29 ธันวาคม 2562

การประเมินผล - Evaluation โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
การประเมินผล - Evaluation
โดย  บัณฑิต  ดาแว่น  

การประเมินผล  เป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหาร  หากขาดการประเมินผล ย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะผิดพลาด ทั้งการผิดพลาดเรื่องใหม่ และผิดพลาดซ้ำรอยเดิม (อย่างไม่จำเป็น)  การประเมินผลยังมีความจำเป็น เพราะจะช่วยให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
จะประเมินผลอย่างไรจึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่องานและคนทำงาน ?  ในทางวิชาการมีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีทิศทาง ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละองค์กร แต่ละสถานการณ์ ที่จะนำเครื่องมือการประเมินผลมาใช้
การทำพันธกิจของพระเจ้า จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมมาใช้ประเมินผลเช่นกัน เพื่อจะช่วยให้บรรลุตามนิมิต วัตถุประสงค์อย่างสูงสุด  โดยไม่ส่งผลร้ายกระทบต่อทั้งคนและงานโดยไม่จำเป็น  อันเนื่องมาจากการประเมินผลที่ไม่เหมาะสม  เช่น หลายครั้งมุ่งประเมินเฉพาะผลของการดำเนินงานด้านปริมาณ โดยนับจำนวนผู้เชื่อเป็นหลัก จึงไปกดดันคนทำงาน(ผู้รับใช้) และด่วนสรุปว่าผู้รับใช้ทำงานไม่เกิดผล ทำให้เกิดความท้อใจ ทำให้หลายคนหยุด เลิก ลาออก หรือหมดไฟไปเลย  หรือไม่ก็ประเมินแบบสุดโต่งโดยโยนทุกอย่างไปที่การขัดขวางของมาร โดยไม่สนใจรายละเอียดอย่างแท้จริง เป็นต้น
ขอเสนอแนวคิดเพื่อประเมินผลการรับใช้ในพันธกิจของพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธกิจคริสตจักร องค์กร หน่วยงาน หรือโครงการพันธกิจต่างๆ   
ควรมีหลักการประเมินผลห้าด้าน ได้แก่  หนึ่ง ด้านวัตถุประสงค์ของพันธกิจ   สอง ด้านวิธีการดำเนินงาน  สาม ด้านพื้นที่  สี่ ด้านผู้ปฏิบัติงาน  และ ห้า ด้านสงครามฝ่ายวิญญาณ
1.  ด้านวัตถุประสงค์ของพันธกิจ  
การประเมินผลโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะวัตถุประสงค์เป็นตัวชี้วัดถึงสิ่งที่ต้องการตั้งแต่เริ่มต้น  สำหรับพันธกิจของพระเจ้าอาจเปรียบเหมือนนิมิต เป้าหมาย นั่นเอง  ทั้งนี้จะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน  เจาะจง สามารถวัดได้ ปฏิบัติได้ และให้เวลาที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นเสียก่อนจึงจะนำมาเป็นประเด็นในการประเมินผลพันธกิจ  เปรียบเสมือนการยิงธนูที่มีเป้าหมายอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่ยิงออกไปแล้วค่อยวาดเป้าหมายทีหลัง  เช่น  มีวัตถุประสงค์ประกาศข่าวประเสริฐโดยการแจกใบปลิวในเขตอำเภอเมืองทุกสัปดาห์ภายในปี 2019  ก็จะสามารถประเมินผลออกมาได้ว่า ผู้รับผิดชอบได้ทำตามวัตถุประสงค์หรือไม่และมีผลลัพธ์อย่างไร
