26 เมษายน 2563

พระเจ้าห่วงใยคุณมากเพียงใด - How much God care for you. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต


พระเจ้าห่วงใยคุณมากเพียงใด
 How much God care for you.
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ หรือ บางคนเริ่มใช้คำว่า “ความปกติแบบใหม่” (New normal) ที่ยังต้องปรับตัวกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และคงไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้ 
จะผ่านไปได้อย่างไร?
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้ายังควบคุมเหนือสถานการณ์เหล่านี้ ? 
พระเจ้ายังทรงห่วงใยอยู่หรือไม่ ?
และยังมีอีกหลายคำถามที่เกิดขึ้นในสภาวะขาดกำลัง ขาดรายได้  ขาดจากเพื่อนฝูงที่เคยผูกพันใกล้ชิด เคยใช้วิถีชีวิตในการนมัสการในรูปแบบที่คุ้นเคย แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสที่จะทำได้  จะทำอย่างไรดี  เมื่อความเข้มแข็งที่มีเริ่มถดถอย ?

พระเจ้ายังห่วงใยในชีวิตของเราเสมอ

พระคำของพระเจ้ายังยืนยัน
จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์   เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย -I Peter 5:7
พระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์มากกว่าทูตสวรรค์จึงให้พระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิตที่ทรงสละพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ความจริง   พระองค์มิได้ทรงเป็นห่วงทูตสวรรค์   แต่ทรงเป็นห่วงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง   เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต   ผู้กอปรด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ   ในการกระทำกิจกับพระเจ้า   เพื่อลบล้างบาปของประชาชน เพราะเหตุที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานและถูกลองใจ   พระองค์จึงทรงสามารถช่วยผู้ที่ถูกลองใจได้
Hebrews 2:16-18
มารีย์ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีว่าพระเจ้าทรงห่วงใยในคนต่ำต้อยและทุกข์ยากอย่างเธอ
เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์  
เพราะนั่นแหละ   ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก
-Luke 1:48 
พระเยซูยืนยันความห่วงใยต่อแกะของพระองค์ในฐานะเป็นผู้เลี้ยงที่ดีที่พร้อมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือ
เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี   ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ   และฝูงแกะไม่เป็นของเขา   เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป   สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย   และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย -John 10:11-13
ชีวิตของเรามีค่ายิ่งกว่านก พระเจ้าทรงห่วงใยแน่นอน
จงดูนกในอากาศ   มันมิได้หว่าน   มิได้เกี่ยว   มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง   แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย   ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้   ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ  -Matthew 6:26
ชีวิตของเรามีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ เหตุไฉนพระเจ้าจะไม่ห่วง
ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม   จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า   มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร   มันไม่ทำงาน   มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี   ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น   ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ   โอ   ผู้มีความเชื่อน้อย   พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 
- Matthew 6:28-30
พระเจ้าทรงทราบความทุกข์ยากและความต้องการของชีวิต
...แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า   ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ 
- Matthew 6:32

ควรทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อรู้แล้วนี่ว่าทรงห่วงใย !

อย่ากระวนกระวายมากเกินกว่าเหตุ
“เหตุฉะนั้น   เราบอกท่านทั้งหลายว่า   อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า   จะเอาอะไรกิน   หรือจะเอาอะไรดื่ม   และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า   จะเอาอะไรนุ่งห่ม   ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ   และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ-Matthew 6:25
จงใส่ใจแสวงหาสิ่งที่สำคัญกว่า คือการให้พระเจ้าครอบครองชีวิต ยอมอุทิศตัวเพื่อแผ่นดินของพระองค์
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า   และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน   แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้   -Matthew 6:33
ไว้วางใจในพระเจ้าวันต่อวัน อย่าให้ความกังวลเพิ่มความทุกข์ทนในวันนี้อีกเลย

 “เหตุฉะนั้น   อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้   เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง   แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว  -Matthew 6:34

