13 เมษายน 2562

"Palm Sunday" วันอาทิตย์ทางตาล... ความจริงที่โลกควรรู้ โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย ศาสนาจารย์ บัณฑิต ดาแว่น 

 "Palm Sunday" 
วันอาทิตย์ทางตาล... ความจริงที่โลกควรรู้ 

 วันนี้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างยิ่งใหญ่ ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน เรียกว่า ปาล์มซันเดย์ (Palm Sunday) เป็นการแสดงความยินดีต้อนรับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พระคัมภีร์ในหมวดพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มได้บันทึกไว้หลายมุมมอง ปรากฏใน มัทธิว 21.1-11, มาระโก 11.1-11 ลูกา 19.28-44 และ ยอห์น 12.12-19 เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้าย ในการทำพันธกิจที่สำคัญของพระเยซูคริสต์ในโลกนี้ในฐานะพระบุตรที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นช่วงเวลาของเทศกาลปัสกาของคนยิว เพื่อระลึกถึงการช่วยกู้ออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ มีการเฉลิมกันเป็นประจำทุกปีช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน
พระเยซูกับเหล่าสาวกเดินทางมาจากทิศตะวันออก ตามเส้นทางเมืองเยริโค สู่ เยรูซาเล็ม (มธ.21.1 ) ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ ...
เบธฟายี Bethphage = House of figs. หรือ บ้านมะเดื่อ อยู่บนภูเขามะกอกเทศ ลูกาบันทึกว่า บ้านเบธฟายีและบ้านเบธานี ซึ่งเป็นบ้านของมารีย์ มารธาและลาซาลัสเพื่อนสนิทของพระเยซู (ลก.19.29,มก.11.11)ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณ 3-4 กิโลเมตร  พระเยซูมอบหมายให้สาวก 2 คน เข้าไปในหมู่บ้าน นำลูกลามาให้พระองค์ขี่เข้าไปในเยรูซาเล็ม (มธ.21.2) ปกติก็เดินไปเองตลอดแต่ครั้งนี้ใช้ลูกลา เพราะต้องการให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ที่ เศคาริยาห์ บันทึกไว้ว่า (Zechariah 9:9)ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้องดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลาทรงลูกลา
การขี่ลูกลานั้นมีสัญญาลักษณ์ 3 ประการ คือ
1. เป็นการแสดงความถ่อมใจของผู้ทรงลานั้นตามคำพยากรณ์ (มธ.21.5)จงบอกชาวศิโยนว่า กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงลา ทรงลูกลา (Isa 62:11; Zech 9:9; John 12:15) 
2. เป็นสัญญาณว่า เชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดกำลังเสด็จมาครองบัลลังก์อีกครั้ง และจะนำพาอาณาจักรอิสราเอลพ้นจากการเป็นเชลยของอาณาจักรโรมัน โดยไม่ต้องถูกกดขี่ข่มแหง ถูกขูดรีดภาษี และใช้แรงงานเยี่ยงทาสอีกต่อไป (มธ.21.9) ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด” (Ps 118:25-26;) 
3. เป็นเครื่องหมายแสดงถึงผู้ที่เสด็จมานั้นมีอำนาจในการพิพากษาตัดสินผู้ขัดขวางกิจการของพระเจ้า ตามคำสอนของผู้วินิจฉัย บทที่ 5 ข้อ 10 ว่าลาเป็นพาหนะของผู้พิพากษา ฝูงคนให้การต้อนรับด้วยการปูเสื้อผ้า วางกิ่งไม้ และกิ่งปาล์ม ลงตามทางเดิน เพื่อให้พระเยซูเดินไปบนนั้น พร้อมทั้งโห่ร้องสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่ ว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด” ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ทุกประการ

คำว่า "โฮซันนา" เป็นภาษายิว หมายความว่า "ขอโปรดช่วยเราให้รอด บัดนี้ด้วยเถิด"  พวกเขาคาดหวังและเชื่อว่า พระเยซูจะมาช่วยเขาให้รอดจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม ยังมีบางคนสงสัยว่าผู้ที่มานั้นเป็นใคร และได้คำตอบว่า เป็นผู้เผยพระวจนะ (Matt 21:10-11) เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า “ใครหนอ” ฝูงชนก็ตอบว่า “นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะ ซึ่งมาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี”
มีทั้งคนโห่ร้องยกย่องสรรเสริญ มีทั้งคนสงสัย และมีคนไม่พอใจและหาทางกำจัดพระองค์เสีย คือกลุ่มพวกฟาริสี ที่ต้องการให้พระเยซูสั่งให้ผู้ติดตามหยุดการกระทำดังกล่าว ตามที่นายแพทย์ลูกาบันทึกไว้ ลูกา19.39-40 ว่า ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”

