17 ตุลาคม 2559

ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน ? โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย ศาสนาจารย์ บัณฑิต  ดาแว่น

ความอุปถัมภ์
ของข้าพเจ้ามาจากไหน ?  

ความมั่นคงของชีวิต เป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา  แต่จะหาความมั่นคงได้จากที่ไหน ถึงจะยั่งยืน  ซึ่งต่างคนคงต่างวิธีการ และต่างแหล่งที่มาของความมั่นคง  บ้างประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว
สำหรับผู้เชื่อพระเยซูคริสต์  ความมั่นคงของเราอยู่ที่ไหน ?  โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ความขัดสน ความทุกข์ หรือปัญหา  คุณมีแหล่งข้อมูล มีแหล่งแห่งขุมพลังที่เติมเต็มชีวิตได้ที่ไหน และอย่างไร  หากยังไม่สามารถค้นพบแหล่งสนับสนุนที่แท้จริงได้ นั่นหมายถึง คุณอาจจะต้องล้มลุกคลุกคลาน ทรมาน ขมขื่น ฝืนทน อยู่วันแล้ววันเล่า  ทั้งๆ ที่มีขุมพลังแห่งการสนับสนุนอยู่แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้
ในสมัยโบราณกาล  มีผู้ติดตามพระยาเวห์ ได้พบแหล่งแห่งความอุปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่นี้  พวกเขาเขียนเป็นบทเพลงนมัสการเพื่อรำลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระเจ้า ทั้งในยามกลางวันและกลางคืน คือ ทั้งในยามที่ชีวิตสว่างไสวรุ่งโรจน์และในยามมืดมนข้นแค้น  ด้วยบทเพลงที่ว่า ...
ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา  
 ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน  
 ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า  
 ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
... (สดุดี 121.1-2)

เคล็ดลับประการสำคัญคือ "เงยหน้าขึ้น"  และมองให้เห็นผู้อุปถัมภ์ที่แท้จริง  ไม่ใช่แค่เห็นภูเขาที่ขวางกั้น แต่เห็น พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เสมอ เพียงแต่จะเงยหน้าขึ้นและเห็นหรือไม่
หลายคน เมื่อเผชิญกับความมืดมนและทนทุกข์ มักจะจมอยู่กับปัญหาและเกิดความรู้สึกสงสารตนเอง แสดงอาการก้มหน้าอมทุกข์ ซึ่งมักจะตามมาด้วยการโอดครวญ เรียกร้องความสนใจให้คนอื่นมาช่วย หรือ น้อยใจที่ไม่มีใครมาสนใจให้ความช่วยเหลือดั่งที่ต้องการ  และยิ่งจะเพิ่มความทุกข์ทรมานหากมีการทำร้ายตนเอง และทำร้ายคนอื่นด้วย  ในความคิดของเขารู้สึกว่านี่เป็นทางออกที่จะหาความช่วยเหลือ  แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะคนอื่นๆ ก็อาจเผชิญกับความทุกข์และปัญหาของตนเช่นกัน  ความเป็นจริงคือ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครที่จะต้องมารับผิดชอบคุณทั้งชีวิตได้  การที่เขาเคยช่วยคุณได้บ้างก็นับว่าเป็นสิ่งดี และหากเขาไม่ได้ช่วยคุณก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเขา  จึงต้องระวังจะไปฝากความหวังไว้กับมนุษย์ทั้งหมดไม่ได้  เพราะคุณกำลังเรียกร้องผิดที่ผิดทางแล้ว !
ต้องเงยหน้า และเข้าหาพระเจ้าผู้เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูที่แท้จริงให้ได้  จึงจะได้การสนับสนุนและเกิดความมั่นคงที่ยั่งยืน  พระเจ้ายังมีวิธีการที่สูงส่งกว่าความคิดของคุณและผมอีกเยอะ(อสย.55.9)  และสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้นั้น คือสิ่งที่เกินความเข้าใจ ที่ไม่อาจหาได้ในมนุษย์คนใดคนหนึ่ง (ยน.14.27,ฟป.4.7)
พระเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้างในการอุปถัมภ์ชีวิตของเรา จากพระธรรมสดุดี บทที่ 121 ข้อที่ 3 - 8 ได้บทเรียนดังนี้...
1.  พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป (3)
2.  พระองค์จะไม่ง่วงหรือหลับไป (3-4)
3.  พระองค์ทรงเป็นผู้อารักขา  ทรงเป็นที่กำบังชั้นดี (5)
4.  พระองค์ไม่ปล่อยให้ถูกโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืน (6)
5. พระเจ้าอารักขาชีวิตของท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น (7)
6.  พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน   (8)
7.  พระเจ้าอารักขาท่านตลอดไปได้...ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์  (8)

เงยหน้าหาพระผู้อุปถัมภ์ในชีวิตของคุณให้เจอนะครับ

พระองค์พร้อมสนับสนุนคุณอยู่แล้ว !