เพื่อนชาวอเมริกัน แบ่งปันแนวคิดของเขาให้ฟังว่า ชีวิตของเราพระเจ้าโปรยด้วยพรมชั้นดี เพื่อที่เราจะเหยียบย้ำไปในทางของโลกนี้  ลองก้มลงดูพื้นที่เราเดินไปสิ มีทั้งหญ้าเขียวสวย มีทั้งดอกไม้นานาพันธุ์  พระเจ้าทรงสร้างมันให้อยู่ใต้เท้าของมนุษย์  แล้วอย่างนี้จะพูดได้อย่างไรว่า ชีวิตมิได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะไม่ใช่แค่กลีบกุหลาบที่ถูกเด็ดออกมาจากต้น แต่พระเจ้าให้ต้นหญ้าเขียวสด และดอกที่สวยสดงดงามให้เราเดินไปเสมอ  เพียงแต่เราจะใส่ใจต่อความห่วงใยของพระเจ้าหรือไม่เท่านั้นเอง

แฟรงค์ กราเอฟ (1860-1919)  ผู้ประพันธ์บทเพลง “พระเยซูทรงห่วงข้าหรือไม่” ได้ตั้งคำถามว่า
 พระเยซูทรงห่วงข้าหรือไม่ ...เมื่อยามเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ใจ ไร้ความมั่นคงในชีวิต
...เมื่อยามโดดเดี่ยว ว้าเหว่ใจ  เกิดภัยพิบัติ ขาดคนเข้าใจ
...เมื่อยามคนที่รักจากไป ความโศกเศร้ารุมเร้าดวงใจ
เมื่อยาม...
คำตอบที่เขาได้รับคือ...พระเจ้าทรงห่วงใยอย่างแน่นอน !!
“พระองค์ทรงห่วง...พระองค์ทรงห่วง  เมื่อข้าเศร้าพระองค์ทรงห่วง
                        กลางวันอ่อนระอาใจ  กลางคืนอ่อนล้ากาย  ข้ารู้  พระองค์ทรงห่วง”


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

23 เมษายน 2563

รู้จักพระเจ้าผู้ที่เราอธิษฐาน - Knowing God who we pray. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

รู้จักพระเจ้าผู้ที่เราอธิษฐาน - Knowing  God who we pray.
โดย บัณฑิต  ดาแว่น

ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้
ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
Now to him who by the power that is working within us is able to do far beyond all that we ask or think,
to him be the glory in the church and in Christ Jesus to all generations, forever and ever. Amen. Ephesians 3:20-21

ทุกครั้งที่อธิษฐาน  เป็นการส่งสัญญาณว่า เรามีความเชื่อมั่นในพระเจ้าผู้ที่กำลังอธิษฐานต่อ  ถ้าไม่อย่างนั้นจะอธิษฐานทำไม  ใช่หรือไม่ ?
พระเจ้าผู้ที่เรากำลังอธิษฐานถึงนั้น  พระองค์สามารถทำอะไรได้บ้าง
จากพระธรรม เอเฟซัส บทที่ 3 ข้อ 20 – 21  ได้ทำให้เห็นและรู้จักพระเจ้ามากขึ้น