ปาล์มซันเดย์ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของพระเยซู ต้นปาล์ม เป็นสัญญาลักษณ์ถึงความชอบธรรม และชีวิตที่เจริญฝ่ายจิตวิญญาณของลูกของพระเจ้า(สดด.92.12-15) ปาล์ม เป็นต้นไม้ที่เขียวชอุ่มอยู่เสมอ มีอายุยืน ตั้งตรงตระหง่าน มีรากลึก ลำต้นผลิตน้ำมันล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 (Luke 19:41) ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้ว ก็กันแสงสงสารกรุงนั้น

นายแพทย์ลูกา (ลก.19.41-44) เป็นคนเดียวที่บันทึกไว้ว่า เมื่อเสด็จเข้ามาแล้ว พระเยซูทรงร้องไห้สงสารกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้ แต่ผู้คนไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็เป็นไปตามนั้นจริง คืออีก 40 ปีหลังจากพระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็มครั้งนี้และกล่าวคำพยากรณ์ไว้ กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมในปี คศ. 67-70 และถูกเผาทำลายลง โดยแม่ทัพของอาณาจักรโรมในการนำของจักรพรรดิติตัส (Titas)
ทำไมพระเยซูร้องไห้สงสารกรุงเยรูซาเล็ม ? เพราะเมื่อมองเห็น เยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ที่ปู่ทวดของพระองค์ คือกษัตริย์ดาวิดทรงสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่(กคศ.1005-967) และ กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหารอย่างยิ่งใหญ่สง่างามเต็มไปด้วยทองคำทั้งหลัง(กคศ.965-922) ผ่านกาลเวลามานับพันปี แต่อีกไม่นานจะถูกถล่มพังราบลงมาอย่างแน่นอน เพราะผู้นำและประชาชนไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ประเด็นสำคัญคือ พระเยซูสงสารผู้คนในเมืองที่จะต้องทนทุกข์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างน่าเวทนา นั่นเอง

 การเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม... ครั้งนี้....มีความจริงที่ควรเข้าใจอะไรบ้าง ? 

1. พระเยซูเลือกที่จะทำตามแผนการของพระเจ้า 
พระเยซูมีทางเลือกที่จะเอาตัวรอด แต่กลับเลือกที่จะทำตามแผนการของพระเจ้าเพื่อช่วยเราให้รอดแทน การเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม สำหรับพระเยซู คือ การเข้าไปหาความตาย...นี่คือสิ่งที่หลายคนในเวลานั้นที่นำกิ่งไม้ เสื้อผ้ามาปูตามถนนและโห่ร้องชัยโยนั้นไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะพวกเขาคิดเฉพาะส่วนที่ตัวเองอยากได้ คือต้องการให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ เพื่อปลดปล่อยจากการเป็นทาสของโรม บางคนคิดเพียงแค่พระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาอย่างยิ่งใหญ่ และพวกเขาจะได้เห็นการอัศจรรย์อีก บางคนเพียงแค่สงสัยว่า คนนี้เป็นใครหนอ แต่ก็ยังมาร่วมขบวนของฝูงชน คือเห็นคนอื่นมาก็มาด้วยโดยไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น บางคนเห็นพระเยซูเป็นศัตรูและหาทางกำจัดพระองค์ให้พ้นทางและรักษาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
พระเยซูเลือกที่จะเข้าหาความตาย เพื่อจะได้สำเร็จตามแผนการของพระเจ้าในการไถ่บาปด้วยการตายบนไม้กางเขน การเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นการตัดสินใจของพระองค์ แม้หลายคนยังไม่เข้าใจแต่พระองค์เลือกที่จะทำเพื่อเราทุกคน (John 12:16) ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงประสบเกียรติกิจแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์ 
พระองค์เลือกที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับคนของพระองค์ เหมือนที่โมเสสยอมกลับไปอียิปต์ตามพระบัญชาของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ยอมเป็นมหาปุโรหิตที่ทำหน้าที่แทนปวงชนแม้ตนเองจะต้องทนทุกข์ก็ตาม ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า...เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ (Hebrews 4:15-16)