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

12 กันยายน 2559

ข้อคิดเพื่อชีวิตออนไลน์ โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต                                       โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

ข้อคิดเพื่อชีวิตออนไลน์ 

สุภาษิตโบราณกล่าวว่า...ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก   แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้   (Proverbs 13:17) 
ยุคดิจิตอล การสื่อสารแบบออนไลน์มีอิทิธิพลต่อชีวิตอย่างมาก  โดยเฉพาะคนไทยเป็นคนที่ใช้สื่อออนไลน์ติดอันดับต้นๆของโลก  ข้อมูลพบว่า จากจำนวนประชากรทั้งหมด 68 ล้านคน  มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 38 ล้านคน คิดเป็น 56% ของประชากร  มีจำนวนเบอร์มือถือหรือซิมการ์ดที่ลงทะเบียนมากกว่า 82.78 ล้านเบอร์ มากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมด  มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียผ่านมือถือ 34 ล้านคน  นั่นหมายความว่าทุกวินาทีมีการสื่อสารผ่านทางสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่เรียกกันว่า "สังคมก้มหน้า" นั่นเอง 
            เทคโนโลย์การสื่อสารนั้นมีทั้งประโยชน์อนันต์ และโทษมหันต์  ดังนั้นจึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า  จะสื่อสารอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น  จึงขอฝากข้อคิดเพื่อชีวิตออนไลน์ (On line)   ดังนี้...
1.  ข้อมูลที่จะสื่อสารนั้นเป็นความจริงหรือไม่
            ก่อนจะโพสต์ หรือแชร์ ข้อมูลออกไปโปรดหยุดคิดสักนิดว่า ข้อมูลนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แหล่งที่มาเชื่อถือได้หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ไหม  หากไม่แน่ใจก็ควรยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลนั้นจะปลอดภัยกว่า เพราะหากข้อมูลที่เป็นความเท็จถูกเผยแพร่ไปโดยทำให้เกิดความเข้าใจว่าผิดคิดว่ามันเป็นความจริง ยิ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง  บางคนคิดว่าตนเองสามารถเผยแพร่ข้อมูลเร็วที่สุด จึงไม่ทันยั้งคิด ก็มักนำชีวิตสู่ปัญหาโดยไม่จำเป็นมีให้เห็นมากมากแล้ว เพราะในโลกออนไลน์นั้นข้อมูลที่นำเสนอไปแล้ว ๆม่อาจจะเรียกกลับคืนได้ แม้คุณอาจจะลบออกไป แต่ไม่มีทางลบออกจากระบบออนไลน์ได้เลย
2.  ข้อมูลที่จะสื่อสารนั้นจะส่งผลกระทบที่เสียหายหรือไม่
            ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโลกออนไลน์นั้นมากเกินกว่าจะประเมินค่าออกมาได้  ดังนั้น คิดหน้าคิดหลังก่อนว่า คำพูดนั้น ภาพนั้น ข้อความนั้น ที่คุณแสดงความรู้สึกออกมาและโพสต์ลงในสื่อออนไลน์ หรือ ได้รับมาจากคนอื่น ซึ่งหลายครั้งไม่ค่อยรู้ที่มา ไม่รู้ช่วงเวลาว่าเป็นเรื่องที่เก่าหรือใหม่ เรื่องจริงหรือเท็จ หากคุณโพสต์ไป แชร์ไป อาจส่งผลเสียหายย้อนกลับมาที่ตัวเอง หรือ เสียหายต่อบุคคลอื่นได้
3.  ข้อมูลที่จะสื่อสารนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
            เมื่อก่อนการสื่อสารมักจะอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อย แต่ปัจจุบันทุกคนสามารถสื่อสารออกไปได้โดยง่ายผ่านสื่อออนไลน์  กฎหมายที่มีอยู่อาจไม่สามารถครอบคลุม หรือทันสมัยต่อการสื่อสารในยุตดิจิตอลได้  แต่ยังต้องคำนึงเสมอว่า ข้อมูลที่คุณจะสื่อสารออกไปนั้นอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายหรือไม่ เพื่อจะไม่ทำสิ่งผิดโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งการ "ไม่รู้" ไม่สามารถใช้เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดได้  จึงควรศึกษาข้อกฎหมายเบื้องต้นทั้งทางอาญาและแพ่ง  แม้แต่กฎหมายเกี่ยวสิทธิประโยชน์ก็ยิ่งต้องคำนึงถึงว่า สิ่งที่จะทำลงไปนั้นละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นหรือไม่ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ เช่น การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต ผู้ป่วย เด็ก หรือบุคคลอื่นโดยไม่เหมาะสม ภาพที่อุจาดตา เป็นต้น
4.  ข้อมูลที่จะสื่อสารนั้นถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่
            ไม่มีกฎหมายใดสามารถครอบคลุมและเท่าทันได้ทุกเรื่อง แต่หลักจริยธรรม ยังเป็นตัวยับยั้งอีกขั้นตอนหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้ เพื่อป้องกันเหตุอันไม่ควรเกิดไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น  บางจริยธรรมมีลายลักษณ์อักษร แต่บางครั้งอาจไม่มี แต่ในจิตใจของแต่ละคนย่อมมีมโนธรรมที่เป็นเครื่องมือช่วยกรองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันจะอยู่ลึกเกินกว่าจะนำมาพิจารณาหรือไม่เท่านั้นเอง  เพราะบางเรื่องแม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจไม่เหมาะสมตามหลักจริยธรรม และไม่ควรกระทำตามหลักมโนธรรมที่ดีงาม  จึงควรคิดให้ดีก่อนสื่อสารออกไป
5.  ข้อมูลที่จะสื่อสารนั้นเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่
            ในฐานะเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า เรามีหลักพิจารณาลึกไปกว่ากฎหมายและจริยธรรม นั่นคือ จิตสำนึกผิดชอบตามหลักพระคัมภีร์ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า สิ่งนั้น เป็นเหตุให้เกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่  เป็นเหตุให้พระนามพระเจ้าเสื่อมเสียหรือไม่ พระวิญญาณของพระเจ้าจะเสียพระทัยหรือไม่ ทำให้เป็นสิ่งสะดุดต่อผู้อื่นหรือไม่  เป็นต้น


