบสองกิโลจากทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็มด้านตะวันตกเฉียงเหนือของของทะเลตาย คนเลี้ยงสัตว์ชาวเบดูอินกำลังตามแกะซึ่งหลงทางไป ได้โยนก้อนหินไปเล่นๆ ขณะเดินไปพลางโยนไป จนกระทั่งก้อนหินตกลงไปในถ้ำตามหน้าผาริมทะเลและได้ยินเสียงแตกดัง พลั้ว !! หินไปกระทบโดนหม้อเซรามิคที่มีหนังสัตว์และม้วนกระดาษปาไปรัสอยู่ข้างใน  โดยที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรซึ่งหลังจากนั้นมีการพิสูจน์ออกมาว่าม้วนหนังสือเหล่านั้นมีอายุเกือบสองพันปี พวกเขาจึงนำม้วนจารึกไปขายให้แก่พ่อค้าในกรุงเยรูซาเล็มต่อมาพ่อค้าไปขายต่อเป็นทอดๆ  จนกระทั้งนักโปราณคดีพระคัมภีร์ต้องไปควนหาซื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ กลับมาและนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อิสราเอล ในอาคารชื่อ The Shrine of the Book ภายใต้การดูแลอย่างดี (ที่มา: https://mgronline.com/daily/detail/9480000092427)

            จากนั้นคนค้นหาครั้งใหญ่ก็ตามมาอีกเป็นสิบ ๆ ปี มีถ้ำจำนวนสิบเอ็ดถ้ำรอบๆ ทะเลตายที่มีการค้นพบหนังสือม้วนที่เป็นม้วนๆ กระจายอยู่เป็นหมื่นๆ ม้วนกำหนดอายุตั้งแต่ ศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาลจนถึงปี ค.ศ. 68 และเป็นการแสดงถึงงานเขียนที่เขียนขึ้นมาแยกกัน คาดการณ์ได้ว่ามีอยู่ประมาณ 800 ม้วน

            ม้วนหนังสือทะเลตายที่ค้นพบบริเวณชุมชนคุมรานประกอบไปด้วยการรวบรวมเอกสารของชาวยิวที่เขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมคและภาษากรีกและรวมถึงวิชาที่หลากหลายและวรรณกรรมหลายรูปแบบ รวมถึงต้นฉบับของส่วนที่กระจายไปของพระธรรมทุกเล่มในพระคัมภีร์ฮีบรูยกเว้นพระธรรมเอสเธอร์ ทั้งหมดนี้ถูกเขียนขึ้นเกือบๆ หนึ่งพันปีก่อนต้นฉบับพระคัมภีร์ใดๆ ก่อนหน้านี้ ม้วนหนังสือเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยอรรถาธิบายของพระคัมภีร์ฉบับแรกสุดที่มีอยู่สำหรับพระธรรมฮาบากุกและงานเขียนอื่นๆ ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีงานเขียนที่เกี่ยวข้องกับการช่วงเวลาของชาวยิว  เป็นไปได้ว่าพวกเขานำไปเก็บหรือซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อให้รอดพ้นจากการทำลายของศัตรูในเวลานั้น และพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นั้นให้เป็นที่เก็บรักษาถ้อยคำของพระองค์มาถึงเราในปัจจุบันนี้อย่างอัศจรรย์ ตามพระสัญญาที่ว่า แม้ฟ้าและแผ่นดินโลกจะสูญสลายไป แต่ถ้อยคำของพระเจ้าแม้ขีดหนึ่ง หรือจุด ๆหนึ่งจะไม่สูญหายไปเลย (มัทธิว 5.18, 24.35)

