คิดอย่างบัณฑิต
เรียนรู้อธิษฐานตามแบบพระเยซูสอน
Learning from The Lord’s prayer.
โดย
บัณฑิต ดาแว่น
คำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน เป็นถ้อยคำที่ผมใช้หนุนใจพี่น้องให้ทูลวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะพระบิดา
ช่วงเวลาแห่งความกลัว กังวล และสับสนที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
เราจะอธิษฐานและเรียนรู้อย่างไรในคำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูสอน
จากพระธรรม มัทธิว 6.9-13
1. อธิษฐานต่อพระบิดา
เทิดทูนบูชาพระนามพระองค์ (ข้อ 9)
“ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ทุกคนได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1.12)
และมีสิทธิ์ได้อยู่ในบ้านคือแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระเจ้าในฐานะพระบิดาได้
การร้องทูลต่อพระบิดาถือว่าเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อทุกคน
พระธรรมโรม 8.15 บันทึกว่า
เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา
คำว่า “อับบา” เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้เรียกคุณพ่อด้วยถ้อยคำของสามัญชนทั่วไปแบบเรียบง่าย
เป็นเสมือนลูกที่พูดจากับคุณพ่ออย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง
ออดอ้อนตามประสาเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อด้วยภาษาท่าทางที่ผูกพันแนบแน่น
ขอบพระคุณพระเจ้าผู้สูงสุดซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์อันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
แต่ทรงให้โอกาสคนธรรมดาสามัญสามารถจะอธิษฐานทูลอ้อนวอนพระองค์ในฐานะพระบิดา หรือ “พ่อ”
อย่างอบอุ่นใจได้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็น พระบิดาผู้ดีรอบคอบ(มธ.548)
ที่จะทรงตอบคำร้องทูลแก่ลูกที่รักของพระองค์ด้วย “ของดีที่สุด” (มธ.7.11) นายแพทย์ลูกาให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าของดีนั้นคือ
“พระวิญญาณบริสุทธิ์”
โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้อยู่เคียงข้าง
คอยให้คำแนะนำและอธิษฐานช่วยเราขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรหรือไม่สามารถอธิษฐานออกมาเป็นคำพูดได้
ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราตามพระประสงค์ของพระองค์ และช่วยคนที่รักพระองค์และคนที่พระองค์ทรงเรียกให้เกิดผลอันดีในทุกสถานการณ์ได้ด้วย
(รม.8.26-28)
ดังนั้น ทั้งในยามสถานการณ์คับขันหรือปกติสุข
ให้อธิษฐานต่อพระบิดา และเทิดทูนบูชาพระนามพระองค์อย่างสูงสุดเสมอ
2. อธิษฐานขอการครอบครองของพระเจ้าเหนือชีวิต
ขอให้สัมฤทธิ์ผลตามพระทัย (ข้อ 10)
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
เมื่ออธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ ขอให้รับรู้ว่านั่นคือ การยอมรับว่าพระเจ้ามีอำนาจครอบครองเหนือชีวิตจิตใจของคุณ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองบัลลังก์แห่งหัวใจของคุณทั้งหมด ชีวิตนี้จึงไม่ใช่ของคุณเองอีกต่อไปแต่เป็นของพระเยซูแล้ว
ดังอาจารย์เปาโลอธิบายว่า
ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้
ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า - Galatians 2:20
ชีวิตของผู้เชื่อพระเยซูจึงควรเป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า
เพราะถูกครอบครองด้วยอำนาจ และกฎแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว หากอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าก็สมควรที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์ด้วย
การทำตามพระทัยของพระเจ้า เป็นช่องทางให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานได้
และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์
คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า
