01 มิถุนายน 2562

Hebron:เฮโบรน ที่ฝังคนของพระเจ้า โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต...ข้อคิดจากอิสราเอล 

Hebron:เฮโบรน ที่ฝังคนของพระเจ้า

โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

การไปเยือนอิสราเอลของคณะผู้นำสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย เมื่อ 4-10 พฤษภาคม 2019 ไกด์นำคณะของเราเข้าไปยังเมืองเก่าที่ชื่อว่า “เฮโบรน”  รถบัสสองคันยังนำเราเดินตามรอยพระคัมภีร์พร้อมด้วยคำอธิบายอย่างลึกซึ้งของมคุเทศท้องถิ่นเชื้อชาติยิวที่ย้ายมาจากสเปนตามแผนการระดมสรรพกำลังสร้างชาติของอิสราเอล  ผมประทับใจความรู้ ความเข้าใจและวิธีการอธิบายของไกด์ที่ชื่อว่า “เดวิด” คนนี้อย่างยิ่ง แม้จะรู้สึกง่วงและเมารถจากทางที่แสนค้นเคี้ยว “ขึ้นเขาลงเหว” อยู่ตลอดเวลา ที่บอกว่า “ลงเหว” เป็นคำที่อยากจะให้เข้าใจทันทีว่าสภาพภูมิประเทศของอิสราเอลนั้น อยู่บนภูเขาที่สูงต่ำสลับกันไปมาตลอดเส้นทาง รถบัสต้องขึ้นลงและเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแบบฉวัดเฉวียน คิดว่าน่าจะมากกว่าการขับรถไปอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เล่าขานกันว่ามีสี่พันกว่าโค้งเป็นสองเท่านะครับ  แม้จะหัวโยกหัวคลอน แต่ยังสนุกกับคำสอนผ่านไกด์และล่ามกิตติมศักดิ์อย่าง ศจ.ดร.ประชา ไทยวัชรามาศ ของพวกเราที่แปลเป็นสำนวนอีสานให้เราตื่นขึ้นมาตั้งใจฟังหลายครั้ง  ผมใส่หูฟังภาษาอังกฤษข้าง และอีกข้างฟังล่ามแปลเป็นไทย  ได้ยินคำว่า “Valley” Valley อยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ต้องสงสัยว่ามองไปที่ไหนก็มีแต่ภูเขาและหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของเมืองต่างๆตลอดเส้นทาง หลายคนถ่ายรูปและวีดีโอตามข้างทางตามการชี้แนะของไกด์ แต่พอกลับที่พักก็ยังจำไม่ได้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน เพราะดูเหมือนกันไปหมดคือมีภูเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหิน เห็นพุ่มมะกอกเทศ สวนองุ่นอยู่เหมือนกันทุกเส้นทาง  ต้องขอชมรถขับรถที่ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมแม้เขาต้องอดอาหารตามเทศกาล แต่ก็นำเราไปถึงและกลับที่พักอย่างปลอดภัย แม้หลายคนอาจต้องขอใช้บริการถุงใส่อ๊วก (อาเจียน) จากอาการเมารถไปบ้างแต่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เอาเป็นว่าการเดินทางที่คุ้มค่าคุ้มเวลา คุ้มประสบการณ์กันถ้วนหน้า
ถบัสจอดที่ทางขึ้น ผู้นำทัวร์แนะนำมาตลอดว่าระวังเด็กๆที่ขายของตามลานจอดรถด้วยนะ เพราะอาจจะถูกล้วงกระเป๋าได้ ควรสะพายกระเป๋าไว้ด้านหน้าเสมอเพราะ “หากกระเป๋าอยู่ด้านหลัง เป็นของคนอื่น แต่อยู่ด้านหน้าจึงจะเป็นของเรา” สังเกตดูพวกเด็กๆ เขาก็หาทางเอาตัวรอดและมีวิธีตามขอจากนักท่องเที่ยวอย่างไม่ลดละ แม้ไม่รู้ภาษา แต่ท่าทางก็เข้าใจได้ว่าต้องการเงิน สิ่งของหรืออาหาร ผมประทับใจที่เห็น ศจ.ดร.วินิจ วงศ์สรรเสริญ ขึ้นมาหยิบขนมของท่านที่อยู่บนรถลงไปแจกเด็กเหล่านั้น เมื่อเห็นคนหนึ่งได้อีกหลายคนก็กรูกันเข้ามาขอด้วย เป็นภาพยืนยันถึงหัวใจแห่งการประกาศกับผู้ยากไร้ที่ท่านทำในไทยอย่างต่อเนื่องด้วย
จากนั้นหลายคนหันไปสนใจขอถ่ายรูปกับทหารหญิงชาวยิวที่ยืนเฝ้ายามร่วมกับทหารชาย แม้สถานการณ์บ้านเมืองตึรงเครียดแต่รอยยิ้มและมิตรภาพที่แสดงออกมานั้น ทำให้คณะของเราประทับใจทหารหญิงเหล่านั้นจนลืมความแข็งแกร่งที่เธอกำลังถืออาวุธสงครามไปเลย  ได้รับคำอธิบายว่า คนยิวทุกคนอายุสิบแปดปีบริบูรณ์จะต้องเป็นทหารรับใช้ชาติโดยผู้หญิงสองปีและผู้ชายสามปี ระหว่างการเป็นทหารนั้นพวกเขาจะรับการฝึกฝนและเตรียมชีวิตสำหรับการเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติไปด้วย  ทั้งทางด้านบุคลิกภาพ แนวคิด อุดมการณ์ รวมทั้งการฝึกฝนทางวิชาชีพที่พวกเขาจะทำงานในอนาคต  โดยเฉพาะเรื่องการระดมความคิด การพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ๆ หลายคนได้ค้นพบจุดหมายของชีวิตจากการเป็นทหารของพวกเขานั่นเอง  ดังนั้น การเป็นทหารของชาวยิวจึงเป็นเรื่องที่จะสร้างชีวิตและสร้างชาติอย่างแท้จริง  ไม่น่ากลัวหรือหาทางหลบหนีอย่างที่บ้านเราเป็นกันอยู่ (เขาว่ากันอย่างนั้น)  จึงไม่แปลกที่ผมสังเกตเห็นนักศึกษาหนุ่มสาวใส่ชุดทหารที่มีสีต่างจากพลทหารเล็กน้อยเดินไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างปกติสุข อย่างกับไม่มีสงครามท่ามกลางพวกเขาเลย ทั้งที่วันก่อนหน้าที่คณะของเราเดินทางมาถึงสนามบินเทลอาวีฟ (Tel Aviv) และมีแผนจะไปเมืองเบเออร์เชบาเป็นลำดับแรก ตามแผนจากใต้สุดสู่เหนือสุดของอิสราเอล คือ “จากเบเออร์เชบา ถึง ดาน” แต่ต้องเลี่ยงไปทางอื่นเพราะมีการยิงถล่มในบริเวณฉนวนกาซาในวันนั้นพอดี ข่าวว่ามีคนตายหลายคน จึงขอบคุณพระเจ้าที่พวกเรายังปลอดภัย ในขณะหลายคนในไทยแสดงความเป็นห่วงว่าเราจะเป็นอย่างไร  คุยกันเล่นๆ ว่านี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง หมายถึงผู้นำแบ๊บติสต์ไทยทั่วประเทศร้อยกว่าคนเชียวนะครับ... ! แต่พระเจ้ายังเมตตานำพาพวกเราอย่างปลอดภัยในท่ามกลางหุบเขาเงามัจจุราชเสมอ