               เรื่องราวของสิ่งที่อยู่ในม้วนหนังสือทะเลตายนั้นยืนยันความมีอยู่จริงของพระคัมภีร์ที่คนยิวและคริสเตียนเชื่อถือกันนั้นว่าเป็นเรื่องจริงที่ได้รับการดลจากจากพระเจ้าให้เขียนขึ้นมา เพราะหนังสือม้วนทะเลตายนั้นเป็นการคัดลอกพระธรรมต่าง ๆ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมจาก 250 150 ปีก่อนคริสตศักราช ม้วนหนังสือจำนวนมากเป็นสำเนาของพระคัมภีร์ของคนฮีบรูในพันธสัญญาเดิม การค้นพบม้วนหนังสือทะเลตายเป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์และม้วนหนังสือเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ดีมากและถูกซ่อนไว้เป็นเวลามากกว่า 2,000 ปี เป็นการพิสูจน์วิธีที่พระเจ้ารักษาไว้ซึ่งพระคำของพระองค์มาเป็นช่วงเวลาหลายศตวรรษ ปกป้องมันจากการศูนย์หายและควบคุมไว้ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่สำคัญ

(ที่มา: https://www.gotquestions.org/Thai/Thai-dead-sea-scrolls.html )

ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์ ทั้งในรูปแบบหนังสือเล่ม หรือผ่านทางสื่ออิเลกทรอนิกส์  จึงย้ำเตือนใจเสมอว่าถ้อยคำที่กำลังอ่านนั้นเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้าที่ตรัสไว้แก่คนของพระองค์หลายพันปีที่ผ่านมา และยังคงมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งประวัติศาสตร์ โบราณคดี รวมทั้งประสบการณ์ของใครๆ ต่อใครหลายๆ คนที่พบความจริงนี้ด้วยตนเอง รวมทั้งผมเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากถ้อยคำแห่งพระวจนะนี้ด้วยตนเอง  ตามพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่า ...

พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์   ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  พระคัมภีร์   ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และเป็นประโยชน์ในการสอน   การตักเตือนว่ากล่าว   การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี   และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง (II Timothy 3:15-17)





12 พฤษภาคม 2564

Dead Sea : ทะเลที่ไม่มีวันจืด โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Dead Sea  : ทะเลที่ไม่มีวันจืด

โดย บัณฑิต  ดาแว่น

การเดินทางไปตามรอยพระคัมภีร์ที่ประเทศอิสราเอล  แผนการเดินทางส่วนหนึ่งนั้นจะขาดเรื่องราวทะเลตายไปไม่ได้ 

        Dead Sea  “ทะเลตาย” บ้างก็เรียกว่า  “ทะเลมรณะ”  หรือ “ทะเลเกลือ”  เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นสูง จนชนิดที่ว่าเราสามารถลงไปนอนลอยตัวและอ่านหนังสือได้ โดยไม่จมลงมิดตัว  ส่วนจะมีวิธีการและประสบการณ์ที่ลงไปด้วยตัวเองของผมอย่างไรบ้าง ติดตามกันต่อไปนะครับ

คณะของเราร้อยกว่าชีวิต ยังพักอยู่ที่โรงแรมในเมืองเบธเลเฮมที่ชื่อว่า Manger Square Hotel เป็นโรงแรมน่าจะระดับสามถึงสี่ดาว  อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวทั้งห้างสรรพสินค้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง โบสถ์ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระเยซู  สถานที่คนเลี้ยงแกะได้รับการแจ้งข่าวจากทูตสวรรค์ให้ไปดูพระผู้ช่วยให้รอดมาประสูติ เป็นต้น ชื่อโรงแรม Manger คือ รางหญ้า เขาคงจะตั้งชื่อตามเหตุการณ์ที่มารีย์และโยเซฟใช้เป็นที่รองรับพระกุมารเยซูในวันที่ประสูติ ตามการบันทึกของพระคัมภีร์ว่า โยเซฟและมารีย์ต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธซึ่งอยู่ทางเหนือของอิสราเอล ต้องเดินทางลงมายังบ้านเกิดเมืองนอนตามคำสั่งของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส แห่งโรม ที่ออกคำสั่งให้มีการจดทะเบียนสำมโนครัวทั่งทั้งแผ่นดิน เพื่อสำรวจประชากรและเก็บภาษี (ลูกา 2.1-7)  ผู้คนจำนวนมากต้องเดินทางเพราะคำสั่งนี้ ขณะที่มารีย์ท้องแก่แล้ว แต่ต้องเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระยะทางจากนาซาเร็ธถึงเบเลเฮมประมาณ 160 กิโลเมตร อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์สำหรับคนปกติที่เดินเท้าและอาศัยสัตว์เป็นพาหนะ ส่วนคนท้องแก่จะยากลำบากแค่ไหนต้องจินตนาการดูนะครับ ประกอบกับ สภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาโขดหิน หนทางขึ้นลง คดเคี้ยวเลี้ยวลด มีทางสูงชัน และทางเปลี่ยวอันตรายรอบข้างทั้งจากสัตว์ป่าและโจรผู้ร้าย สุดท้ายมาถึงเบธเลเฮม แต่หาที่พักไม่ได้ จึงต้องอาศัยบริเวณคอกสัตว์ ซึ่งอาจเป็นโพรงถ้ำที่ปรับมาใช้ประโยชน์ของคนท้องถิ่น 