            จึงฝากข้อคิดเพื่อชีวิตออนไลน์ทั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้พิจารณาก่อนโพสต์ ก่อนแชร์ ก่อนไลค์ หรือ ก่อนแสดงความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น...ผมเองก็คิดมานานพอควรที่จะเขียนและเสนอบทความนี้เช่นกัน...

          หากชอบก็กดไลค์ ใช่ก็กดแชร์ แต่...คิดให้ดีเสียก่อนนะครับ !

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

12 สิงหาคม 2559

One -วันเมีย...ทั้งชีวิต โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต
One-วันเมีย...ทั้งชีวิต
โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 
เนื่องในวันแม่แห่งชาติที่เวียนมาบรรจบ ทำให้ผมค้นพบความจริงที่ทิ้งไปไม่ได้ คือ ระหว่าง "แม่" และ "เมีย" มีอะไรที่น่าคิดสำหรับชีวิตอย่างยิ่ง  เรามีแม่พียงหนึ่งเดียวในชีวิตฉันใด ควรมีเมียไว้เพียงคนเดียวทั้งชีวิตฉันนั้น ถึงจะนำความสุขสันต์ และความสงบเรียบร้อยมาสู่ชีวิตได้อย่างยิ่งยืน
            จึงขอประกาศ  "One-วันเมีย...ทั้งชีวิต" ให้เป็นที่ยึดถือกันสืบไปนะครับ !!
เพราะพระประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นให้มี ผัวเดียว เมียเดียว  จากสองเกี่ยวดองกลายเป็นหนึ่ง  ดังที่บันทึกไว้...  (Genesis 2:18-25) ...พระเจ้าตรัสว่า   “ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว   เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น”... 21แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท   ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่   พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา   แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม 22ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น   พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง  แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น 23ชายจึงว่า    “นี่แหละ  กระดูกจากกระดูกของเรา    เนื้อจากเนื้อของเรา   จะต้องเรียกว่าหญิง    เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย”    24เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา   และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อ เดียวกัน 25ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน
            พระเจ้าสถาปนาครอบครัวขึ้นเป็นสถาบันแรกของโลก จากนั้นจึงให้มีสถาบันทางการปกครอง และสถาบันคริสตจักร ซึ่งหากศึกษาลงไปถึงเจตนารมณ์ของทั้งสถาบันการปกครอง(ประเทศชาติ) และสถาบันคริสตจักร (กลุ่มผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์) จะพบว่ารากเหง้าของความหมายของทั้งสองสถาบันคือ การเป็น "ครอบครัว" เช่นเดียวกัน  จึงกล่าวได้ว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับ "ครอบครัว" เป็นลำดับแรก   นักสังคมวิทยาต่างยอมรับว่า การเริ่มต้น การดำเนินไป และการสิ้นสุดของชีวิต จะดีหรือร้าย รวมทั้งความเป็นไปของสังคมโลกล้วนมีผลมาจากความเป็นไปของครอบครัว หลายครั้งมักจะสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้คนว่ามาจากอิทธิพลของครอบครัว และหากจะแก้ไขก็ต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเช่นกัน  ดังนั้น การมีสถาบันครอบครัวที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ให้จากสองเกี่ยวดองเป็นหนึ่ง นับเป็นรากฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง หากเริ่มต้นถูกต้องจะนำผลที่ดีมาสู่ชีวิต 