1.  พระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติ
อาจารย์เปาโล เขียนจดหมายถึงผู้เชื่อชาวเมืองเอเฟซัสด้วยหัวใจอธิษฐาน และที่สำคัญท่านให้เกียรติเป็นของพระเจ้าเสมอ  ท่านให้เกียรติพระเจ้าในฐานะพระบิดาของคนทั่วโลก ผู้ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตและลมหายใจของทุกคน ด้วยท่าทีและท่าทางของการคุกเข่าลงต่อพระเจ้า
เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา (คำว่า  บิดา  ของทุกตระกูล  ทุกชาติ   ในสวรรค์ก็ดี  ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่า   พระบิดา) -Ephesians 3:14-15
พระเยซูเป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อทรงทำหน้าที่ฐานะพระบุตรทรงให้เกียรติพระบิดาอย่างสูงสุด โดยการทำงานตามที่รับมอบหมายจนสำเร็จ (ยน.12.28,17.4, ฟป.2.5-11)
การให้เกียรติพระเจ้า เป็นการยกย่องพระองค์อย่างสมควร เพราะพระเกียรติและพระสิริทั้งสิ้นที่มีอยู่ล้วนเป็นของพระเจ้า (สดด.96.4,100.1-5)
การให้เกียรติแด่พระเจ้านั้นเป็นผลดีต่อชีวิตเสมอ  ส่วนการไม่ให้เกียรติย่อมเป็นอัตรายและทำร้ายตนเอง
2.  พระเจ้าเป็นผู้ทรงฤทธิ์
ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าโลกนี้จึงบังเกิดขึ้นมา  ธรรมชาติที่มองเห็นเป็นพยานยืนยันถึงฤทธานุภาพของพระองค์ที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย   เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว   สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น   คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์   ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง   ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย -Romans 1:19-20
ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร   ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก   พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า   และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์   และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์   เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว   ก็ได้ประทับ  ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน
- Hebrews 1:1-3
พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ทรงคิดถึงและห่วงใยผู้ที่พระองค์ทรงสร้างเสมอ

3. พระเจ้ากระทำได้มากกว่าที่จะจิตนาการได้
อาจารย์เปาโลแสดงความมั่นใจเมื่ออธิษฐานต่อของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และเมตตา ด้วยการเชื่อมั่นการตอบคำอธิษฐานของพระองค์ว่า
 ...พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ (1971)
เมื่อเปรียบเทียบพระคัมภีร์หลายฉบับจะทำให้เห็นภาพว่าพระเจ้าทำมากเกินคำบรรยาย
...ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพที่ทำกิจอยู่ภายในเรา (TSV มาตรฐาน)
...ทรงสามารถกระทำเกินกว่าที่เราจะทูล ขอหรือคาดคิดได้ (TNCV อมตธรรม)
...สามารถ​กระทำ​มาก​เกิน​กว่า​ที่​เรา​เคย​ขอ​หรือ​คิด  (ประชานิยม)
…able to do far more abundantly than all that we ask or think, (ESV)
...ทำไกลไปปกว่าความอุดมสมบูรณ์ล้นเหลือ กว่าที่เราขอและคิดได้
able to do immeasurably more than all we ask or imagine, (NIV-r)
...ทำมากยิ่งกว่าที่จะประมาณการได้ มากกว่าที่เราขอ หรือ จิตนาการ
able to do exceeding abundantly above all that we ask or think,(ASV)
...ทำจนล้นพ้นเหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าที่เราขอ หรือ คิดได้
able to do far more abundantly than all that we ask or think, (RSV)
...สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเกินกว่า ที่เราขอหรือคิดได้

หากจะเรียงลำดับจะเห็นภาพว่าพระเจ้าทำขั้นกว่าได้มากอย่างเหนือจิตนาการของมนุษย์
 + พระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐาน ตามที่เราทูลขอ
+ พระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐาน มากกว่าที่เราทูลขอ
+ พระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐาน  มากยิ่งกว่าสิ่งสารพัดที่เราทูลขอ
+ พระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐาน  มากยิ่งกว่าสิ่งสารพัดที่เราทูลขอหรือคิดได้
+ พระเจ้าสามารถตอบคำอธิษฐาน  มากยิ่งกว่าสิ่งสารพัดที่เราทูลขอ หรือ คิด หรือ จิตนาการได้
แม้เราคิดไม่ออก คิดไม่ถึง และจิตตนาการไม่ได้ ในขณะที่อธิษฐาน แต่พระเจ้าสามารถทำได้มากกว่านั้น
4.  พระเจ้าสำแดงฤทธิ์เดชภายในตัวเราได้
ขอบคุณพระเจ้า แม้พระองค์จะทรงฤทธิ์มากยิ่งสักเพียงใด  แต่ยังให้โอกาสชีวิตของเราเป็นเวทีแสดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์   กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้   ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา -Ephesians 3:20
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงประกอบด้วยฤทธานุภาพทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลกทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค (มธ.28.18-20)
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า   ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี   ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว...นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป   จนกว่าจะสิ้นยุค”  -Matthew 28:20
พระเยซูสอนว่าผู้เชื่อจะทำภารกิจมากกว่าพระองค์  พระเยซูทรงมีชีวิตในโลกสามสิบปีเศษและปฏิบัติภารกิจเพียง 3 ปีกว่าเท่านั้น แต่ทุกวันนี้พระองค์ยังทรงทำการยิ่งใหญ่ภายในชีวิตของผู้เชื่อทั่วโลก และคงจะกระทำต่อไปจนกว่าจะสิ้นยุค
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย   และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก   เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา   เราจะกระทำสิ่งนั้น   เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเรา   เราจะกระทำสิ่งนั้น  John 14:12-14