พระองค์ทรงโปรดฟังเรา
เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ
เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์
- I
John 5:14-15
คนที่จะรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้นั้นต้องมีถ้อยคำของพระองค์อยู่ในชีวิต
ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
- John 15:7
น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นมีผลทั้งต่อแผ่นดินสวรรค์และแผ่นดินโลก ซึ่งหมายถึงพระเจ้ามีอำนาจเสมอทั้งขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และเมื่อจากโลกนี้ไปเรายังสามารถอาศัยอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ที่สวรรค์ได้ด้วย เพราะเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า
จึงอย่าได้ตามใจอยาก ตามใจอยู่ ตามใจปาก
ตามใจท้องของตนเองจนเกินไป
จนทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเสียหายไปจากชีวิตของคุณเลย แต่จงแสวงหาการครอบครองของพระเจ้า
ให้พระองค์ทรงนำชีวิตในทุกเรื่อง
เพื่อชีวิตจะอยู่ในพระประสงค์ทั้งขณะยังมีชีวิตและเมื่อถึงเวลาสุดท้ายจะได้ภาคภูมิต่อพระพักตร์ที่บนสวรรค์เช่นกัน
3. อธิษฐานขอการพึ่งพาในทุกเวลาของชีวิต
(ข้อ 11)
ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้
พระเจ้าทราบว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต แต่ยังสอนไว้อีกว่า
มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว
หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' - Matthew 4:4
อาหารฝ่ายกายสำคัญเท่าใด
อาหารฝ่ายวิญญาณยิ่งสำคัญมากกว่านั้น
แม้จะกินครบทั้ง 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ (บางคนกินไปหลายตำบล – พูดประชดนะครับ)
แต่ชีวิตหาอยู่รอดได้ไม่ ถึงอยู่ได้ก็คงอยู่แบบไร้จิตวิญญาณ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจิตใจคนในยุคนี้ถึงร้ายนัก
เพราะเขาไม่ได้กินอาหารฝ่ายวิญญาณ และไม่ดำเนินการตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั่นเอง
ตามที่อาจารย์ทิโมธีได้รับการดลใจให้เขียนไว้ล่วงหน้าเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว
เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส
ชอบด่าว่า
ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน
ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ
หัวสูง
รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ
-II
Timothy 3:1-4
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้พึ่งพาในพระองค์
ดังลูกและบิดา ให้สามัคคีธรรมนำความความสัมพันธ์อันดีมาสู่กันเสมอ แต่เมื่อมนุษย์เผลอไปทำตามคำของมารร้าย จึงกลับกลายเป็นศัตรู และรู้ทั้งรู้ว่าการเป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น
ไม่มีวันจะชนะได้ แต่ขอบคุณพระเจ้าโดยความรักของพระองค์จึงส่งพระบุตรองค์เดียวนามว่า
“เยซู” ให้มาช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป และให้กลับคืนดีกับพระองค์ (รม.5.6-10)
พระองค์เจ้าข้า ขอพึ่งพาในพระองค์ พระผู้ทรงเลี้ยงดูดุจเลี้ยงแกะ
และทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ (สดด.23.1-6,ยน.10.11) ขอโปรดดูแลข้าพระองค์ทั้งกายและจิตวิญญาณตลอดไปด้วยเถิด
4. อธิษฐานขอการยกโทษ
ขออย่าพิโรธต่อความผิดบาปที่ได้ทำ (ข้อ 12)
และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์
เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น
ความผิดบาปที่ติดชีวิตของเรานั้น
มีทั้งสองส่วนคือ บาปที่สืบทอดมาตามสายเลือดตั้งแต่เริ่มต้นการทำบาปของมนุษย์คู่แรก
และบาปที่ทำเองของเราแต่ละคนที่ทำมากเสียจนมากกว่าบาปเริ่มต้นเสียแล้วกระมัง ดังนั้น จึงไม่มีใครปฏิเสธได้ จึงควรยอมรับว่า
ข้าคือคนบาป และสมควรถูกสาปให้สาสม ตามพระคัมภีร์ที่ว่า
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
-Romans 3:23
เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น ก็คือความตาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว
ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย
แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา - Romans 6:20-23
วันนี้ขอให้อธิษฐานสารภาพและยอมรับว่าตนเองเป็นเป็นคนบาป
เพื่อจะพ้นจากความแช่งสาป
โดยทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมผู้ทรงโปรดยกโทษบาปและชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้นได้ด้วยอำนาจของพระองค์
(1ยน.1.9) แม้ว่าบาปของเราจะหนักหนาสักเท่าใด พระองค์ทรงชำระให้สะอาดได้ (อสย.1.18)
และถ้าแม้ว่าได้ทำผิดทำบาปต่อใครก็ให้สารภาพและขอการยกโทษจากคนนั้นด้วย
และต่างฝ่ายต่างต้องยกโทษให้แก่กันและกัน
เหมือนดังที่พระเยซูคริสต์ยอมตายเพื่อไถ่บาปของเราแล้วเช่นกัน (มธ.6.14-15, มก.11.25,
ลก.17.3) เพื่อคำอธิษฐานของเราจะไม่มีอะไรขวางกั้นต่อพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สามีภรรยาที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันจะได้พรนี้มากขึ้นด้วย
(1ปต.3.7)
พระเจ้าพร้อมอ้าแขนรับคนที่สำนึกผิดและลุกขึ้นมาสารภาพกับพระบิดาเสมอ เพราะไม่มีใครไม่เคยทำผิด
แต่ชีวิตที่รับพรคือคนที่กลับใจและสารภาพ (ลก.15.11-24)
5. อธิษฐานขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย ขอให้หลีกไกลจากอันตราย
(ข้อ 13)
และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย
การร้ายทั่งปวง
ย่อมมาจากสิ่งชั่วร้าย “มาร” มันเป็นต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้าย เป็นพ่อแห่งความมุสา
(ยน.8.44) และมันนำพาให้มนุษย์หลงจากทางแห่งความดี มันทำให้มนุษย์มีจิตใจมืดมน
ไม่สนใจทางแห่งความจริง(2คร.4.4,อฟ.5.11)
มันมาเพื่อลัก ฆ่าและทำลาย (ยน.10.10ก)
หากหลีกไกลได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี แต่วิธีที่จะหลีกนั้น
ต้องทำทั้งสองด้าน คือ หนึ่ง อย่านำตัวเองเข้าไปสู่ปัญหาและอันตรายนั้นโดยไม่จำเป็น
สอง ขอการปกป้องดูแลจากพระเจ้า
เริ่มต้น เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี สถานที่ใดดีหรือไม่ดี คนไหนดีหรือไม่ดี อย่าให้วิถีของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นดีที่สุด
(สดด.1.1) ต้องปลอดภัยไว้ก่อน กันไว้ดีกว่าแก้
เพราะหากปล่อยให้แย่แล้วยากที่จะแก้ไข
อย่าคิดว่าตนเองมั่นคงแล้ว แน่แล้ว
และไม่ระวังเพราะจะเกิดความพังพินาศมาสู่ชีวิตได้
พระคำของพระเจ้าเตือนไว้ว่า
เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง -I Corinthians 10:12
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทราบว่า
จะช่วยคนชอบธรรมให้รอดพ้นจากการทดลองได้อย่างไร และทรงทราบวิธีกักขังคนชั่วไว้ ให้รับโทษเมื่อถึงวันพิพากษา โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่ปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกิเลสตัณหา และหมิ่นประมาทอำนาจของผู้ใหญ่ คนเหล่านี้กล้าและประพฤติตามอำเภอใจ
เขาไม่สะทกสะท้านที่จะกล่าวประณามศักดิ์สิริเทพ -II Peter 2:9-10
เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส
เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา
แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร -Ephesians 5:15-16
เมื่อดูแลและระมัดระวังตนเองอย่างดีแล้ว
จากนั้นยังต้องมอบทั้งหมดไว้ภายใต้การปกป้องดูแลของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง(ลก.1.37)
สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินนั้น
พระเจ้าสามารถจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ได้ (1คร2.9)
พระเจ้าทรงรู้ว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับกำลังและสถานการณ์ของเราแต่ละคน
และทรงเตรียมหนทางที่ดีสำหรับชีวิตเราเสมอ(1คร.10.13,สดด23)
6.