            นอกจากนั้นยังมีองค์ประกอบอื่นอีก เช่น ต้องเริ่มต้นเลือกคู่ครองที่เป็น "คน" ด้วยนะ  เหมือนอาดัมมนุษย์คนแรกที่เลือก "คน" ไม่ใช่สิ่งอื่น ที่ต้องเน้นเรื่องนี้เพราะทุกวันนี้มีบางคนเลือกสิ่งที่ไม่ใช่คนเป็นคู่ครอง ซึ่งมักนำความสยดสยองมาสู่ชีวิตและสังคมอย่างที่เห็นเป็นข่าว  ต้องเลือกคู่ครองที่เป็น "ชายจริงหญิงแท้" และเป็นคนที่ "เหมาะสม" กับตนเอง ทั้งด้านความเชื่อ แนวคิด ลักษณะชีวิต การศึกษา ซึ่งจะต้องใช้เวลาศึกษา รับคำแนะนำปรึกษาให้แน่ใจว่าใช่คนนี้แน่นะก่อนที่จะตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน  เพื่อจะได้ไม่ต้องมาโอดครวญทีหลังว่า "เข้ากันไม่ได้... ไปกันไม่ได้"  และเหตุผลอีกสารพัดที่สรรหามาอ้างที่จะหย่าร้างกันไป ซึ่งมักจะเกิดเรื่องใหญ่และร้ายตามมาเสมอ
            การมีคู่ครองคนเดียวทั้งชีวิต เป็นหลักสำคัญ เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า (สภษ.5.15-20, ปญจ.9.9)  ทั้งครอบครัว คริสตจักร และสังคมต้องการคนเช่นนี้มาเป็นผู้นำ จึงกำหนดคุณสมบัติของผู้นำที่ดีไว้...ผู้ปกครองดูแลนั้นต้องเป็นคนที่ไม่มีใครติได้   เป็นสามีของหญิงคนเดียว   เป็นคนรู้จักประมาณตน   มีสติสัมปชัญญะ   เป็นคนสง่าเรียบร้อย   มีอัชฌาสัยรับแขกดี   เหมาะที่จะเป็นครู 3ไม่ดื่มสุรามึนเมา   ไม่เป็นนักเลงหัวไม้   แต่เป็นคนสุภาพ   ไม่เป็นคนชอบวิวาท   ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน 4ต้องเป็นคนครอบครองบ้านเรือนของตนได้ดี   อบรมบุตรธิดาของตนให้อยู่ในโอวาทและมีใจนอบน้อม (I Timothy 3:2-4)
            พระเจ้าไม่ต้องการให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้น และไม่ต้องการให้มีหลายผัวหลายเมีย เพราะเมื่อพระเจ้าทรงผูกพันชีวิตของชายหญิงคู่หนึ่งเข้าด้วยกันแล้วไม่ควรให้ใครหรือสิ่งใดมาพรากจากกันไป ยกเว้นเสียแต่ความตายเท่านั้น ( แต่อย่าพยายามทำให้อีกฝ่ายตายก็แล้วกัน ! )
...พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า   “เพราะว่าเราเกลียดชังการหย่าร้าง   และการที่ใครกระทำทารุณต่อภรรยาของตน”   (Malachi 2:16)
พระเยซู ย้ำเช่นกันว่า...เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป   แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน   เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว   อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (Matthew 19:4-6)

            อาจจะมีบางคนอ้างถึงบางวัฒนธรรม หรือ บางกรณีในการมีคู่ครองหลายคน ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นฝ่ายชายใช้ข้ออ้างนี้มากกว่า..   จึงยังขอยืนยันว่า พระประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่แรกนั้น ต้องการให้มีคู่ครองเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น !  ดังนั้น การมี One-วันเมีย One-วันสามี ทั้งชีวิต คือ ผัวเดียวเมียเดียวนั้น นำความปลอดภัยและความสงบสุขมาสู่ชีวิตและสังคมได้มากกว่า คุณว่าอย่างนี้ด้วยหรือไม่ ?