พูดถึงโรงแรมที่นี่ ต้องเล่าเรื่องอาหารการกินสักนิด  ทุกเช้าจะจัดอาหารแบบฟุบเฟ่ หลากหลายชนิด แน่นอนเป็นอาหารสไตน์ตะวันออกกลาง อิสราเอล และ อาหรับ ที่เต็มไปด้วย นม เนย ซีส เนื้อวัว เนื้อแพะ   ไก่ และปลาสารพัด ที่ขาดไม่ได้คือผัก ผลไม้จากท้องถิ่นเรียงรายกันตระการตา  ผมในฐานะนักชิม นักกิน(แบบไม่เลือกหน้า แต่ว่าหุ่นยังเฟิร์มเสมอ.. ฮะ..ฮะ..ฮ้า!!) ไม่พลาดที่ลองชิมนั่นชิมนี่ทุกมื้อกันเลย ผมชอบประเภทผัก และพวกเนย ซีส เป็นพิเศษ ส่วนนมแพะนั้นกลิ่นมันจะแรงนิดๆ แต่เขาก็บอกว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับนมของแม่เชียวนะ แต่เอาละโฆษณาไปผมก็ไม่ชินกับกลิ่นอยู่ดี ซีสบางอย่างก็มีกลิ่นและรสชาติแปลกลิ้นเหมือนกัน ส่วนที่ผมมักจะเลี่ยงคือมะกอกเทศดองเท่านั้น สรุปคืออร่อยทุกอย่างครับ

หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินทาง  ต้องทำเวลากันหน่อยผมเดินขึ้นลงบันไดของโรงแรมไปห้องพักชั้นหกทุกครั้ง ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย เพราะหากรอขึ้นลิฟท์ไม่ทันแน่ เฉพาะคณะของเราก็ร้อยกว่าท่านแล้ว  วันนี้เป้าหมายใหญ่คือเดินทางไปที่ ทะเลเดดซี (Dead sea) ที่ขึ้นชื่อว่า เค็มที่สุดในโลก  ต้องเตรียมตัวและฟังข้อมูลคำแนะนำจากผู้จัดการทัวร์ ว่าไม่ควรตัดเล็บ โกนหนวด หรือกระทำการใดที่อาจจะเป็นเหตุให้เกิดรอยแผล ขีดข่วนตามร่างกาย เพราะหากลงไปในน้ำทะเลตายที่เค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไปถึงสิบเท่าแล้ว ไม่อยากจินตนาการเลยว่าจะแสบถึงทรวงขนาดไหน  เราต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเวลาลงเล่นน้ำด้วย  จากนั้นพวกเราก็ทยอยขึ้นรถบัสและเตรียมตัวเวียนหัวไปกับเส้นทางอันน่าตื่นเต้นแล้วละครับ