จำเป็นต้องดูเบื้องต้นก่อนว่าได้ประเมินผลงานตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ และอาจดูต่อไปได้ว่า มีวัตถุประสงค์ มีนิมิตที่ชัดเจนหรือไม่ เพราะหากไม่มีทิศทางคงไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง  มักจะนำไปสู่ความล้มเหลวมากกว่า ดังพระคัมภีร์ที่สอนว่า.. ที่ไหนที่ไม่มีการนำประชาชนก็ล้มลง   แต่ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามากย่อมมีความปลอดภัย (สุภาษิต 11.14,29.18)
ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย   ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม (1โครินธ์ 9.26)
2. ด้านวิธีการดำเนินงาน 
หากวัตถุประสงค์ดี แต่วิธีการดำเนินงานไม่เหมาะก็ส่งผลให้งานนั้นล้มเหลวได้เช่นกัน  ดังนั้น นอกจากดูวัตถุประสงค์ ดูนิมิต เป้าหมายของหน่วยงานต้นสังกัดและผู้ปฏิบัติงานว่าสอดคล้องกันแล้ว  ยังต้องประเมินผลด้านวิธีการทำงานว่าเหมาะสมกับเป้าหมาย ลักษณะงาน พื้นที่หรือลักษณะกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งยังต้องวิเคราะห์ว่าวิธีการดังกล่าวเหมาะกับผู้ปฏิบัติงาน หรือแนวทางฝ่ายวิญาณหรือไม่เพียงใด  เช่น  หากต้องการแจกใบปลิวในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องสำรวจให้แน่ใจว่าจำนวนคนที่อ่านหนังสือออกมีเท่าไหร่ หรือหากจะแจกสื่อภาพและเสียง ก็ต้องทราบว่ามีเครื่องที่จะเปิดรับสื่อนั้นได้หรือไม่ หรือแม้แต่จะกระจายเสียงวิทยุ แพร่ภาพทางโทรทัศน์ ช่วงเวลาใด กับกลุ่มคนประเภทไหน ด้วยข้อมูล และวิธีการรูปแบบใด ยังต้องคำนึงถึงในทุกด้าน มิฉะนั้นข่าวสารที่นำเสนอออกไปจะเป็นเพียงการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
การกำหนดวิธีการที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการเกาให้ถูกที่คัน แก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด  ไม่ใช่เหมือนคนที่หาลูกกุญแจในที่สว่าง ทั้งที่มันหล่นอีกที่หนึ่งซึ่งมืดกว่า อย่างนี้หาเท่าไหร่คงไม่เจอ พระคัมภีร์สอนไว้ว่า...หากขวานทื่อแล้ว จะต้องใช้แรงมาก ซึ่งหมายถึงใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม ทำให้เสียแรงและนำไปสู่ความล้มเหลว  แต่หากคิดให้ดี ลับให้ขวานคมก็จะเบาแรงและนำไปสู่ความสำเร็จได้
            ถ้าขวานทื่อแล้ว  และเขาไม่ลับให้คม    เขาก็ต้องออกแรงมาก  
                แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ
  