5.  พระเจ้าใช้คริสตจักร(ผู้เชื่อ)ให้มีส่วนในพระเกียรติของพระองค์
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร
หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  คริสตจักรเป็นฐานสำคัญในการทำงานของพระองค์ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับผู้เชื่อในฐานะคริสตจักร (1คร.3.16, 6.19-20)  ทรงแต่งตั้งคริสตจักรให้เป็นตัวแทน หรือทูตของพระองค์เพื่อทำพันธกิจแห่งการคืนดีให้คนกลับมาความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีกครั้ง
ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า   ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์   และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์   มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา   และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์   โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา   เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า -II Corinthians 5:18-20

6.  พระเจ้าทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
แผนการของพระเจ้าทุกอย่างสำเร็จที่พระเยซูอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ  เมื่อจะทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสเป็นถ้อยคำสุดท้ายว่า “สำเร็จ” แล้ว  หมายถึง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระบิดานั้นสำเร็จแล้ว และ การมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้มนุษย์ก็สำเร็จเช่นกัน
อาจารย์ยอห์น ลูกศิษย์คนสนิทบันทึกไว้ว่า
เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว   พระองค์ตรัสว่า   “สำเร็จแล้ว”   และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ -John 19:30
พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาในขณะที่อยู่กับสาวกก่อนหน้านั้นว่า...
ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก   เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว -John 17:4
พระเยซูสามารถทำให้ชีวิตของเราและทุกสิ่งสำเร็จอย่างครบสมบูรณ์ได้
...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต   และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ -John 10:10
เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว   ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่   และบาปที่เกาะแน่น   ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม   ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ   และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์   พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน   เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์   ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ    เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า   -Hebrews 12:1-2

7.  พระเจ้าสามารถทำได้ตลอดไป
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ายังคงมีอยู่เสมอและตลอดไป ดังที่พระเยซูทรงฤทธิ์อำนาจเสมอไปอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือสถานการณ์
พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้   และเวลาวันนี้   และต่อๆไปเป็นนิจกาล -Hebrews 13:8
ขอพระสิริของพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์  
ขอพระเจ้าทรงเปรมปรีดิ์ในบรรดา   พระราชกิจของพระองค์
  -Psalms 104:31
จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า   เพราะพระองค์ประเสริฐ  
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรง เป็นนิตย์
  
-
Psalms 118:1
เพราะว่า   บรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า   และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า  
ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป  และดอกก็ร่วงโรยไป  
แต่พระวจนะของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์   พระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว I Peter 1:24-25


เมื่อรู้จักพระเจ้าอย่างนี้แล้ว  เราจะหยุด หรือ จะเหนื่อยล้าในการอธิษฐานหรือไม่
จงชื่นบานอยู่เสมอ
จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
จงขอบพระคุณในทุกกรณี   เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า  
ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย - I Thessalonians 5:17

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐานนะครับ


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

19 เมษายน 2563

เรียนรู้อธิษฐานตามแบบพระเยซูสอน - Learning from The Lord’s prayer. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
เรียนรู้อธิษฐานตามแบบพระเยซูสอน 
 Learning from The Lord’s prayer. 
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

คำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน เป็นถ้อยคำที่ผมใช้หนุนใจพี่น้องให้ทูลวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะพระบิดา ช่วงเวลาแห่งความกลัว กังวล และสับสนที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
เราจะอธิษฐานและเรียนรู้อย่างไรในคำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน 
จากพระธรรม มัทธิว 6.9-13

1.  อธิษฐานต่อพระบิดา เทิดทูนบูชาพระนามพระองค์ (ข้อ 9)
“ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ

ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์  ทุกคนได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1.12) และมีสิทธิ์ได้อยู่ในบ้านคือแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระเจ้าในฐานะพระบิดาได้  การร้องทูลต่อพระบิดาถือว่าเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อทุกคน พระธรรมโรม 8.15 บันทึกว่า
เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก   แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า   ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า   “อับบา”   คือพระบิดา
คำว่า “อับบา” เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้เรียกคุณพ่อด้วยถ้อยคำของสามัญชนทั่วไปแบบเรียบง่าย เป็นเสมือนลูกที่พูดจากับคุณพ่ออย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง ออดอ้อนตามประสาเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อด้วยภาษาท่าทางที่ผูกพันแนบแน่น
ขอบพระคุณพระเจ้าผู้สูงสุดซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์อันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทรงให้โอกาสคนธรรมดาสามัญสามารถจะอธิษฐานทูลอ้อนวอนพระองค์ในฐานะพระบิดา หรือ “พ่อ” อย่างอบอุ่นใจได้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็น พระบิดาผู้ดีรอบคอบ(มธ.548) ที่จะทรงตอบคำร้องทูลแก่ลูกที่รักของพระองค์ด้วย “ของดีที่สุด” (มธ.7.11)  นายแพทย์ลูกาให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าของดีนั้นคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”
โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้อยู่เคียงข้าง คอยให้คำแนะนำและอธิษฐานช่วยเราขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรหรือไม่สามารถอธิษฐานออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราตามพระประสงค์ของพระองค์ และช่วยคนที่รักพระองค์และคนที่พระองค์ทรงเรียกให้เกิดผลอันดีในทุกสถานการณ์ได้ด้วย (รม.8.26-28)
ดังนั้น ทั้งในยามสถานการณ์คับขันหรือปกติสุข ให้อธิษฐานต่อพระบิดา และเทิดทูนบูชาพระนามพระองค์อย่างสูงสุดเสมอ

2.  อธิษฐานขอการครอบครองของพระเจ้าเหนือชีวิต ขอให้สัมฤทธิ์ผลตามพระทัย (ข้อ 10)
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

เมื่ออธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่  ขอให้รับรู้ว่านั่นคือ การยอมรับว่าพระเจ้ามีอำนาจครอบครองเหนือชีวิตจิตใจของคุณ  ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองบัลลังก์แห่งหัวใจของคุณทั้งหมด  ชีวิตนี้จึงไม่ใช่ของคุณเองอีกต่อไปแต่เป็นของพระเยซูแล้ว ดังอาจารย์เปาโลอธิบายว่า
ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว   ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป   แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า   ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้   ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า   ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า   และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า  - Galatians 2:20
ชีวิตของผู้เชื่อพระเยซูจึงควรเป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า เพราะถูกครอบครองด้วยอำนาจ และกฎแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว หากอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าก็สมควรที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์ด้วย
การทำตามพระทัยของพระเจ้า เป็นช่องทางให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานได้
และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์   คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์   พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า   พระองค์ทรงโปรดฟังเรา   เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ   เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์ - I John 5:14-15
คนที่จะรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้นั้นต้องมีถ้อยคำของพระองค์อยู่ในชีวิต
ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา   และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว   ท่านจะขอสิ่งใด   ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น  - John 15:7
น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นมีผลทั้งต่อแผ่นดินสวรรค์และแผ่นดินโลก  ซึ่งหมายถึงพระเจ้ามีอำนาจเสมอทั้งขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และเมื่อจากโลกนี้ไปเรายังสามารถอาศัยอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ที่สวรรค์ได้ด้วย  เพราะเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า
จึงอย่าได้ตามใจอยาก ตามใจอยู่ ตามใจปาก ตามใจท้องของตนเองจนเกินไป จนทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเสียหายไปจากชีวิตของคุณเลย  แต่จงแสวงหาการครอบครองของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงนำชีวิตในทุกเรื่อง  เพื่อชีวิตจะอยู่ในพระประสงค์ทั้งขณะยังมีชีวิตและเมื่อถึงเวลาสุดท้ายจะได้ภาคภูมิต่อพระพักตร์ที่บนสวรรค์เช่นกัน