เส้นทางที่ไปยังตระการตา น่าสนใจทุกเรื่องราวในมุมมองของคนที่ไปสัมผัสครั้งแรก ทั้งไต่ไปบนเนินเขา สันเขา ลงหุบเหวลึกและขึ้นไปอย่างสูงชัน  พลขับมืออาชีพยังนำพวกเราผ่านเส้นทางทะเลทรายยูเดีย ที่ตลอดสองข้างทางเป็นภูเขาหินแห้งแล้ง สลับกับสวนมะกอกเทศ องุ่น และพืชพันธ์ท้องถิ่น แม้รถจะเคลื่อนไปแต่ยังมองเห็นแพะ แกะ ที่ปล่อยเดินตามเนินเขากินหญ้าแห้งตามสภาพ และมองเห็นคนตัวคล้ำๆ เดินตามฝูงสัตว์ของเขา ท่ามกลางแดดแผดเผา  มัคคุเทศก์อธิบายให้ฟังว่า นั่นคือสภาพชีวิตของชนเผ่าเร่ร่อนที่ยังดำรงชีพด้วยวิถีดั้งเดิม เขาเรียกว่า “ชาวเบดูอิน” ซึ่งทุกวันนี้อาจจะมีจำนวนน้อยลงไป แต่ยังมีให้เห็น  น่าจะเป็นภาพตัวอย่างที่ดีเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ถึงวิถีชีวิตของคนสมัยเมื่อสามพันปีก่อนได้ว่าเรื่องราวแบบนี้มีอยู่จริง

เส้นทางยังเลียบไปตามแม่น้ำจอร์แดนที่เป็นสายน้ำที่เชื่อมมาจากทะเลกาลิลีอันเป็นทะเลสาบน้ำจืดไหลลงมาทางแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลตาย ซึ่งน้ำจืดกลายเป็นน้ำเค็มเข้มข้น  เราได้เพียงชำเลืองมองแม่น้ำจอร์แดนที่คดเคี้ยวไม่เพียงเส้นทางรถ บริเวณ Qasr EL Yahud ริมแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันตก เชื่อกันว่าพระเยซูมารับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่นี่เมื่อสองพันปีก่อน  มัคคุเทศก์ปลอบใจเราว่า ไม่ต้องลงไปดูก็ได้นะครับ เพราะน้ำที่แม่น้ำจอร์แดนคงไม่แตกต่างจากน้ำที่อื่นนักหรอก แถมอากาศยังจะร้อนระอุอีกด้วย หากต้องลงไปก็เดินผ่าดงหญ้าไปอีก และไม่รู้ว่าจุดไหนเป็นจุดไหนที่เกิดเหตุการณ์ใดบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมดแล้ว เป็นอันว่าฟังและชำเลืองดูก็พอ 

เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ ๆ ทะเลตายแล้วพวกเราชาวคณะยังได้ไปเยี่ยมชม ถ้ำคุมราน (Qumran)เป็นบริเวณที่เจ้าสำนักสมัยนั้นสั่งสอนลูกศิษย์ของตน และเหตุการณ์ณ์การเขียน การคัดลอกพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้นที่บริเวณนี้ เป็นสถานที่คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินพบม้วนหนังสือโบราณโดยบังเอิญและกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์ที่เราเชื่อกันทุกวันนี้เป็นความจริงอย่างอัศจรรย์เพราะข้อความ เนื้อหา ตรงกับสำเนาโบราณที่พบ เหตุการณ์ค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1947 นี่เอง  เอาไว้จะเล่ารายละเอียดของเรื่องนี้อีกทีนะครับ

เมื่อรถทัวร์จอด เราต่างเปลี่ยนชุดเป็นขาสั้นเสื้อยืด รองเท้าแตะ สะพายย่ามใส่ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสระผมเพื่อเตรียมตัวลงทะเลตายแล้วครับ  มาถึงแล้ว ทะเลตาย ทะเลมรณะ ทะเลเกลือ ทะเลเค็มที่ได้ยินมานาน ความฝันเป็นจริงในวันนี้ จะลงแช่น้ำ จะชิม จะใช้โคลนทาตัว และจะลอยตัวในทะเลนี้อีกไม่กี่อึดใจแล้ว