(ปัญญาจารย์ 10.10)
อาจารย์เปาโลเป็นต้นแบบที่ดีในการรู้จักปรับตัวให้เหมาะสมกับคนแต่ละประเภท เพื่อจะช่วยเขาให้รู้จักพระเจ้า (1โครินธ์ 9.19-23) ท่านได้แนะนำว่า  จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา   โดยฉวยโอกาส จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ   ปรุงด้วยเกลือให้มีรส   เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน (โคโลสี 4.5-6)
ดังนั้น ประเมินดูว่าวิธีการที่ใช้อยู่นั้นเหมาะสมหรือไม่ เพื่อจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสมต่อไป
3.  ด้านพื้นที่
 พื้นที่การดำเนินงาน เป็นอีกด้านที่มีความสำคัญต่อการทำงานและการประเมินผล เพราะลักษณะของพื้นที่ที่ต่างกัน แม้จะใช้วัตถุประสงค์ วิธีการ หรือ คนทำงาน ใช้เวลา ทรัพยากรเหมือนกัน แต่อาจได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน   จึงไม่อาจเหมารวมว่าการทำงานนั้นไม่เกิดผล หากยังไม่ได้ประเมินด้านพื้นที่ ทำเลการดำเนินงานด้วย  พื้นที่ในเมืองใหญ่ย่อมแตกต่างจากชนบท  ทั้งด้านขนาดพื้นที่ สภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ลักษณะประชากร ทั้ง เพศ วัย การศึกษา ความเชื่อ อาชีพ รายได้ เป็นต้น           
คำอุปมาเรื่องการหว่านพืชที่ตกลงบนดินสี่ประเภท(มัทธิว 13.1-9,18-23) เป็นตัวอย่างที่ดีที่อธิบายลักษณะของพื้นที่ในชีวิตของมนุษย์ได้อย่างครบด้าน  ทั้งในส่วนที่เป็นดังพื้นถนน เมื่อเมล็ดพระวจนะตกลงไปแล้วไม่เกิดผลเพราะมีนกมาจิกกินไปหมดเสียก่อน  ดินที่มีหินก็เช่นกันแม้จะมีบางส่วนที่งอกโดยเร็วแต่ก็ตายเร็วเช่นกัน  ดินที่มีหนามปกคลุมก็เป็นอุปสรรคที่มารบกวนทำให้การทำงานนั้นไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ดินดีสามารถทำให้เกิดผล สามสิบเท่า หกสิบเท่า ร้อยเท่า
ทุกคนที่ทำงานล้วนต้องการประสบความสำเร็จและอยากให้เกิดผลดีทั้งนั้น  แต่การประเมินผลโดยไม่คำนึงถึงลักษณะของพื้นที่ ดังที่กล่าวมาอาจส่งผลเสียต่อทั้งงานและคนทำงาน  จึงควรพิจารณาให้ครบด้านว่า ได้ทำตามนิมิต ด้วยวิธีการที่เหมาะสม และอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมหรือไม่  หากทำอย่างดีแล้ว แต่พื้นที่ไม่เหมาะ อาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนพื้นที่การทำงานเพื่อให้เกิดผลดีกว่าก็ต้องทำ ไม่ใช่เปลี่ยนคนงานเท่านั้น  การประเมินพื้นที่อย่างเหมาะสมยังจะช่วยเลือกใช้คนและวิธีการที่เหมาะสมได้อีกด้วย
4. ด้านผู้ปฏิบัติงาน 
องค์ประกอบสำคัญที่จะให้งานประสบผลสำเร็จ คือ “คน” หรือ ผู้ปฏิบัติงาน หรือ ผู้รับใช้ นั่นเอง จะต้องคัดคนที่เหมาะสมกับงาน เหมาะกับวิธีการ เหมาะกับพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจะไม่ผิดหวังตั้งแต่ก่อนจะเริ่มงาน ยังต้องเข้าใจด้วยว่า หลักการบริหารทั้งส่วนของ งาน เงิน วัสดุ และ คน นั้น การบริหารคน ถือเป็นเรื่องสำคัญและยากที่สุด  การจะบังคับ ขู่เข็น ให้เป็นไปตามที่ผู้บริหารกำหนดทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบุคลิก ลักษณะ นิสัย องค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก เบื้องหน้า เบื้องหลัง ของแต่ละคนนั้นจะเปรียบเทียบหรือสรุปแบบเดียวกันไม่ได้
 การประเมินผล จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงบุคคลผู้ปฏิบัติงานไปได้ ว่าเป็นคนที่เหมาะกับงานหรือไม่ มีนิมิตสอดคล้องกับเป้าหมาย บุคลิก นิสัยสอดคล้องกับพื้นที่หรือไม่ มีความสามารถใช้วิธีการตามที่กำหนดไว้ได้มากน้อยแค่ไหน  ความสามารถ ของประทานเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อจะไม่ใช้คนที่ไม่เหมาะกับงานแล้วทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งงานและคนนั้น ไปอย่างน่าเสียดาย
ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก  
แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
  