3. อธิษฐานขอการพึ่งพาในทุกเวลาของชีวิต (ข้อ 11)
ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้

พระเจ้าทราบว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต  แต่ยังสอนไว้อีกว่า
มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้   แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ   ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'  - Matthew 4:4
อาหารฝ่ายกายสำคัญเท่าใด อาหารฝ่ายวิญญาณยิ่งสำคัญมากกว่านั้น  แม้จะกินครบทั้ง 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ (บางคนกินไปหลายตำบล – พูดประชดนะครับ) แต่ชีวิตหาอยู่รอดได้ไม่ ถึงอยู่ได้ก็คงอยู่แบบไร้จิตวิญญาณ  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจิตใจคนในยุคนี้ถึงร้ายนัก เพราะเขาไม่ได้กินอาหารฝ่ายวิญญาณ และไม่ดำเนินการตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั่นเอง ตามที่อาจารย์ทิโมธีได้รับการดลใจให้เขียนไว้ล่วงหน้าเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
แต่จงเข้าใจข้อนี้   คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น   จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว   เห็นแก่เงิน   เย่อหยิ่ง   ยโส   ชอบด่าว่า   ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา   อกตัญญู   ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม   ไม่ให้อภัยกัน   ใส่ร้ายกัน   ไม่ยับยั้งชั่งใจ   ดุร้าย   เกลียดชังความดี ทรยศ   มุทะลุ   หัวสูง   รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก   ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ   คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ -II Timothy 3:1-4
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้พึ่งพาในพระองค์ ดังลูกและบิดา ให้สามัคคีธรรมนำความความสัมพันธ์อันดีมาสู่กันเสมอ  แต่เมื่อมนุษย์เผลอไปทำตามคำของมารร้าย  จึงกลับกลายเป็นศัตรู  และรู้ทั้งรู้ว่าการเป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น ไม่มีวันจะชนะได้  แต่ขอบคุณพระเจ้าโดยความรักของพระองค์จึงส่งพระบุตรองค์เดียวนามว่า “เยซู” ให้มาช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป และให้กลับคืนดีกับพระองค์ (รม.5.6-10)
พระองค์เจ้าข้า ขอพึ่งพาในพระองค์  พระผู้ทรงเลี้ยงดูดุจเลี้ยงแกะ และทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ  (สดด.23.1-6,ยน.10.11)  ขอโปรดดูแลข้าพระองค์ทั้งกายและจิตวิญญาณตลอดไปด้วยเถิด

4. อธิษฐานขอการยกโทษ ขออย่าพิโรธต่อความผิดบาปที่ได้ทำ (ข้อ 12)
และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์
เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น

ความผิดบาปที่ติดชีวิตของเรานั้น มีทั้งสองส่วนคือ บาปที่สืบทอดมาตามสายเลือดตั้งแต่เริ่มต้นการทำบาปของมนุษย์คู่แรก และบาปที่ทำเองของเราแต่ละคนที่ทำมากเสียจนมากกว่าบาปเริ่มต้นเสียแล้วกระมัง  ดังนั้น จึงไม่มีใครปฏิเสธได้ จึงควรยอมรับว่า ข้าคือคนบาป และสมควรถูกสาปให้สาสม ตามพระคัมภีร์ที่ว่า
เพราะว่าทุกคนทำบาป   และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า  -Romans 3:23
เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป   ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น   ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย   ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น   ก็คือความตาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป   และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว   ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์   และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย   แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  - Romans 6:20-23