ทะเลตาย - Dead Sea เป็นทะเลที่ต่ำที่สุดของโลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลทั่วไปกว่า 400 เมตร และน้ำในทะเลนี้เค็มกว่าทะเลปกติถึง 10 เท่า เพราะมีปริมาณ แร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่า เช่น ไอโอดีน  10  เท่า  แมกนีเซียม 15 เท่า โบรมีน 20 เท่า ทำให้เกิดความหนาแน่นมากจนท่านสามารถลอยตัวได้โดยไม่จมแม้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น จากข้อมูลพบว่า  ทะเลตายอยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียทางด้านเหนือ และที่ราบสูงทรานส์จอร์แดนทางตะวันออก  แม่น้ำจอร์แดนไหลจากทางเหนือมายังทะเลตายแห่งนี้ ซึ่งทะเลตายมีความยาว 80 กิโลเมตร กว้าง 18 กิโลเมตร พื้นที่ 1,020 ตารางกิโลเมตร โดยมีแหลมอัลลิซาน (แปลว่าลิ้น) แบ่งทะเลสาบด้านตะวันออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือใหญ่กว่า แอ่งตอนใต้นั้นเล็กและตื้น(ลึกประมาณ 3 เมตร) ในสมัยที่เขียนพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 พื้นที่บริเวณตอนเหนือเท่านั้นที่มีผู้อาศัย และระดับน้ำต่ำกว่าในปัจจุบัน 35 เมตร

จากเรื่องราวกล่าวขานกันว่า  บริเวณทะเลตายแห่งนี้ อาจเป็นบริเวณของเมืองโสโดมและโกโมราห์ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ถูกถล่มลงด้วยไฟกำมะถัน เพราะพระเจ้าเห็นความชั่วช้าของพวกเขาที่ใช้ชีวิตอย่างโสครกโสมมในทางศีลธรรมอย่างหนัก  ชายสมสู่กับชาย หญิงสมสู่กับหญิงอย่างโจ่งแจ้ง  พระเจ้าสำแดงเรื่องนี้แก่อับราฮัม ชายผู้ตั้งใจเชื่อฟังพระเจ้าและเป็นต้นตระกูลแห่งความเชื่อมาจนปัจจุบันนี้ บันทึกเรื่องราวในปฐมกาลบทที่ 18 และ19 ขณะที่อับราฮัมอาศัยอยู่ในทุ่งเลี้ยงสัตว์ของเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าต้องการให้อับราฮัมรู้เรื่องการทำลายเมืองโสโดมโกโมราห์ก่อนที่จะทำลายเสีย โดยเสด็จมากับทูตสวรรค์เพื่อยืนยันพระสัญญาต่ออับราฮัมว่าเขาจะมีทายาทสืบสกุลแน่นอน และเมื่อกำลังจะไปทางเมืองโสโดมและโกโมราห์ก็แจ้งเรื่องนี้แก่อับราฮัม (Genesis 18:16-19)

พระคัมภีร์บันเหตุการณ์ที่พระเจ้าพูดกับอับราฮัมต่อไปว่า... พระเจ้าได้ตรัสว่า   “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน   และบาปของเขาก็หนักมาก1เราจะลงไปดูว่า พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่   ถ้าไม่เราก็จะรู้”   - Genesis 18:20-21

จากนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าตรงไปยังเมืองโสโดมเพื่อทำลายทิ้ง  อับราฮัมได้ทูลอ้อนวอนพระเจ้าที่ยังสนทนากับเขาอยู่ และขอพระเมตตาเพื่อเมืองโสโดมว่า ถ้ามีคนชอบธรรม ห้าสิบ... สี่สิบห้า... สี่สิบ สามสิบ ยี่สิบ หรือ สิบคน... พระองค์ยังจะทำลายหรือไม่ พระเจ้าตอบว่าเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมเพียงแค่สิบคนก็จะไม่ทำลาย แต่สุดท้ายเมืองโสโดม โกโมราห์ หาคนดีได้ไม่ถึงสิบคน  จึงถูกทำลายสิ้นซาก กลายมาเป็นเรื่องราวของทะเลตายในปัจจุบัน  มีเพียงโลท หลายชายแท้ ๆ ของอับราฮัมและลูกสาวสองคนเท่านั้นที่หนีรอดมาจากเมืองที่ถูกถล่มด้วยไฟ ส่วนภรรยาของโลทมาได้ครึ่งทางแต่หันกลับไปมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งว่าห้ามหันหลังกลับ จึงกลายเป็นเสาเกลือ ( Genesis 19:24-28)