 2. พระเยซูทำในสิ่งที่เหมาะสม ถูกต้อง ถูกที่ และถูกเวลา 
 เหตุผลที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม และพร้อมจะตายแทนเราเพราะ...ถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว ! แม้จะรู้ดีว่ากำลังเดินเข้าสู่ความตาย แต่ยังตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นด้วยใจแน่วแน่ แม้ในส่วนของความรู้สึกที่ไม่อยากไปก็เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ ยอห์น ลูกศิษย์คนสนิท บันทึกว่า พระเยซูพูดกับน้องๆ ของพระองค์ว่าจะไม่ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพราะยังไม่ถึงเวลา ซึ่งหมายถึง ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องตายบนไม้กางเขนในตอนนั้น (ยอห์น 7.6 )พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกท่านมีอยู่เสมอ... เช่นเดียวกับตอนที่ มารีย์ มารดาของพระองค์ขอให้ช่วยในงานสมรสที่กำลังขาดเครื่องดื่มสำคัญ พระองค์ก็บอกว่า เวลาของเรายังมาไม่ถึง (ยน.2.4)
พระเยซูมีสิทธิที่จะเลือกปกป้องรักษาชีวิตของตนเอง แต่เมื่อถึงเวลา ทรงตัดสินใจเลือกที่จะช่วยผู้คนให้รอด และสละชีวิตของพระองค์แทน ดังที่อาจารย์เปาโลกล่าวยกย่องไว้ในพระธรรมฟิลิป์ปี 2.5-8 ...ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน...
ความจริงแล้ว คนที่สมควรตาย ไม่ใช่พระเยซู แต่ คือเราทุกคน เพราะบาปที่มีอยู่ในชีวิต แต่พระเยซูเลือกที่จะไปตานแทนเรา...นี่คือพระคุณอันประเสริฐของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา...ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า และทำความเข้าใจความรู้สึกของพระเยซูคริสต์ให้ดีเสมอ ว่าทรงรู้สึกอย่างไร

 เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็พร้อมที่จะช่วยเรา ! 
พระคัมภีร์โรมกล่าวว่า ...ขณะที่เรายังขาดกำลัง...ขณะที่ยังเป็นคนบาป...ขณะที่ยังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า...พระเยซูได้ทรงมาช่วยเราในเวลาที่เหมาะสม

 (Rom 5:6,8,10) ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่

จงรอเวลาของพระเจ้า !! 
ข้อพระคัมภีร์ประจำวัน 13 เมษายน หนุนใจผมว่า (Psalms 46:10) “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก”
ขอให้อดทนและรอคอยจนกว่าจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า อย่าหนี อย่าห่าง อย่าหาย อย่าไปไกลจากพระเจ้า...อาเมน !! เพราะเมื่อถึงเวลา พระเจ้า พระเยซู นามแห่งการช่วยให้รอดทรงช่วยได้แน่ !!

ขอเตือนว่า อย่ารีบร้อนทำอะไรก่อนจะถึงเวลาอันควรด้วยนะครับ ! เช่น...คนที่อยากรวยเร็วแบบรีบเร่งก็นำความเสียหายได้ คนที่อยากมีแฟนเร็วๆ รีบชิงสุกก่อนห่ามก็นำปัญหามาสู่ชีวิต คนที่ใจร้อนหุนหันพลันแล่นก็นำอันตรายมาเช่นกัน...เพราะหลายคนที่ทำอะไรก่อนเวลาอันควรนั้น มักนำความเสียหาย และอันตรายมาถึงชีวิตได้

 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีการเดินทางกันมาก การขับขี่ยาพาหนะก็อย่าได้รีบเร่งและขับเร็วเกินกำหนด เพราะอาจเป็นอันตรายได้...เมื่ออากาศร้อน อย่าใจร้อนเกินเหตุ อาจมีคนเมา คนที่คุยไม่รู้เรื่อง คนที่สาดน้ำใส่หน้า หรือใช้ท่าทีวาจาที่ไม่ดี แต่อย่าได้ตอบแทนการชั่วด้วยการชั่ว เพราะหากใจร้อนเกินควรก็จะนำพาปัญหามาสู่ชีวิตได้ ขอให้ชีวิตดำเนินไปตามเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนนะครับ

3. พระเยซูเลือกที่จะทำตามพระทัยพระเจ้า 
พระเยซูแบกรับความคาดหวังจากประชนที่ติดตามและรอคอยพระองค์อย่างมากมาย พวกเขาต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ ต้องการให้เป็นผู้เผยพระวจนะและสั่งสอนพระคำของพระเจ้า ต้องการให้ทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนตามความต้องการ ทั้งด้านอาหาร ด้านสุขภาพ และชีวิตในสังคม บ้านเมือง และยังมีบางคนต้องการกำจัดพระเยซูด้วย เพราะอิจฉา เกลียดชัง และขัดผลประโยชน์พวกเขา
ความคาดหวังเหล่านั้น มีทั้งสิ่งดี และควรระวัง พระเยซูทรงรู้ ทรงเข้าใจ และทรงได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากให้ได้รับตามต้องการมาแล้ว เช่น ทรงช่วยเจ้าภาพงานสมรสด้วยการทำน้ำธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องดื่มชั้นดีภายในเสี้ยววินาที ทรงรักษาคนเจ็บ คนป่วย คนง่อย คนหูหนวก คนตาบอดให้หาย แม้คนที่ตายไปแล้วก็ช่วยให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้
แต่มีความคาดหวังที่ใหญ่ไปกว่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้พระเยซูกระทำคือ เป็นลูกแกะหัวปีที่จะต้องถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ เพราะถ้าไม่มีเลือดไหลออกจะไม่มีการไถ่บาปได้ และเลือดนั้นต้องเป็นเลือดที่บริสุทธิ์ เต็มใจ และสามารถเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ ซึ่งไม่มีใครเหมาะสมและทำได้นอกจากพระบุตรองค์เดียวของพระบิดาในนาม "พระเยซู" ที่แปลว่า "พระผู้ช่วยให้รอด" เท่านั้น !

ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูเลือกที่จะทำตามพระทัยของพระเจ้า ซึ่งสำคัญกว่า สูงกว่า มั่นคงถาวรกว่า เป็นประโยชน์มากกว่าความคาดหวังของมนุษย์ที่คิดถึงเพียงความต้องการของตนเองฝ่ายโลกนี้และชั่วคราวเท่านั้น
พระเยซูทรงเป็นมากกว่า กษัตริย์ ทรงเป็นมากกว่า ผู้เผยพระวจนะ ทรงเป็นมากกว่าผู้มีฤทธิ์เดชทำการอัศจรรย์ ทรงเป็นมากกว่าผู้นำประชาชนทางการเมืองที่บางคนกลัว แต่ทรงเป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ของชีวิต
ดังนั้นให้เราเรียนรู้ที่จะทำตามแบบอย่างของพระเยซู คือ เลือกที่จะทำตามความคาดหวังของพระเจ้า แทนที่ความคาดหวังของตนเองหรือของมนุษย์ ถ้าความคาดหวังของมนุษย์นั้นตรงกับความคาดหวังของพระเจ้าก็ดี แต่หากต้องเลือก ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าดีที่สุด
ขอให้ตั้งใจที่จะทำตามความคาดหวังของพระเจ้า ต่อไป แม้จะถูกกดดันจากความคาดหวังของสังคมก็ตาม จงกล้าที่จะยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระเจ้า เพราะนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต คนที่มัวแต่ตามความคาดหวังของคนอื่นมักเสียโอกาส แต่คนที่รู้ความคาดหวังของตนเองที่มาจากพระเจ้าจะประสบความสำเร็จได้

การระลึกถึง "Palm Sunday" ในวันนี้ จากเหตุการณ์ที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม ขอให้เป็นโอกาสที่จะนำคุณเข้าสู่ความจริงของพระเจ้าให้มากขึ้น โดย... 
 + ยอมเลือกทำตามแผนการของพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูกระทำ
 + ยอมรอคอยเวลาของพระเจ้าและเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลาอยู่เสมอ
 + และ ยอมทำตามพระทัยในความคาดหวังของพระเจ้ามากกว่าเสียงเรียกร้องของมนุษย์

คุณเข้าใจและพร้อมจะทำตามนี้มั้ยครับ !