วันนี้ขอให้อธิษฐานสารภาพและยอมรับว่าตนเองเป็นเป็นคนบาป เพื่อจะพ้นจากความแช่งสาป  โดยทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมผู้ทรงโปรดยกโทษบาปและชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้นได้ด้วยอำนาจของพระองค์ (1ยน.1.9) แม้ว่าบาปของเราจะหนักหนาสักเท่าใด พระองค์ทรงชำระให้สะอาดได้ (อสย.1.18) และถ้าแม้ว่าได้ทำผิดทำบาปต่อใครก็ให้สารภาพและขอการยกโทษจากคนนั้นด้วย และต่างฝ่ายต่างต้องยกโทษให้แก่กันและกัน เหมือนดังที่พระเยซูคริสต์ยอมตายเพื่อไถ่บาปของเราแล้วเช่นกัน (มธ.6.14-15, มก.11.25, ลก.17.3) เพื่อคำอธิษฐานของเราจะไม่มีอะไรขวางกั้นต่อพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สามีภรรยาที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันจะได้พรนี้มากขึ้นด้วย (1ปต.3.7)
พระเจ้าพร้อมอ้าแขนรับคนที่สำนึกผิดและลุกขึ้นมาสารภาพกับพระบิดาเสมอ เพราะไม่มีใครไม่เคยทำผิด แต่ชีวิตที่รับพรคือคนที่กลับใจและสารภาพ (ลก.15.11-24)

5. อธิษฐานขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย ขอให้หลีกไกลจากอันตราย (ข้อ 13)
และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย

การร้ายทั่งปวง ย่อมมาจากสิ่งชั่วร้าย  “มาร” มันเป็นต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้าย เป็นพ่อแห่งความมุสา (ยน.8.44) และมันนำพาให้มนุษย์หลงจากทางแห่งความดี  มันทำให้มนุษย์มีจิตใจมืดมน ไม่สนใจทางแห่งความจริง(2คร.4.4,อฟ.5.11)  มันมาเพื่อลัก ฆ่าและทำลาย (ยน.10.10ก)
หากหลีกไกลได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี  แต่วิธีที่จะหลีกนั้น ต้องทำทั้งสองด้าน คือ หนึ่ง อย่านำตัวเองเข้าไปสู่ปัญหาและอันตรายนั้นโดยไม่จำเป็น สอง ขอการปกป้องดูแลจากพระเจ้า
เริ่มต้น เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี สถานที่ใดดีหรือไม่ดี  คนไหนดีหรือไม่ดี อย่าให้วิถีของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นดีที่สุด (สดด.1.1) ต้องปลอดภัยไว้ก่อน กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะหากปล่อยให้แย่แล้วยากที่จะแก้ไข  อย่าคิดว่าตนเองมั่นคงแล้ว แน่แล้ว และไม่ระวังเพราะจะเกิดความพังพินาศมาสู่ชีวิตได้  พระคำของพระเจ้าเตือนไว้ว่า
เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว   ก็จงระวังให้ดี   กลัวว่าจะล้มลง  -I Corinthians 10:12
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทราบว่า   จะช่วยคนชอบธรรมให้รอดพ้นจากการทดลองได้อย่างไร   และทรงทราบวิธีกักขังคนชั่วไว้   ให้รับโทษเมื่อถึงวันพิพากษา โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่ปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกิเลสตัณหา   และหมิ่นประมาทอำนาจของผู้ใหญ่   คนเหล่านี้กล้าและประพฤติตามอำเภอใจ   เขาไม่สะทกสะท้านที่จะกล่าวประณามศักดิ์สิริเทพ  -II Peter 2:9-10
เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี   อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา   แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส   เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา   แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร  -Ephesians 5:15-16
เมื่อดูแลและระมัดระวังตนเองอย่างดีแล้ว จากนั้นยังต้องมอบทั้งหมดไว้ภายใต้การปกป้องดูแลของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง(ลก.1.37)  สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินนั้น พระเจ้าสามารถจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ได้ (1คร2.9)  พระเจ้าทรงรู้ว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับกำลังและสถานการณ์ของเราแต่ละคน และทรงเตรียมหนทางที่ดีสำหรับชีวิตเราเสมอ(1คร.10.13,สดด23)