เมื่อพวกเราไปถึงจะรีรออะไรละ ลงทะเลซิครับ...แต่อย่าลืมคำเตือนนะ ทะเลที่นี่เค็มมากๆๆๆ อย่าให้น้ำกระเซ็นเข้าตา หรือว่าถ้ามีบาดแผลก็อย่างเสี่ยงเป็นอันขาด แต่ผมคิดว่าเมื่อมาขนาดนี้แล้วอะไรก็ฉุดรั้งไว้ไม่ได้ จะเป็นหรือตายขอลองดูสักครั้งน่า  คำแนะนำเพิ่มเติมคือ การลงไปในน้ำทะเลตายนั้น ต้องค่อยๆ เดินลงไป เพราะเป็นโคลนลึกบางพื้นที่จมไปถึงเข่าทีเดียว แต่ความรู้สึกมันลื่นเท้าและเหนียวๆ กลิ่นทะเลแบบเค็มๆ รู้สึกถึงกลิ่นกำมะถันและความทะมึนตึงของความเข้มข้นของน้ำและโคลน  เมื่อไปถึงระดับลึกถึงหน้าอก ก็ทำท่าเหมือนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ทำท่าหงายหลังไปเล็กน้อย  เท่านี้เท้าและขาทั้งสองก็จะลอยขึ้นมา กลายเป็นผมกำลังนอนหงายลอยอยู่กลางทะเลที่เค็มที่สุดในโลกแล้ว  เสียงขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า ดังระงมทั่วทั้งบริเวณ  โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจภาษาอะไรหรือไม่ นี่แหละครับ ทะเลที่ไม่มีวัน “จืด” และไม่มีวัน “จม”  ที่ผมโหยหามานานว่าจะมาสัมผัส บัดนี้ลอยตัวอยู่ที่นี่แล้ว พอเล่นได้ที่สักพักก็หันมาที่ตื้นเพื่อนำโคลนมาพอกตัว และไม่ลืมที่จะบรรจุใส่ขวดน้ำพลาสติกเพื่อนำไปฝากคนที่บ้านเป็นที่ระลึกด้วย เพราะหากต้องซื้อจากร้านขายของที่ระลึกและทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโคลนที่นี่แล้วราคาไม่น้อยกว่าพันบาทต่อกระปุกเล็ก ๆ เรื่องอะไรผมจะยอมจ่ายละ !!  เล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่าขวดน้ำยี่ห้อเยรีโคที่ใส่โคลนนั้น มันก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านจนทุกวันนี้และยังไม่ได้เปิดใช้เลย

มัคคุเทศก์เล่าว่า พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ เป็นที่หลงใหลของมาร์คแอนโทนี่และชายทั้งปวงในสมัยนั้น ก็ได้มานำโคลนจากทะเลตายแห่งนี้ชโลมตัวเพื่อให้ผิวพรรณสดสวย โดยพระนางมักจะมาพักผ่อนที่นี่เป็นประจำด้วย