(สุภาษิต 13.17)
การใช้คนและประเมินคนอย่างเหมาะสมย่อมเป็นผลดีกว่า
5.  ด้านสงครามฝ่ายวิญญาณ
ในฐานะคนและงานของพระเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคำนึงถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์เอเฟซัส 6.10-18 สอนว่า  เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับสิ่งที่มองเห็น แต่กำลังต่อสู้กับเหล่าวิญญาณในสถานฟ้าอากาศ  ดังนั้น จำเป็นจะต้องรู้คู่ต่อสู้ที่แท้จริงและใช้อาวุธที่เหมาะสม จึงจะสามารถต่อกรกับศัตรูได้ มารซาตานมันคือ ผู้ขัดขวางตัวฉกาจ เป็นม่านบังตาทำให้ผู้คนไม่เห็นความจริง ทำให้จิตใจคนหันเหจากทางของพระเจ้า มันใช้วิธี รูปแบบต่าง ๆ นำคนออกนอกทางของพระเจ้า  จึงกล่าวได้ว่าการงานที่ล้มเหลว การไม่ประสบความสำเร็จ การไม่เกิดผล ความบาปชั่วทั้งปวงนั้น มีมารคอยบงการอยู่เบื้องหลัง...  แต่...อย่าด่วนสรุปอย่างนี้ด้านเดียว หากยังไม่ได้ประเมินด้านวัตถุประสงค์ วิธีการ พื้นที่ และคนทำงานควบคู่กันไปด้วย เพราะจะทำให้เกิดความงมงายและมักง่ายเกินไปที่จะโยนความผิดทั้งปวงให้มารโดยไม่รับผิดชอบใด ๆ ที่ควรกระทำ !  แต่หากประเมินมาแล้วและผลสรุปว่าเป็นเพราะปัญหาฝ่ายวิญญาณจริง ก็ให้สู้ด้วยสงครามฝ่ายวิญญาณอย่างหนักแน่นต่อไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจละเลยในการใช้องค์ประกอบต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วได้  เพราะปัญหา อุปสรรค มักมีองค์ประกอบหลายด้านที่มีส่วนทำให้เกิดผลออกมาเช่นนั้น  ดังที่พระเยซูสอนสาวกกรณีคำถามเกี่ยวกับชายตาบอดว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
            ...เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น   ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า   “พระอาจารย์เจ้าข้า   ใครได้ทำผิดบาป   ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา   เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูตรัสตอบว่า   “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป   แต่เขาเกิดมาตาบอด   เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา (ยอห์น 9.1-3)
ทั้งนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกสิ่งยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าเสมอ
 การประเมินผล มีความสำคัญและมีผลต่อทุกฝ่ายเสมอ ยังต้องมีการประเมินเพื่อจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยน การพัฒนา การต่อยอดอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพียงแต่ควรมีหลักการที่เหมาะสมในการตัดสิน เพื่อจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นปัญหาต่อคนของพระเจ้าและงานของพระองค์โดยไม่จำเป็น  และอย่าลืมว่าเราต่างเป็นเพียงคนงานของพระเจ้า ผู้กำลังปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย สุดท้ายผู้ประเมินผลและตัดสินที่แท้จริงคือ “พระเจ้า”
เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์   เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้   แล้วแต่จะดีหรือชั่ว (2 เธสะโลนิกา 5.10)
ผู้รับใช้มีหน้าที่ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ส่วนการเกิดผลเป็นของพระเจ้า (1โครินธ์ 3.5-15)

