24 พฤษภาคม 2564

คุมราน (Qumran) สถานที่คัดลอกพระคัมภีร์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

คุมราน (Qumran) สถานที่คัดลอกพระคัมภีร์

โดย บัณฑิต ดาแว่น

การเดินทางตามรอยพระคัมภีร์ ที่ประเทศอิสราเอล จุดสำคัญที่คณะของเรามาเยี่ยมชมอีกแห่งคือ คุมราน (Qumran)  เป็นชุมชนโบราณท่ามกลางหุบเขาที่มีถ้ำเล็กถ้ำน้อย ซึ่งในอดีตคนเลี้ยงแกะมักนำฝูงแกะขึ้นไปหลบพายุ  และเป็นที่ซึ่งชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบคัมภีร์โบราณที่ต่อมาเรียกกันว่า ม้วนหนังสือทะเลตาย  (Dead Sea Scrolls) ในถ้ำเก่าแก่อย่างอัศจรรย์

รถบัสคันใหญ่นำพวกเราเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวขึ้นลงไปตามไหล่เขา  สองข้างทางยังเต็มไปด้วยภูเขาที่เห็นเป็นสีน้ำตาลแดงอันเนื่องจากไม่มีต้นไม้สีเขียวให้เห็นมากนัก ประกอบกับแสงแดดที่แผดเผาเป็นเปลวขึ้นมา แต่ว่ายังมีผู้คนทำสวนองุ่น มะกอกเทศ โดยนำหินไปกองไว้เป็นแนวสวนของตนเอง บางช่วงเห็นฝูงแพะแกะเดินตากแดดท่ามกลางหญ้าที่แห้งกรอบ มีต้นหนามเป็นหย่อมๆ  เห็นคนเลี้ยงแกะตัวคล้ำๆ เดินตะคุ้ม ๆ อยู่บ้าง  ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ชาวเบดูอิน ซึ่งแม้พวกเขาเป็นชาวเร่ร่อนที่แทบไม่มีชื่อในทะเบียนของโลกด้วยซ้ำ แต่เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของการมาบังเกิดของพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของทั้งโลก กล่าวคือ คนเลี้ยงแกะที่ได้รับข่าวจากทูตสวรรค์ถึงการมาบังเกิดของพระเยซูผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งนายแพทย์ลูกาบันทึกไว้ (ลูกา 2.1-20) น่าจะเป็นชนเผ่าเบดูอินที่ว่านี้  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าใส่ใจทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนสูงศักดิ์ หรือสามัญ และที่น่าทึ่งคือ ทรงใช้คนเรร่อน คนไม่มีชื่อ(เสียง) ให้กลายเป็นกระบอกเสียงแห่งข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงให้โอกาส ทรงให้ความไว้วางใจแก่คนธรรมดาสามัญอย่างเรา มีส่วนในเรื่องที่สำคัญของพระองค์ แล้วอย่างนี้เรายังจะทำให้พระองค์ผิดหวังได้หรือ 

นั่งรถมาพอสมควรมีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากเส้นทางที่คดเคี้ยว แต่ยังถือว่าเพลิดเพลินกับประสบการณ์ข้างทางมากกว่า บางช่วงได้ถ่ายวิดีโอเก็บไว้บ้าง ความสวยงามของสวนอินทผลัมที่เรียงรายตามสองข้างทางดูแล้วทำให้เกิดจิตนาการ  มัคคุเทศก์แนะนำพวกเราด้วยภาคภูมิใจว่าผลผลิตอินทผลัมที่อิสราเอลนั้นมีคุณภาพสูง ให้รสชาติที่หวานฉ่ำและมีคุณค่าทางโภชนการสูง เพราะพื้นที่ อากาศ และการดูแลพิเศษ ว่าแล้วก็มีการส่งต่อผลอินทผลัมมาให้ชิม ซึ่งก็สมคำบรรยายจริงๆ หวานในลิ้น ช่วยให้สดชื่น รู้สึกกระชุ่มกระชวยจากอาการสลืมสลือที่นั่งรถมานานได้ดีทีเดียว ที่สำคัญใกล้มื้อเที่ยงแล้วก็ยังช่วยให้รู้สึกมีอะไรให้รองท้องไปได้ด้วย  ต่อมาเมื่อกลับเมืองไทยแล้ว ผมเคยซื้ออินทผลัมจากตลาดมากิน รู้สึกว่าไม่เหมือนของแท้จากอิสราเอล (คงเกิดจากความรู้สึกในบรรยากาศด้วยนะ) 