ปัจจุบันพบว่าปริมาณน้ำในทะเลตายเริ่มลดน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง เพราะมีการระเหยไปตามธรรมชาติเนื่องจากความเค็มที่เข้มข้นขึ้น และที่หายไปมากเพราะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำของชนชาติที่อยู่ในบริเวณนั้นคือ อิสราเอล และปาเลสไตน์ รวมทั้งจอร์แดน ที่ต่างมีความต้องการใช้น้ำอย่างมาก จึงต้องกักตุนน้ำจืดจากแม่น้ำจอร์แดนไม่ให้ไหลลงมายังทะเลตายได้เหมือนก่อน อีกทั้งปริมาณน้ำฝนที่ลดน้อยลง จึงเกิดปรากฏการณ์ทะเลตายแห้งเหือดขึ้นมา แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกฝ่ายจะหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ด้วยกัน แม้จะเป็นศัตรูทางการเมืองและเชื้อชาติมายาวนาน แต่เพื่อความอยู่รอดคงต้องช่วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย  สังเกตจากแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในแถบตะวันออกกลางพวกเขาก็มีจุดร่วมและจุดสงวนในความแตกต่างกันอยู่แล้ว เช่น เราไปเที่ยวชมพระวิหารที่อยู่ภายใต้การครอบครองของอาหรับ แต่ต้องใช้ทางขึ้นของอิสราเอล และพักโรงแรมของชาวปาเลสไตน์ เป็นต้น  ทั้งการขายสินค้า ของที่ระลึก ก็ไม่ได้กำหนดใครเชื้อชาติหรือศาสนาใด ๆ เมื่อเราเดินผ่านไปเห็นชาวอาหรับขายไม้กางเขน และสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูเป็นปกติกันอยู่แล้ว

หลังจากลอยตัวในทะเลตายและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจนพอใจแล้ว คณะของเราเดินทางขึ้นเหนือไปต่อที่บริเวณภูเขาที่พระเยซูถูกมารทดลองซึ่งเป็นอีกเรื่องราวที่จะเขียนกันต่อนะครับ

เดดซี – Dead sea ทะเลที่ไม่มีวันจืด ไม่มีวันจม  ผมได้ประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้ว มีบทเรียนชีวิตที่เป็นข้อคิดมากมาย  อย่างเช่น ขอให้ชีวิตเป็นดังเกลือที่รักษาความเค็มเสมอ เพื่อจะเป็นชีวิตที่พอพระทัยและใช้การได้อยู่เสมอ พระเยซูตรัสว่า

 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก   ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว   จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้   แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร   มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ - Matthew 5:15

เนื่องจากความเค็มของทะเลตายนี่เองที่ทำให้เกิดทรัพยากรให้ล้ำค่าแก่บรรดาประชากรของพระเจ้าให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไม่น้อย ทั้งการต้อนรับท่องเที่ยวจำนวนมากตลอดมา 

ในอีกด้านหนึ่งก็ได้รับบทเรียนว่า ทะเลตาย ได้ชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความตาย เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในน้ำทะเลนี้ได้เลย ทั้งที่มันรับน้ำจืดที่ไหลมาจากทะเลกาลิลีที่ได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงทะเลตายกลับกลายเป็นทางตันไม่มีที่ระบายออกไปสู่ที่อื่น จึงเป็นเหตุให้แร่ธาตุที่มากับน้ำนั้นสะสมอย่างหนาแน่นกลายเป็นทะเลเกลือที่เค็มที่สุดในโลก  ในด้านที่เกี่ยวกับลูกศิษย์พระเยซูพบว่ามีหลายคนที่มาจากแถบทะเลกาลิลี ได้แก่ เปโตร ยอห์น ยากอบ อันดูร์ แต่ไม่มีใครสักคนที่มาจากแถบบทะเลตาย เพราะในสมัยนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ได้เลย  ชีวิตที่มีแต่รับอย่างเดียวโดยไม่มีแบ่งปันออกไปนั้น มักจะนำไปสู่ความตาย ความแห้งแล้ง และขาดแคลนบุคลากรที่สำคัญไปด้วยเช่นกัน

ถ้ามีโอกาส อยากจะกลับมาอาบน้ำเกลือ และเจือตัวด้วยโคลนที่นี่อีกหลายๆ ครั้ง และยังอธิษฐานไว้ด้วยว่าอยากให้ภรรยาได้มาด้วยกันก็จะดียิ่ง อาจารย์พงษ์ศักดิ์ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าท่านเคยอธิษฐานอย่างนั้นและพระเจ้าตอบท่านแล้ว ส่วนผมยังรอคอยพระเมตตาที่จะมากับคนที่รักสักวันหนึ่ง  ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงดังนั้น แล้วจะเขียนเล่าสู่กันฟังนะครับ

...คอยติดตามเรื่องอื่นๆ ต่อไปครับ...