ตั้งใจจะเล่าเรื่องเมืองเฮโบรน พาวนไปหลายเรื่องเนื่องจากประทับใจมิรู้ลืม นี่วางแผนว่าจะกลับไปเขียนที่ไทยเพราะในขณะนี้ผมยังมีงานรับใช้ในอเมริกาชั่วคราว แต่อดใจไม่ไหว เพราะเวลากินเวลานอน เวลาทำงานมันกลับด้านกันในสมองของผมอยู่ จึงลุกขึ้นมาระบายความในใจในประสบการณ์ที่อิสราเอลกันอีกครั้ง  ยังอยู่ที่เมืองเฮโบรนนะครับ !  ไกด์และล่ามต้องเรียกจากไมค์โครโฟนมาถึงหูฟังของเราอยู่เสมอว่าให้มารวมตัวกันที่ใต้ร่มไม้ก่อน เพื่อฟังคำอธิบายถึงระเบียบและขั้นตอนการเข้าไปในสถานที่สำคัญทางความเชื่อ ที่ขณะนี้มีหลายภาคส่วนที่ร่วมกันใช้และควบคุมอยู่ เช่น คนยิวที่เป็นลัทธิยูดาย และคนยิวลัทธิอื่นๆ รวมทั้งคริสเตียนหลายนิกายที่หลั่งไหลมาชมสถานที่เหล่านี้ด้วย  หลายคนมัวแต่แวะถ่ายรูปนั่นนิดนี่หน่อย บางคนยังรอคิวเข้าห้องน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งไม่รู้เป็นยังไง รถจอดคราใดทำให้อยากเข้าห้องน้ำทุกที...  หลังจากจับปู (ผู้นำ) ใส่กระด้ง ได้แล้วก็ทำตามธรรมเนียมสากลก่อนคือถ่ายรูปหมู่ และก็หมู่ กันอีกหลายๆ ช็อต  อาจารย์อนุชา อาจารย์วินิจ รวมทั้งผู้นำคณะท่องเที่ยวเบธเอลทัวร์ช่วยให้เรามีภาพแห่งประวัติศาสตร์กันทุกแห่งที่ไปถึง  ผมเองก็ได้อานิสงส์จากภาพถ่ายเหล่านั้นมาเก็บไว้เช่นกัน ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกท่านมา ณ ที่นี่ด้วยครับ
สุดท้ายก็เข้าชมวิหารแห่งเมืองเฮโบรน ( Hebron) จนได้  เป็นวิหารใหญ่ตระหง่านตา อยู่ทางตอนใต้ของเยรูซาเล็มประมาณสามสิบสองกิโลเมตร  เล่ากันว่ากษัตริย์เฮโรดผู้ยิ่งใหญ่ได้บัญชาให้สร้างขึ้น สังเกตจากสถาปัตยกรรมที่เป็นแบบเดียวกันกับวิหารทุกแห่งที่เฮโรดสร้างไว้ เพียงแต่จะใหญ่หรือเล็กเท่านั้น แต่รูปแบบเหมือนกันหมด ทั้งวิหารในกรุงเยรูซาเล็มและที่เฮโบรนด้วย คือมีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีโดมทรงโรมันอยู่ส่วนหัวและท้าย  กล่าวกันว่า วิหารที่เฮโบรนนี้สร้างเพื่อครอบหลุมฝังศพของอับราฮัมและครอบครัวซึ่งเป็นบรรพบุรุษบุคคลสำคัญของชาวยิว คือ ฮับราฮัมและซาราห์  อิสอัคและ เรเบคาห์ ยาโคบและเรอาห์  เป็นถ้ำและที่นามัค-เปลาห์ ที่อับราฮัมซื้อจากคนฮิตไทต์เพื่อฝังศพนางซาราห์ และต่อมาก็ตัวท่านเอง และลูกหลานตามมานั่นเอง  (ปฐก.23, 25.7-11, 49.29-32) มีบางคนคาดว่ากระดูกของโยเซฟอาจถูกย้ายมาจากเมืองเชเคมนำมาฝังที่นี่ด้วยก็ได้ แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์ยืนยันว่าโยเซฟและพี่น้องน่าจะถูกฝังที่เชเคม (ศึกษาเพิ่มเติม ปฐก.50 , อพย.13.9 ยชว24, กจ.7) 