หลังจากทยอยลงจากรถ แต่ละคนก็ยังมองหาห้องน้ำเป็นลำดับแรก จากนั้นเดินไปตามพื้นดินที่แห้งผาก เป็นลักษณะเนินเขา มีการกัดเซาะเป็นร่อง ๆ และทางเดินเท้าคดเคี้ยวไปตามแนวเนินเขา  สภาพพื้นที่คล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ หรือ แกรนแคนย่อนไทยที่เชียงใหม่  แสงแดดที่สว่างจ้า และลมที่พัดค่อนข้างแรง ทำให้รู้สึกว่าเย็นๆ ผมยังต้องใส่เสื้อสูทแม้เดินท่ามกลางแสงแดด ไม่ได้ผิดปกตินะครับ เพราะพวกเราคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องสวมแจ็คเก็ต หรือสูท เพราะอากาศจะเย็นจากลมที่พัดแรง และที่อิสราเอลอากาศช่วงกลางวันกับกลางคืนจะเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือกลางวันร้อนจัดส่วนกลางคืนหนาวเย็น และอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา 

มัคคุเทศก์นำเราเข้าไปในอาราม ที่จำลองที่พักอาศัยของคนในชุมชนโบราณที่เรียกว่า “เอสซีน”  (Essene) เป็นกลุ่มคนที่อุทิศตนเอง เพื่อคัดลอกคำสอนศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษชาวยิว ซึ่งเชื่อกันว่านับตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงสมัยของพระเยซูที่พวกเขาต้องนั่งคัดลอกและรักษาม้วนหนังสือเหล่านั้นไว้สุดชีวิต  พวกเขาเปรียบเสมือนนักบวชที่ต้องหลีกเลี่ยงจากมลทินทั้งปวง เขาให้เกียรติ ยำเกรงถ้อยคำของพระเจ้าที่สำแดงแก่บรรพชนอย่างเคร่งครัด  ในพื้นที่คุมราน จะมีแอ่งน้ำหลายแห่งที่ใช้อาบน้ำชำระตัวให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาจะเขียนถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า จะต้องชำระตัวก่อนทุกครั้ง  การคัดลอกทุกบท ทุกตัวอักษรได้รับการเอาใจใส่และเที่ยงตรงตามต้นฉบับอย่างละเอียดลออด้วยการนับจำนวนตัวอักษรให้ตรงกัน  ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงมีความเชื่อมั่นว่าถ้อยคำที่ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันนั้นมีความเที่ยงตรงสูง  ภายในยังจำลองวิถีชีวิตของชุมชนชาวเอสซีน ที่อยู่อย่างสมถะ คล้ายๆพวกฤๅษีของบ้านเรา (หมายถึงเป็นฤๅษีที่อุทิศตัวจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์ทางการเงินหรืออวดอ้างวิชาอาคม)  นักวิชาการพระคัมภีร์เชื่อว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาน่าจะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการฝึกฝนชีวิตในลักษณะของชาวเอสซีนด้วย

 

การค้นพบม้วนพระคัมภีร์ที่คุมราน มีผลอย่างไรต่อชีวิตของเราในทุกวันนี้บ้าง...

จากข้อมูลพบว่า การค้นพบม้วนหนังสือทะเลตายครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1947 ในคุมราน (Qumran) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ประมาณสามสิบสองกิโลจากทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็มด้านตะวันตกเฉียงเหนือของของทะเลตาย คนเลี้ยงสัตว์ชาวเบดูอินกำลังตามแกะซึ่งหลงทางไป ได้โยนก้อนหินไปเล่นๆ ขณะเดินไปพลางโยนไป จนกระทั่งก้อนหินตกลงไปในถ้ำตามหน้าผาริมทะเลและได้ยินเสียงแตกดัง พลั้ว !! หินไปกระทบโดนหม้อเซรามิคที่มีหนังสัตว์และม้วนกระดาษปาไปรัสอยู่ข้างใน  โดยที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรซึ่งหลังจากนั้นมีการพิสูจน์ออกมาว่าม้วนหนังสือเหล่านั้นมีอายุเกือบสองพันปี พวกเขาจึงนำม้วนจารึกไปขายให้แก่พ่อค้าในกรุงเยรูซาเล็มต่อมาพ่อค้าไปขายต่อเป็นทอดๆ  จนกระทั้งนักโปราณคดีพระคัมภีร์ต้องไปควนหาซื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ กลับมาและนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อิสราเอล ในอาคารชื่อ The Shrine of the Book ภายใต้การดูแลอย่างดี (ที่มา: https://mgronline.com/daily/detail/9480000092427)