สุขสันต์ One-วันเมีย...ทั้งชีวิต นะครับ !!

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

13 พฤษภาคม 2559

สิ่งที่ผู้นำควรรู้ โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

สิ่งที่ผู้นำควรรู้

            ผู้นำ เป็นปัจจัยหลักและสำคัญในการขับเคลื่อนคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าให้เติบโต เข้มแข็ง และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน  ผู้นำควรรับการเตรียมและเตรียมตัวเองอย่างไร  จึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายได้  มีข้อเสนอ 3  ด้าน  คือ  ความรู้ในพระวจนะ ความรู้รอบตัวทั่วไป และ ความรู้ในวิชาชีพ
1.  ผู้นำควรมีความรู้ด้านพระวจนะ
            หัวใจหลักของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจำเป็นต้องรู้ต้องมีเป็นประการแรก คือ ความรู้ ความเข้าใจใน พระวจนะของพระเจ้า  เพราะนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในการใช้เป็นบรรทัดฐานการดำเนินชีวิต การเทศนา สั่งสอน และการดำเนินพันธกิจของพระเจ้าทุกด้าน  ผู้นำจึงจำเป็นต้องรับการอบรม ฝึกฝน ให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความจริงแห่งพระวจนะ  จนสามารถที่จะถ่ายถอด แบ่งปัน เผยแพร่ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถให้พระวจนะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเอง และผู้คนที่ตนดูแลอยู่อย่างเป็นพระพรและจุใจ (คส.4.5-6)
จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์   จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น   จงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการ   และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า  และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม   จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า   และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า   โดยพระองค์นั้น  (คส. 3:16-17)
            ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ควรมีความรู้ ความเข้าใจในพระวจนะอย่างเพียงพอที่จะสามารถเทศนา สั่งสอน และถ่ายทอดออกไปอย่างมืออาชีพ  เพราะหากไม่รู้จริง ไม่เข้าใจจริง จะทำให้ประชากรของพระเจ้าหลงทาง และขาดโอกาสแห่งพระพรได้
            อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน   แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง   ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ   ในความรัก   ในความเชื่อ   และในความบริสุทธิ์  จงใฝ่ใจในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม   ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา  อย่าละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัวท่าน   ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์   เมื่อคณะผู้ปกครองได้เอามือวางบนท่าน  จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้   โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ   เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง  จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน   จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น   เพราะเมื่อกระทำดังนั้น   ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้  (1ทธ. 4:12-16)
            แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถและโอกาสทางการศึกษา  แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้พระวจนะแห่งความจริงได้โดยการสอนจากพระวิญญาณได้ (ยน.16.13) เพียงแต่ต้องตั้งใจ เอาใจใส่ และทุ่มเทศึกษาอย่างสม่ำเสมอต่อไป  ดังสาวกของพระเยซูที่เมื่อได้ศึกษาเรียนรู้อยู่กับพระองค์แล้ว พวกเขากลายเป็นคนที่ผู้นำระดับสูงของสังคมในด้านศาสนาและด้านการเมืองต่างยอมรับว่า ที่เขากล่าวด้วยสติปัญญาและกล้าหาญอย่างนั้นได้เพราะเคยอยู่กับพระเยซู (กจ.4.13)
            หน้าที่และบทบาทของผู้นำคือ การเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ต้องหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถดำเนินตามพระวจนะ และใช้พระวจนะอย่างสมพระเกียรติของพระเจ้าให้มากขึ้น

2.  ผู้นำควรมีความรู้รอบตัว
            นอกจากความรู้ในพระวจนะแล้ว ผู้นำยังจำเป็นต้องมีความรู้รอบตัวทั่วไปด้วย  เพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระคัมภีร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เช่น หากรู้หลักภาษา หรือรอบรู้ภาษาต่างๆ ก็จะสามารถนำมาประกอบการศึกษาพระคัมภีร์ได้มากขึ้น เข้าใจอย่างเป็นระบบมากขึ้น  เพราะความรู้สติปัญญาทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า และช่วยให้สามารถแยกแยะปัญญาทั้งแบบโลก และปัญญาแบบเบื้องบนได้(ยก.3.15-18)
            การมีความรู้รอบตัวนั้นยังส่งเสริมการทำงานและร่วมมือกับคนอื่นได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจตนเองเข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานได้ดีขึ้น  ผู้นำจึงจำเป็นต้องใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานอย่างเต็มที่ 
            จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา   โดยฉวยโอกาส (คส. 4:5) 