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

22 ธันวาคม 2562

เรื่องสำคัญแห่งคริสตมาส : Christmas story โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

เรื่องสำคัญแห่งคริสตมาส : Christmas story
โดย บัณฑิต ดาแว่น  (มือใหม่หัดเขียนกลอน)

กล่าวถึงเรื่อง สำคัญ แห่งคริสตมาส      
ในโอกาส เฉลิมฉลอง วันประสูติ
พระเป็นเจ้า เรียกใช้ ให้เป็นทูต             
เพื่อพิสูจน์ รักแท้ จากเบื้องบน   
ครั้งเก่าก่อน มนุษย์ พลาดผิดพลั้ง         
ไม่เชื่อฟัง ดื้อรั้น พลันมืดมน
แต่ด้วยรัก พระเป็นเจ้า เฝ้าอดทน         
ทรงโปรดชน ด้วยสัญญา จะมาไถ่
พงษ์พันธ์หญิง ความจริง ตามแผนการ 
โปรดประทาน ด้วยฤทธิ์ ของเทิดไท้
เสด็จมา ในโลก  ช่วยพ้นภัย                 
ทรงยิ่งใหญ่ และทำลาย หัวของมาร  

วันเวลา ผ่านพ้น  หลายพันปี
ยังทรงมี แผนวิถี  ที่เล่าขาน
เหล่าผู้เผย วจนะ ยังทำการ                    
ประกาศผ่าน พยากรณ์ ตามบัญชา
หญิงคนหนึ่ง ตั้งครรภ์ ด้วยฤทธิ์เดช     
เอลีซาเบธ หญิงหมัน และชรา
ยังก่อเกิด ลูกชื่อ ยอห์นบัพติสมา          
เศคาริยาห์ พูดได้ เสียงยืนยัน
ด้วยฤทธา สูงสุด เป็นไปได้                  
ไม่สงสัย ใจมั่น ตามประสงค์
ทูตสวรรค์ ประกาศ ด้วยมั่นคง             
ข่าวขององค์ เยซู ผู้ทรงชัย

สาวมารีย์ พรหมจรรย์  ถูกหมั้นแล้ว    
ชายใจแก้ว มีธรรม จะหาไหน
ชื่อโยเซฟ ยืนยัน  ด้วยหัวใจ                 
ยอมรับใช้ ผู้ไถ่ ด้วยวิญญา
พระเยซู ประเสริฐ คือองค์ไท้               
พระทรงได้ สละเนา ที่เมืองฟ้า
เสด็จมา เป็นบุตร สุดพรรณนา             
นอนรางหญ้า สามัญ เหมันต์ฤดู
ทูตสวรรค์ รับใช้ องค์เที่ยงแท้
บอกข่าวแก่คนเลี้ยงแกะผู้อดสู
พวกเขาจึง เร่งรี่ ปรี่ไปดู
องค์เยซู บรรทม ผ้าพันกาย

โหราจารย์ ศึกษา ศาสตร์ดวงดาว         
ส่องสกาว วาววับ ขับแสงฉาย              
ก้าวเดินตาม แสงดาว แม้สุดไกล          
พบผู้ไถ่ จึงถวาย ของล้ำค่า
เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ           
พวกเขามอบ นมัสการ สุดสรรหา
หลังจากนั้น เดินทาง ไม่กลับมา           
เหตุสั่งฆ่า ของเฮโรด โกรธโกรธา

เพราะพระเจ้า ทรงรัก คนในโลก         
รู้ทุกข์โศก จึงส่ง พระบุตรมา
เพื่อจะช่วย ผู้เชื่อ และศรัทธา                
ให้กลับมา สู่ทรวง สรวงสวรรค์
กลับคืนดี พระเจ้า พระบิดา                  
เอ่ยวาจา พระองค์ ทรงนิรันดร์
สิทธิ์เป็นบุตร สุดรัก เชื่อมสัมพันธ์       
รับนิรันดร์ ชีวิต สนิทพระองค์

นามเยซู คือผู้  ช่วยให้รอด                    
ยอมม้วยมอด ถูกฝัง ในอุโมงค์
เพียงสามวัน เป็นขึ้น ยั่งยืนยง               
แล้วพระทรง สู่สวรรค์ นิรันดร
ทรงสัญญา เสด็จกลับ รับผู้เชื่อ             
เหตุผลเพื่อ นำสู่ ฟ้านคร
อยู่กับองค์ สูงสุด เมืองอมร                   
รับพระพร คืนวัน สว่างไสว
พระวิญญาณ บริสุทธิ์ คอยพิทักษ์        
ยังปกปักษ์ รักษา มัดจำไว้
ทรงประทาน สันติสุข เกินเข้าใจ          
เปลี่ยนแปลงให้ ชีวิต กิจรุ่งเรือง

อย่ารอช้า กลับมา หาพระเจ้า                
มาคอยเฝ้า นมัสการ ด้วยสุดเสียง
ร้อยบทเพลง ขับขาน จ้อยจำเรียง         
ด้วยพร้อมเพรียง คริสตมาส ประกาศนาม