            จากนั้นคนค้นหาครั้งใหญ่ก็ตามมาอีกเป็นสิบ ๆ ปี มีถ้ำจำนวนสิบเอ็ดถ้ำรอบๆ ทะเลตายที่มีการค้นพบหนังสือม้วนที่เป็นม้วนๆ กระจายอยู่เป็นหมื่นๆ ม้วนกำหนดอายุตั้งแต่ ศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาลจนถึงปี ค.ศ. 68 และเป็นการแสดงถึงงานเขียนที่เขียนขึ้นมาแยกกัน คาดการณ์ได้ว่ามีอยู่ประมาณ 800 ม้วน

            ม้วนหนังสือทะเลตายที่ค้นพบบริเวณชุมชนคุมรานประกอบไปด้วยการรวบรวมเอกสารของชาวยิวที่เขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมคและภาษากรีกและรวมถึงวิชาที่หลากหลายและวรรณกรรมหลายรูปแบบ รวมถึงต้นฉบับของส่วนที่กระจายไปของพระธรรมทุกเล่มในพระคัมภีร์ฮีบรูยกเว้นพระธรรมเอสเธอร์ ทั้งหมดนี้ถูกเขียนขึ้นเกือบๆ หนึ่งพันปีก่อนต้นฉบับพระคัมภีร์ใดๆ ก่อนหน้านี้ ม้วนหนังสือเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยอรรถาธิบายของพระคัมภีร์ฉบับแรกสุดที่มีอยู่สำหรับพระธรรมฮาบากุกและงานเขียนอื่นๆ ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีงานเขียนที่เกี่ยวข้องกับการช่วงเวลาของชาวยิว  เป็นไปได้ว่าพวกเขานำไปเก็บหรือซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อให้รอดพ้นจากการทำลายของศัตรูในเวลานั้น และพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นั้นให้เป็นที่เก็บรักษาถ้อยคำของพระองค์มาถึงเราในปัจจุบันนี้อย่างอัศจรรย์ ตามพระสัญญาที่ว่า แม้ฟ้าและแผ่นดินโลกจะสูญสลายไป แต่ถ้อยคำของพระเจ้าแม้ขีดหนึ่ง หรือจุด ๆหนึ่งจะไม่สูญหายไปเลย (มัทธิว 5.18, 24.35)

               เรื่องราวของสิ่งที่อยู่ในม้วนหนังสือทะเลตายนั้นยืนยันความมีอยู่จริงของพระคัมภีร์ที่คนยิวและคริสเตียนเชื่อถือกันนั้นว่าเป็นเรื่องจริงที่ได้รับการดลจากจากพระเจ้าให้เขียนขึ้นมา เพราะหนังสือม้วนทะเลตายนั้นเป็นการคัดลอกพระธรรมต่าง ๆ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมจาก 250 150 ปีก่อนคริสตศักราช ม้วนหนังสือจำนวนมากเป็นสำเนาของพระคัมภีร์ของคนฮีบรูในพันธสัญญาเดิม การค้นพบม้วนหนังสือทะเลตายเป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์และม้วนหนังสือเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ดีมากและถูกซ่อนไว้เป็นเวลามากกว่า 2,000 ปี เป็นการพิสูจน์วิธีที่พระเจ้ารักษาไว้ซึ่งพระคำของพระองค์มาเป็นช่วงเวลาหลายศตวรรษ ปกป้องมันจากการศูนย์หายและควบคุมไว้ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่สำคัญ

(ที่มา: https://www.gotquestions.org/Thai/Thai-dead-sea-scrolls.html )

ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์ ทั้งในรูปแบบหนังสือเล่ม หรือผ่านทางสื่ออิเลกทรอนิกส์  จึงย้ำเตือนใจเสมอว่าถ้อยคำที่กำลังอ่านนั้นเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้าที่ตรัสไว้แก่คนของพระองค์หลายพันปีที่ผ่านมา และยังคงมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งประวัติศาสตร์ โบราณคดี รวมทั้งประสบการณ์ของใครๆ ต่อใครหลายๆ คนที่พบความจริงนี้ด้วยตนเอง รวมทั้งผมเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากถ้อยคำแห่งพระวจนะนี้ด้วยตนเอง  ตามพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่า ...

พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์   ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  พระคัมภีร์   ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และเป็นประโยชน์ในการสอน   การตักเตือนว่ากล่าว   การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี   และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง (II Timothy 3:15-17)