            สถาบันพระคริสตธรรมอาจช่วยเตรียมชีวิตของผู้รับใช้ให้พร้อมด้านความรู้พระคัมภีร์และความรู้ทั่วไปได้  ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับการศึกษา จัดหลักสูตร จัดหาหนังสือ และสื่อที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าให้เพียงพอและได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรและสังคมให้มากขึ้น  ในขณะเดียวกันผู้รับใช้แต่ละคนต้องหมั่นหาโอกาส และฉวยโอกาสในการพัฒนาความรู้ของตนอยู่เสมอ เพราะการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต และหากสามารถได้ความรู้ และได้การรับรองอย่างทางการด้วยแล้ว ยิ่งจะเป็นประโยชน์ในการรับใช้แน่นอน
            พระเจ้าสามารถใช้คนธรรมดาสามัญอย่างเปโตรและยอห์นได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถใช้คนที่มีความรู้สูงอย่างเปาโลได้เช่นกัน


3.  ผู้นำควรมีความรู้ด้านวิชาชีพ
            ภาวะ  "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดผลผลิตที่กลับมาหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างเหมาะสม  ความน่าจะเป็นสำหรับบรรดาผู้รับใช้พระเจ้า คือ เขาควรจะได้รับการเลี้ยงดูจากสิ่งที่ได้ทำ  ดังพระวจนะที่สอนว่า ... เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า   อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว  เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน (1ทธ. 5:18)  ผู้ที่รับคำสั่งสอนควรตอบสนองต่อผู้ดูแลฝ่ายวิญญาณอย่างเหมาะสมเช่นกัน (รม16.23)  ...ทำนองเดียวกัน   องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า   คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น   (1คร. 9:13)  แต่ในความเป็นจริงของคริสตจักรไทยยังไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้น อันเนื่องมาจากการขาดกำลังและขาดความเข้าใจของคริสตจักร  และในอีกด้านมีผู้รับใช้จำนวนหนึ่งที่ยินดีประกอบวิชาชีพเพื่อเลี้ยงดูตนเอง  ดังตัวอย่างในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน
            ประเด็นสำคัญคือ คริสตจักรเล็กที่มีสมาชิกไม่มากแม้จะมีความเข้าใจและตั้งใจที่เลี้ยงดูผู้รับใช้แต่ไม่สามารถทำได้  จากข้อมูลพบว่า  โดยเฉลี่ยแล้วคริสตจักรจะต้องมีสมาชิกจำนวน 70 คนขึ้นไป จึงจะสามารถรับผิดชอบศิษยาภิบาลได้  แต่หากสถานการณ์และสภาพความหนาแน่นของประชากรไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  ทางรอดและทางออกของผู้รับใช้ คือ ต้องสามารถประกอบวิชาชีพด้วยตนเอง เพื่อยังสามารถรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ต่อไปได้  การรับใช้ไม่ใช่แค่การเทศนา การสอน แต่ยังหมายถึงการทำทุกอาชีพ ทุกสถานะ ก็เป็นการรับใช้เช่นเดียวกัน !   หากต้องการทำหน้าที่ในการ อธิษฐาน การเทศนา การสั่งสอนพระวจนะโดยตรงในคริสตจักรอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง  จำเป็นที่จะต้องมีวิชาชีพติดตัวด้วยดีที่สุด
            ผู้นำ ที่มีความรู้ด้านวิชาชีพด้วยนั้น นอกจากจะช่วยดูแลตนเองและครอบครัวได้แล้ว ยังส่งผลให้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น  เข้าใจสมาชิกคริสตจักร และคนอื่นได้มากขึ้น ทั้งสามารถเทศนา สอน หนุนใจ ให้คำแนะนำผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
           
นี่คือทางออก ! และทางรอดหนึ่ง ของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ที่ไม่มีใครให้การสนับสนุนอย่างเพียงพอ จึงขอฝากผู้นำที่จะพัฒนาตนให้พร้อมในทุกด้าน ทั้งฝากข้อคิดถึงสถาบันที่กำลังเตรียมผู้รับใช้ โปรดพิจารณาจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับสถานการณ์  คือ   หนึ่ง ด้านพระวจนะ  ต้องให้ความรู้ในพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ สามารถเทศนา สั่งสอน ประกาศ และทำการอย่างมืออาชีพ  สอง ด้านความรู้สามัญหรือความรู้รอบตัว เพื่อสร้างความเข้าใจตน เข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานมากขึ้น และ สาม ด้านวิชาชีพ ให้สามารถมีช่องทางทำกินเพื่อเสริมรายได้หรือเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ์

ทั้งนี้เพื่อคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้า  เพื่อผู้รับใช้และประชากรของพระองค์ จะมีชีวิตที่จำเริญขึ้น มีความเข้มแข็ง เติบโต และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

19 มีนาคม 2559

เลิกสงสารตนเอง ! โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

เลิกสงสารตนเอง !