...อาเมน


แหล่งอ้างอิงของเรื่องราวที่สำคัญ  จากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy bible)
(ปฐก.3.15); (อสย 7.14,9.6);  (ลก.1);  (ลก.2, มธ.1.18-25) ; (มธ.2);  (ยน.3.16,รม.10.9-11,ยน.1.12); (1คร.15.1-4);  (อฟ.1.111-14,ฟป.4.7-8,ยน.14.27)

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)


18 ธันวาคม 2562

พระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ - Jesus the successful life. โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต
พระเยซูคริสต์ 
ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 
 Jesus the successful life.
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 
ช่วงเทศกาลคริสตมาส ได้อ่านเรื่องราวการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์มากเป็นพิเศษ วลีที่ได้พบบ่อย  เป็นนัยสำคัญของชีวิตและเหตุผลการมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตายไถ่บาปผิดให้กับทุกคน คือ
“ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า”  
พระเจ้ามีแผนการช่วยให้มนุษย์รอดบาปนับตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก (อฟ.1.4-10) และแสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ (ปฐก.3.15)จนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสมตามแผนการนั้น (กท.4.4)
พระคัมภีร์บันทึกถึงการมาประสูติของพระเยซูไว้ล่วงหน้าประมาณ700 ปี
เธอจะประสูติบุตรชาย   แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า   เยซู   เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา”
ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า   ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด  หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง   และเขาจะเรียกนามของท่านว่า   อิมมานูเอล   (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)  Matthew 1:21-23
พระคัมภีร์บันทึกถึงสถานที่ประสูติของพระเยซูไว้ล่วงหน้าประมาณ 500 ปี  โดย เจาะจงว่าต้องเป็นหมู่บ้านเบธเลเฮม เอฟราธาห์ ไม่ใช่เบธเลเฮมที่อื่น ๆ ซึ่งในเวลานั้นมีชื่อคล้ายกันหลายแห่ง
โอ  เบธเลเฮม  เอฟราธาห์  แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูล ของยูดาห์    จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา   เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล    ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า   จากสมัยโบราณกาล   Micah 5:2

คำประกาศล่วงหน้าตามพระคัมภีร์สำเร็จในชีวิตพระเยซู

คำประกาศล่วงหน้าตามพระคัมภีร์
สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
มาประสูติที่บ้านเบธเลเฮม
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
โอ  เบธเลเฮม  เอฟราธาห์  แต่เจ้า  
 ผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์   จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา   เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล    ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า   จากสมัยโบราณกาล
   Micah 5:2
พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด   Matthew 2:1
บังเกิดจากหญิงพรหมจารี
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้น  องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง   ดูเถิด  หญิงสาว[ ในฉบับเสปตัวยินต์   คือฉบับกรีกโบราณใช้คำที่แปลว่า   สาวพรหมจารีได้ ] คนหนึ่งจะตั้งครรภ์   และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง   และเขาจะเรียกนามของท่านว่า   อิมมานูเอล  Isaiah 7:14
เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้   คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น   เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว   ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า   มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  Matthew 1:18
พระหัตถ์และเท้าถูกแทง
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
พระเจ้าข้า   บรรดาสุนัขล้อมรอบข้าพระองค์ไว้  
 คนทำชั่วหมู่หนึ่งล้อมข้าพระองค์  
 เขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์
   Psalms 22:16

เมื่อมาถึงตำบลหนึ่งที่เรียกว่ากระโหลกศีรษะ   เขาจึงตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น... Luke 23:33
รับแบกความผิดบาปแทนมนุษย์
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
 เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ  
  เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง  
  และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน  
  ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน
  