และสถานที่นี่เองที่ดาวิด มาแสดงตัวเป็นกษัตริย์และใช้เป็นเมืองหลวงในการปกครองช่วงแรกอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดปีครึ่ง (2ซมอ.5.1-5)

ณ เมืองเฮโบรน Hebron ที่ฝังศพ(กระดูก)คนของพระเจ้า (น่าคิดว่า He - Bron พ้องเสียงกับคำว่า Bone:กระดูก ผมคิดเล่นๆว่าเมือง เฮ..โบรน คือเมืองที่กระดูกโห่ร้อง คือยังมีชีวิตอยู่ คิดถึงพระธรรมเอเสเคียล 37 ที่พระเจ้าสามารถชุบกระดูกแห้งให้เป็นชีวิตขึ้นมาได้ ขอผู้รู้อธิบายรากศัพท์ให้ด้วยครับ)  
เรามีความเชื่อว่า แม้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว แต่จะยังมีชีวิตอยู่  เพราะพระเจ้าที่เราเชื่อนั้นเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต เป็นผู้ทรงพระชนม์อยู่เสมอ  ดังนั้น เวลาที่อ่านพระคัมภีร์ทั้งพันธสัญญาเดิมและใหม่หลายครั้งกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” หมายถึงทั้งพระเจ้าและคนของพระองค์นั้นยังมีชีวิตอยู่เสมอ (อพย.2.5 ยน.8 กจ.3,7)

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า  เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก (ยน.11.25)

คุณเชื่ออย่างนี้มั้ยครับ ?