 
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง  
 และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”  
therefore I despise myself,
and repent in dust and ashes.”  Job 42:6

พระธรรมโยบ บทที่ 42  เป็นบทสรุปที่ทำให้เห็นเรื่องราวและเบื้องหลังของสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของโยบ  ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าเรียกชายผู้นี้อย่างภาคภูมิใจว่า  "ผู้รับใช้ของเรา"   (โยบ 42.7) 
หลังจากนั้น พระเจ้าให้ โยบกลับสู่ความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง  (โยบ 42.10) พระคัมภีร์ใช้คำว่า  "พระเจ้าทรงทำให้...กลับสู่สภาพที่ดีดังเดิม"    พระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าที่มีอยู่ก่อน.... ข้อ 12 และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมาก ยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน  
เรื่องราวชีวิตของโยบ เป็นแบบอย่างเรื่องความเชื่อและความอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างฉับพลัน ทั้งการสูญเสียทรัพย์สมบัติ สูญเสียลูกชายลูกสาว สูญเสียสุขภาพ และสูญเสียความเคารพนับถือจากคนรอบข้าง ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง  ทั้งที่โยบมั่นใจและยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากความผิดบาปของตนเอง  แม้ขณะนั้นยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องร้ายเช่นนี้จึงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาเพื่อนๆ ต่างมีความเห็นในความเข้าใจของตนเองตามหลักแห่งความรู้ของมนุษย์เท่าที่จะศึกษาได้ ต่างมีความเห็นว่าสิ่งร้ายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่โยบทำผิดเอง  ต่างฝ่ายต่างไม่มีคำตอบที่แน่นอน เพราะโยบก็มีเหตุผล และเพื่อนๆ ก็มีเหตุผล  ไม่อาจเป็นทางออกของปัญหาได้..  โยบยังยืนยันว่า นี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสนั้น เขาได้ร้องโอดครวญต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจตนเอง และอยากจะต่อสู้คดีต่อพระเจ้าโดยตรง  แต่สุดท้าย แม้โยบจะไม่มีความผิดเรื่องการทำบาปที่ทำให้เกิดสิ่งร้ายครั้งนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่าได้ทำผิดทางวาจาต่อพระเจ้าด้วยการคิดและพูดเช่นกัน โยบยอมจำนนเมื่อเขาเผชิญหน้ากับพระเจ้าตัวจริง !  ไม่มีมนุษย์คนใดที่พบกับพระเจ้าแล้วจะบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งหมดได้ ดังที่บันทึกไว้ว่า...
1แล้วโยบทูลพระเจ้าว่า  
 2“ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้  
 และพระประสงค์ของพระองค์  จะไม่หดหู่ไปได้เลย  
 3
'นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้'  
  เพราะฉะนั้น  ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ  
 สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์  ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ  
 4
'ฟังซี  เราจะพูด    เราจะถามเจ้า  ขอเจ้าตอบเรา'  
 5ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู  
 แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์  
 6ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง  
 และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”  

โยบเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นและยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนแม้ไม่อาจเข้าใจ  แต่ยังสามารถไว้วางใจในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้ เพราะหลายอย่างเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะหยั่งรู้ ที่สำคัญคือ โยบได้ "เห็นพระเจ้า" ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะแค่ได้ยิน คือ รู้เรื่องพระเจ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ ได้เห็นและได้ประสบการณ์ ได้รู้จักพระเจ้าโดยตรง  ดังนั้นสิ่งที่โยบกระทำต่อมาคือ  การยอมรับในความบาปผิดของตนเอง..."ข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง"  และกลับใจเสียใหม่...แสดงออกด้วยการนั่งในกองขี้เถ้า  ซึ่งหมายถึงการยอม การถ่อมใจลง การยอมรับอำนาจของพระเจ้าว่า พระองค์เป็นฝ่ายถูก
พระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยฉบับค้นคว้า บันทึก โยบ บทที่ 42 ข้อ 6 ว่า...ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดชังตัวเอง   และสำนึกผิดในกองธุลีและขี้เถ้า”   มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า  "หรือ และเลิกสงสารตนเอง ออกจาก"
เมื่อโยบ "เลิก" และ "ออกจาก" การสงสารตนเอง เขาพบกับความจริงของพระเจ้า ยอมจำนนและไว้วางใจในพระเจ้าได้  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงอวยพรให้กลับคืนสู่สภาพดีกว่าก่อน เป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อความอดทนมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านยากอบน้องชายพระเยซูกล่าวถึงโยบว่า.. จงดู   เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข   ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ   และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด   (ยก.5.11)
ความรู้สึก "สงสารตนเอง" เป็นอุปสรรคหนึ่งของชีวิตที่จะต้องเอาชนะให้ได้  การสงสารตนเองมักทำให้ใจจดจ่อแต่ด้านลบ ซึ่งนำการบั่นทอนความคิดกำลังใจให้ลดน้อยลงไป  ทำให้เกิดอาการน้อยใจตนเอง น้อยใจคนอื่นที่ไม่เข้าใจ น้อยใจต่อพระเจ้า อาจนำไปสู่การเรียกร้องความสนใจ หรือ เกินเลยไปถึงการกล่าวโทษ การโยนความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้  นั่นหมายความว่า ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ลุกลามปานปลายไปมากขึ้น เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
คนที่สงสารตนเองเกินเหตุมักจะคิดว่า มีฉันคนเดียวที่ต้องเจอกับปัญหานี้ มันไม่มีทางออกอีกแล้ว และ ฉันสู้ไม่ไหวแล้ว !... แต่แท้จริงยังมีคนอื่นที่มีปัญหาเช่นกัน ยังมีทางออกอีกแน่นอน และไม่เกินกำลังด้วยซ้ำ หากจะอดทน เพราะ ทนไม่ได้ กับ ไม่ได้ทน มันมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน ดังอาจารยฺเปาโลและอาจารย์เปโตรกล่าวไว้อย่างสอดคล้องว่า..
            ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้   และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   (I Corinthians 10:13)
             จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ   เพราะว่า   พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก   ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน (I Peter 5:9)

"เลิก" และ "ออกจาก" การสงสารตนเองเถอะครับ !  แล้วหันไปมองความจริงจากเบื้องบน จากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่มีจุดประสงค์บางอย่างในชีวิตของคุณอย่างแน่นอน  ต้องเชื่อมั่นว่า พระองค์ไม่นำชีวิตคุณคุณไปอย่างไร้จุดประสงค์  ดังที่กล่าวไว้ว่า...
            จงดู   เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข   ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ   และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด  (ยก.5.11)
            เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์  (Romans 8:28)
            พระเจ้าไม้ได้ให้คุณทนทุกข์โดยปราศจากเหตุผล  แต่เหตุผลนั้นอาจถูกปิดซ่อนไว้ในความลึกล้ำของพระประสงค์ของพระเจ้า  ซึ่งอาจไม่มีวันรู้ได้ในชีวิตนี้  แต่ยังต้องไว้วางใจพระเจ้าว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้วนถูกต้องทั้งสิ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า...เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า   ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา”   พระเจ้าตรัสดังนี้    “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด   วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า    และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”   (Isaiah 55:8-9)
            หากเพียงแค่มองไปรอบข้างอาจจะพบคนอื่นๆ ที่น่าสงสารมากกว่าตนเองก็ได้ บางคนแม้เขาจะน่าสงสารแต่เขากลับคิดว่าตนเองไม่น่าสงสารก็มี คนแบบนี้น่านับถืออย่างยิ่ง  การออกจากการสงสารตนเอง จะทำให้รู้จักรับผิดชอบและช่วยเหลือตนเองได้อย่างถูกทาง  สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นและมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เมื่อมีการให้ การช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ย่อมนำความสุขใจ การักษา การเยียวยามาสู่ตนเองอย่างน่าประหลาดใจเช่นกัน ดังพระวาทะของพระเยซูที่ตรัสว่า
 "..การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ ”   (Acts 20:35) และสุภาษิตที่สอนว่า..
              บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง  
             บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ ยิ่งขัดสนก็มี  
             บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง  
             บุคคลที่รดน้ำ  เขาเองจะรับการรดน้ำ
   (Proverbs 11:25)

ตัดสินใจตอนนี้ว่า จะจมอยู่กับความสงสารตนเองพร้อมกับความระทมทุกข์ต่อไป หรือ จะเลิกและออกมาจากความสงสารตนเอง แล้วลุกออกไปแจกจ่ายให้คนอื่นมากขึ้น แล้วรับการอวยพร รับความเจริญรุ่งเรือง รับการกลับสู่สภาพที่ดีเป็นสองเท่าของที่ผ่านมาอย่างท่านโยบ
ขึ้นอยู่กับความคิดและทางที่คุณเลือกแล้วละครับ !


(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)