6. อธิษฐานด้วยความเชื่อ เพื่อยกย่องพระนามสืบไป (ข้อ 13)
หากเราอธิษฐานตามอย่างที่พระเยซูสอน เริ่มต้นด้วยการร้องเรียกหาพระบิดา และสุดท้ายก็ให้จบคำร้องทูลด้วยความเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระองค์
เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
พระคัมภีร์ฉบับเก่าแก่บันทึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้ ย่อมมีความหมายแน่  เพราะแท้จริงคำตอบ และความสำเร็จทุกอย่างนั้นมากจากพระเจ้า  เราจึงต้องประกอบไปด้วย “ความเชื่อ”  คือ เชื่อในตัวตนของพระเจ้า เชื่อในอำนาจของพระองค์ และเชื่อในความจริงตามพระคำของพระองค์  แม้วันนี้เราอาจรู้สึกว่ายังไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ  แต่สัญญาณการตอบของพระเจ้านั้นมีทั้งจะบอกว่า... ได้... ไม่ได้... ให้รอก่อน...หรือ บางครั้งทรงสอนให้เราเติบโตพอที่จะเข้าใจเสียก่อน จึงจะได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้น  บางครั้งอาจไม่เป็นดังใจเราต้องการแต่สุดท้ายเป็นไปตามพระทัยพระเจ้าย่อมดีกว่า  เพราะพระทัยของพระเจ้านั้นสูงกว่าความคิดของมนุษย์ พระองค์ประสงค์ให้สิ่งดีที่สุดสำหรับแต่ละคนแน่นอน
พระเจ้าตรัสว่า...
เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า   ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา”  
พระเจ้าตรัสดังนี้  
 
“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด   วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า  
 และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”
   -Isaiah 55:8-9
การปรับความคิดและชีวิตของเราให้เข้ากับพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  ด้วยการมอบกาย ถวายชีวิตที่มีให้กับพระองค์เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยและเข้าใจว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิต (รม.12.1-2)

7. อธิษฐานในนามพระเยซู และสู่คำลงท้ายว่า “อาเมน”
จากคำสอนของพระเยซูในตอนอื่น ๆ ทำให้เห็นว่า เราไม่สามารถอ้างชื่อของตนในการอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ เพราะยังไงมนุษย์ที่ยังอาศัยร่างกายที่ตกอยู่ในความบาป และอยู่ท่ามกลางโลกที่เสื่อมทรามจากพระเจ้านั้น ไม่อาจยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์ผู้บริสุทธิ์ได้ด้วยตนเอง 
แต่ขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ได้ทำการไถ่ความบาปจากชีวิตของเราแล้วด้วยการตายบนไม้กางเขน  ทรงโปรดให้เราเป็นคนชอบธรรม คือได้การยอมรับจากพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซู (ฮบ.9.15,กจ.4.12) ดังนั้น สิ่งที่เราจะดำเนินการต่อพระเจ้านั้นจึงต้องผ่านผู้กลางคือ “พระเยซู” เท่านั้น !
แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์   ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล   ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา   เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง คือการเป็นปฏิปักษ์กัน   โดยในเนื้อหนังของพระองค์   ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ   เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์   เช่นนั้นแหละ   จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า   เป็นกายเดียวโดยกางเขน   ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล   และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน -Ephesians 2:13-18
พระเยซูยืนยันว่า...
เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า   ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด   พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา   เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น” -Matthew 18:19-20
ผู้เชื่อในยุคแรก และคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโลมักลงท้ายด้วยคำว่า อาเมน (รม.9.5,1คร.14.6,อฟ.3.21,1ปต5.11,วว.22.21)
“อาเมน”  เป็นภาษาฮีบรูหมายความว่า ให้เป็นเช่นนั้น  โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เป็นได้ ด้วยความจริง และอำนาจของพระองค์ (วว.3.14,5.14)

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐานนะครับ

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)