Isaiah 53:6

พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์   ที่ต้นไม้นั้น   เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายจากบาปได้   และดำเนินชีวิตตามคลองธรรม   ด้วยบาดแผลของพระองค์   ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย I Peter 2:24
ทรงถูกพระเจ้าทอดทิ้ง
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
พระเจ้าข้า  พระเจ้าข้า   ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย    เหตุใด  พระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์   Psalms 22:1
ครั้นประมาณบ่ายสามโมง   พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า   “เอลี   เอลี   ลามาสะบักธานี”   แปลว่า   “พระเจ้าของข้าพระองค์   พระเจ้าของข้าพระองค์   ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย Matthew 27:46
ทหารจับฉลากแบ่งชุดฉลองพระองค์
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
เสื้อผ้าของข้าพระองค์เขาแบ่งปันกัน  
 ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับฉลาก กัน
   Psalms 22:18
เขาตรึงพระองค์ที่กางเขน   แล้วเขาก็เอาฉลองพระองค์จับฉลากแบ่งปันกัน   เพื่อจะรู้ว่าใครจะได้อะไร Mark 15:24


กระดูกไม่หักแม้แต่ซี่เดียว
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงรักษากระดูกเขาไว้ทั้งหมด  
 ไม่หักสักซี่เดียว
  Psalms 34:20

แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซู   และเห็นว่า   พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว   เขาจึงมิได้ทุบขาของพระองค์ John 19:33
ชาวยิวไม่ยอมรับ
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง  
  เป็นคนที่รับความเจ็บปวด   และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้    และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้   ท่านถูกดูหมิ่น  และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน
   Isaiah 53:3
พระองค์ได้เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์   และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ John 1:11
ถูกเพื่อนสนิทคนหนึ่งทรยศ
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
แม้ว่าเพื่อนในอกของข้าพระองค์   ผู้ซึ่งข้าพระองค์ไว้วางใจ   ผู้รับประทานอาหารของข้าพระองค์  ก็ยกส้นเท้าใส่ ข้าพระองค์   Psalms 41:9
ฝ่ายยูดาสอิสคาริโอท   เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคน   ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิต   เพื่อจะชี้พระองค์ให้เขาจับ Mark 14:10
ถูกขายด้วยราคา 30 เหรียญเงิน
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
แล้วข้าพเจ้าจึงพูดกับเขาว่า   “ถ้าท่านเห็นควรก็ขอค่าจ้างแก่เรา   ถ้าไม่เห็นควรก็ไม่ต้อง”   แล้วเขาก็ชั่งเงินสามสิบเชเขลออกให้แก่ข้าพเจ้าเป็นค่าจ้าง Zechariah 11:12
ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อยูดาสอิสคาริโอท   ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิต ถามว่า   “ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์ให้ท่านจับ   ท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าเท่าไร”   ฝ่ายเขาก็ให้เงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญเงิน Matthew 26:14-15
ถูกตรึงพร้อมกับคนบาป
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
...และถูกนับเข้ากับคนทรยศ   ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก    และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ Isaiah 53:12
คราวนั้น  เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์   ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง Matthew 27:38
ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
 สำเร็จในชีวิตพระเยซูคริสต์
เพราะพระองค์มิได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับแดนผู้ตาย   หรือให้ธรรมิกชนของพระองค์ต้องเห็นปากแดนนั้น   Psalms 16:10
ทูตสวรรค์นั้นจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า   “อย่ากลัวเลย   เรารู้แล้วว่า   พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขน 6พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่   ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น... Matthew 28:5-6

ชีวิตของพระเยซู พระองค์ทำและเป็นทุกอย่างตามที่พระเจ้าพระบิดามีพระประสงค์ไว้ทุกประการ  หลายอย่างสำเร็จไปแล้ว และอีกหลายอย่างจะได้เห็นในอนาคต
พระเยซูยืนยันเช่นกันว่าทรงมาในโลกนี้เพื่อทำทุกอย่างให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า
นายแพทย์ลูกาบันทึกเรื่องราวของพระเยซูในช่วงเริ่มต้นพันธกิจไว้ว่า
...พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ   เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น   พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย   และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์   เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก   ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า   เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้     เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน   พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย   ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก   ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ    และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า  
 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่   แล้วทรงนั่งลง   และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์ พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า  
“คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”  Luke 4:15-21

พระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง คือ สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า

เมื่อเรา “เชื่อ” ตามพระวจนะ “ทำ" ตามพระวจนะ จะ “สำเร็จ” ตามพระวจนะ...อาเมน

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)