อธิษฐานด้วยความเชื่อ เพื่อยกย่องพระนามสืบไป (ข้อ 13)
หากเราอธิษฐานตามอย่างที่พระเยซูสอน
เริ่มต้นด้วยการร้องเรียกหาพระบิดา และสุดท้ายก็ให้จบคำร้องทูลด้วยความเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระองค์
เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
พระคัมภีร์ฉบับเก่าแก่บันทึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้
ย่อมมีความหมายแน่ เพราะแท้จริงคำตอบ
และความสำเร็จทุกอย่างนั้นมากจากพระเจ้า
เราจึงต้องประกอบไปด้วย “ความเชื่อ”
คือ เชื่อในตัวตนของพระเจ้า เชื่อในอำนาจของพระองค์ และเชื่อในความจริงตามพระคำของพระองค์
แม้วันนี้เราอาจรู้สึกว่ายังไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ แต่สัญญาณการตอบของพระเจ้านั้นมีทั้งจะบอกว่า...
ได้... ไม่ได้... ให้รอก่อน...หรือ
บางครั้งทรงสอนให้เราเติบโตพอที่จะเข้าใจเสียก่อน จึงจะได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้น
บางครั้งอาจไม่เป็นดังใจเราต้องการแต่สุดท้ายเป็นไปตามพระทัยพระเจ้าย่อมดีกว่า
เพราะพระทัยของพระเจ้านั้นสูงกว่าความคิดของมนุษย์
พระองค์ประสงค์ให้สิ่งดีที่สุดสำหรับแต่ละคนแน่นอน
พระเจ้าตรัสว่า...
เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา”
พระเจ้าตรัสดังนี้
“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” -Isaiah
55:8-9
การปรับความคิดและชีวิตของเราให้เข้ากับพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยการมอบกาย
ถวายชีวิตที่มีให้กับพระองค์เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยและเข้าใจว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิต
(รม.12.1-2)
7. อธิษฐานในนามพระเยซู และสู่คำลงท้ายว่า
“อาเมน”
จากคำสอนของพระเยซูในตอนอื่น ๆ ทำให้เห็นว่า
เราไม่สามารถอ้างชื่อของตนในการอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ เพราะยังไงมนุษย์ที่ยังอาศัยร่างกายที่ตกอยู่ในความบาป
และอยู่ท่ามกลางโลกที่เสื่อมทรามจากพระเจ้านั้น ไม่อาจยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์ผู้บริสุทธิ์ได้ด้วยตนเอง
แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำการไถ่ความบาปจากชีวิตของเราแล้วด้วยการตายบนไม้กางเขน ทรงโปรดให้เราเป็นคนชอบธรรม
คือได้การยอมรับจากพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซู (ฮบ.9.15,กจ.4.12) ดังนั้น สิ่งที่เราจะดำเนินการต่อพระเจ้านั้นจึงต้องผ่านผู้กลางคือ
“พระเยซู” เท่านั้น !
แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล
ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
คือการเป็นปฏิปักษ์กัน
โดยในเนื้อหนังของพระองค์
ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน
ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน -Ephesians
2:13-18
พระเยซูยืนยันว่า...
เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า
ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด
พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น”
-Matthew
18:19-20
ผู้เชื่อในยุคแรก และคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโลมักลงท้ายด้วยคำว่า
อาเมน (รม.9.5,1คร.14.6,อฟ.3.21,1ปต5.11,วว.22.21)
“อาเมน” เป็นภาษาฮีบรูหมายความว่า ให้เป็นเช่นนั้น โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เป็นได้ ด้วยความจริง
และอำนาจของพระองค์ (วว.3.14,5.14)
ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐานนะครับ
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)