12 พฤษภาคม 2564

Dead Sea : ทะเลที่ไม่มีวันจืด โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Dead Sea  : ทะเลที่ไม่มีวันจืด

โดย บัณฑิต  ดาแว่น

การเดินทางไปตามรอยพระคัมภีร์ที่ประเทศอิสราเอล  แผนการเดินทางส่วนหนึ่งนั้นจะขาดเรื่องราวทะเลตายไปไม่ได้ 

        Dead Sea  “ทะเลตาย” บ้างก็เรียกว่า  “ทะเลมรณะ”  หรือ “ทะเลเกลือ”  เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นสูง จนชนิดที่ว่าเราสามารถลงไปนอนลอยตัวและอ่านหนังสือได้ โดยไม่จมลงมิดตัว  ส่วนจะมีวิธีการและประสบการณ์ที่ลงไปด้วยตัวเองของผมอย่างไรบ้าง ติดตามกันต่อไปนะครับ

คณะของเราร้อยกว่าชีวิต ยังพักอยู่ที่โรงแรมในเมืองเบธเลเฮมที่ชื่อว่า Manger Square Hotel เป็นโรงแรมน่าจะระดับสามถึงสี่ดาว  อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวทั้งห้างสรรพสินค้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง โบสถ์ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระเยซู  สถานที่คนเลี้ยงแกะได้รับการแจ้งข่าวจากทูตสวรรค์ให้ไปดูพระผู้ช่วยให้รอดมาประสูติ เป็นต้น ชื่อโรงแรม Manger คือ รางหญ้า เขาคงจะตั้งชื่อตามเหตุการณ์ที่มารีย์และโยเซฟใช้เป็นที่รองรับพระกุมารเยซูในวันที่ประสูติ ตามการบันทึกของพระคัมภีร์ว่า โยเซฟและมารีย์ต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธซึ่งอยู่ทางเหนือของอิสราเอล ต้องเดินทางลงมายังบ้านเกิดเมืองนอนตามคำสั่งของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส แห่งโรม ที่ออกคำสั่งให้มีการจดทะเบียนสำมโนครัวทั่งทั้งแผ่นดิน เพื่อสำรวจประชากรและเก็บภาษี (ลูกา 2.1-7)  ผู้คนจำนวนมากต้องเดินทางเพราะคำสั่งนี้ ขณะที่มารีย์ท้องแก่แล้ว แต่ต้องเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระยะทางจากนาซาเร็ธถึงเบเลเฮมประมาณ 160 กิโลเมตร อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์สำหรับคนปกติที่เดินเท้าและอาศัยสัตว์เป็นพาหนะ ส่วนคนท้องแก่จะยากลำบากแค่ไหนต้องจินตนาการดูนะครับ ประกอบกับ สภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาโขดหิน หนทางขึ้นลง คดเคี้ยวเลี้ยวลด มีทางสูงชัน และทางเปลี่ยวอันตรายรอบข้างทั้งจากสัตว์ป่าและโจรผู้ร้าย สุดท้ายมาถึงเบธเลเฮม แต่หาที่พักไม่ได้ จึงต้องอาศัยบริเวณคอกสัตว์ ซึ่งอาจเป็นโพรงถ้ำที่ปรับมาใช้ประโยชน์ของคนท้องถิ่น 

พูดถึงโรงแรมที่นี่ ต้องเล่าเรื่องอาหารการกินสักนิด  ทุกเช้าจะจัดอาหารแบบฟุบเฟ่ หลากหลายชนิด แน่นอนเป็นอาหารสไตน์ตะวันออกกลาง อิสราเอล และ อาหรับ ที่เต็มไปด้วย นม เนย ซีส เนื้อวัว เนื้อแพะ   ไก่ และปลาสารพัด ที่ขาดไม่ได้คือผัก ผลไม้จากท้องถิ่นเรียงรายกันตระการตา  ผมในฐานะนักชิม นักกิน(แบบไม่เลือกหน้า แต่ว่าหุ่นยังเฟิร์มเสมอ.. ฮะ..ฮะ..ฮ้า!!) ไม่พลาดที่ลองชิมนั่นชิมนี่ทุกมื้อกันเลย ผมชอบประเภทผัก และพวกเนย ซีส เป็นพิเศษ ส่วนนมแพะนั้นกลิ่นมันจะแรงนิดๆ แต่เขาก็บอกว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับนมของแม่เชียวนะ แต่เอาละโฆษณาไปผมก็ไม่ชินกับกลิ่นอยู่ดี ซีสบางอย่างก็มีกลิ่นและรสชาติแปลกลิ้นเหมือนกัน ส่วนที่ผมมักจะเลี่ยงคือมะกอกเทศดองเท่านั้น สรุปคืออร่อยทุกอย่างครับ

หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินทาง  ต้องทำเวลากันหน่อยผมเดินขึ้นลงบันไดของโรงแรมไปห้องพักชั้นหกทุกครั้ง ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย เพราะหากรอขึ้นลิฟท์ไม่ทันแน่ เฉพาะคณะของเราก็ร้อยกว่าท่านแล้ว  วันนี้เป้าหมายใหญ่คือเดินทางไปที่ ทะเลเดดซี (Dead sea) ที่ขึ้นชื่อว่า เค็มที่สุดในโลก  ต้องเตรียมตัวและฟังข้อมูลคำแนะนำจากผู้จัดการทัวร์ ว่าไม่ควรตัดเล็บ โกนหนวด หรือกระทำการใดที่อาจจะเป็นเหตุให้เกิดรอยแผล ขีดข่วนตามร่างกาย เพราะหากลงไปในน้ำทะเลตายที่เค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไปถึงสิบเท่าแล้ว ไม่อยากจินตนาการเลยว่าจะแสบถึงทรวงขนาดไหน  เราต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเวลาลงเล่นน้ำด้วย  จากนั้นพวกเราก็ทยอยขึ้นรถบัสและเตรียมตัวเวียนหัวไปกับเส้นทางอันน่าตื่นเต้นแล้วละครับ

เส้นทางที่ไปยังตระการตา น่าสนใจทุกเรื่องราวในมุมมองของคนที่ไปสัมผัสครั้งแรก ทั้งไต่ไปบนเนินเขา สันเขา ลงหุบเหวลึกและขึ้นไปอย่างสูงชัน  พลขับมืออาชีพยังนำพวกเราผ่านเส้นทางทะเลทรายยูเดีย ที่ตลอดสองข้างทางเป็นภูเขาหินแห้งแล้ง สลับกับสวนมะกอกเทศ องุ่น และพืชพันธ์ท้องถิ่น แม้รถจะเคลื่อนไปแต่ยังมองเห็นแพะ แกะ ที่ปล่อยเดินตามเนินเขากินหญ้าแห้งตามสภาพ และมองเห็นคนตัวคล้ำๆ เดินตามฝูงสัตว์ของเขา ท่ามกลางแดดแผดเผา  มัคคุเทศก์อธิบายให้ฟังว่า นั่นคือสภาพชีวิตของชนเผ่าเร่ร่อนที่ยังดำรงชีพด้วยวิถีดั้งเดิม เขาเรียกว่า “ชาวเบดูอิน” ซึ่งทุกวันนี้อาจจะมีจำนวนน้อยลงไป แต่ยังมีให้เห็น  น่าจะเป็นภาพตัวอย่างที่ดีเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ถึงวิถีชีวิตของคนสมัยเมื่อสามพันปีก่อนได้ว่าเรื่องราวแบบนี้มีอยู่จริง

เส้นทางยังเลียบไปตามแม่น้ำจอร์แดนที่เป็นสายน้ำที่เชื่อมมาจากทะเลกาลิลีอันเป็นทะเลสาบน้ำจืดไหลลงมาทางแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลตาย ซึ่งน้ำจืดกลายเป็นน้ำเค็มเข้มข้น  เราได้เพียงชำเลืองมองแม่น้ำจอร์แดนที่คดเคี้ยวไม่เพียงเส้นทางรถ บริเวณ Qasr EL Yahud ริมแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันตก เชื่อกันว่าพระเยซูมารับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่นี่เมื่อสองพันปีก่อน  มัคคุเทศก์ปลอบใจเราว่า ไม่ต้องลงไปดูก็ได้นะครับ เพราะน้ำที่แม่น้ำจอร์แดนคงไม่แตกต่างจากน้ำที่อื่นนักหรอก แถมอากาศยังจะร้อนระอุอีกด้วย หากต้องลงไปก็เดินผ่าดงหญ้าไปอีก และไม่รู้ว่าจุดไหนเป็นจุดไหนที่เกิดเหตุการณ์ใดบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมดแล้ว เป็นอันว่าฟังและชำเลืองดูก็พอ 

เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ ๆ ทะเลตายแล้วพวกเราชาวคณะยังได้ไปเยี่ยมชม ถ้ำคุมราน (Qumran)เป็นบริเวณที่เจ้าสำนักสมัยนั้นสั่งสอนลูกศิษย์ของตน และเหตุการณ์ณ์การเขียน การคัดลอกพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้นที่บริเวณนี้ เป็นสถานที่คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินพบม้วนหนังสือโบราณโดยบังเอิญและกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์ที่เราเชื่อกันทุกวันนี้เป็นความจริงอย่างอัศจรรย์เพราะข้อความ เนื้อหา ตรงกับสำเนาโบราณที่พบ เหตุการณ์ค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1947 นี่เอง  เอาไว้จะเล่ารายละเอียดของเรื่องนี้อีกทีนะครับ

เมื่อรถทัวร์จอด เราต่างเปลี่ยนชุดเป็นขาสั้นเสื้อยืด รองเท้าแตะ สะพายย่ามใส่ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสระผมเพื่อเตรียมตัวลงทะเลตายแล้วครับ  มาถึงแล้ว ทะเลตาย ทะเลมรณะ ทะเลเกลือ ทะเลเค็มที่ได้ยินมานาน ความฝันเป็นจริงในวันนี้ จะลงแช่น้ำ จะชิม จะใช้โคลนทาตัว และจะลอยตัวในทะเลนี้อีกไม่กี่อึดใจแล้ว

ทะเลตาย - Dead Sea เป็นทะเลที่ต่ำที่สุดของโลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลทั่วไปกว่า 400 เมตร และน้ำในทะเลนี้เค็มกว่าทะเลปกติถึง 10 เท่า เพราะมีปริมาณ แร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่า เช่น ไอโอดีน  10  เท่า  แมกนีเซียม 15 เท่า โบรมีน 20 เท่า ทำให้เกิดความหนาแน่นมากจนท่านสามารถลอยตัวได้โดยไม่จมแม้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น จากข้อมูลพบว่า  ทะเลตายอยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียทางด้านเหนือ และที่ราบสูงทรานส์จอร์แดนทางตะวันออก  แม่น้ำจอร์แดนไหลจากทางเหนือมายังทะเลตายแห่งนี้ ซึ่งทะเลตายมีความยาว 80 กิโลเมตร กว้าง 18 กิโลเมตร พื้นที่ 1,020 ตารางกิโลเมตร โดยมีแหลมอัลลิซาน (แปลว่าลิ้น) แบ่งทะเลสาบด้านตะวันออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือใหญ่กว่า แอ่งตอนใต้นั้นเล็กและตื้น(ลึกประมาณ 3 เมตร) ในสมัยที่เขียนพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 พื้นที่บริเวณตอนเหนือเท่านั้นที่มีผู้อาศัย และระดับน้ำต่ำกว่าในปัจจุบัน 35 เมตร

จากเรื่องราวกล่าวขานกันว่า  บริเวณทะเลตายแห่งนี้ อาจเป็นบริเวณของเมืองโสโดมและโกโมราห์ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ถูกถล่มลงด้วยไฟกำมะถัน เพราะพระเจ้าเห็นความชั่วช้าของพวกเขาที่ใช้ชีวิตอย่างโสครกโสมมในทางศีลธรรมอย่างหนัก  ชายสมสู่กับชาย หญิงสมสู่กับหญิงอย่างโจ่งแจ้ง  พระเจ้าสำแดงเรื่องนี้แก่อับราฮัม ชายผู้ตั้งใจเชื่อฟังพระเจ้าและเป็นต้นตระกูลแห่งความเชื่อมาจนปัจจุบันนี้ บันทึกเรื่องราวในปฐมกาลบทที่ 18 และ19 ขณะที่อับราฮัมอาศัยอยู่ในทุ่งเลี้ยงสัตว์ของเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าต้องการให้อับราฮัมรู้เรื่องการทำลายเมืองโสโดมโกโมราห์ก่อนที่จะทำลายเสีย โดยเสด็จมากับทูตสวรรค์เพื่อยืนยันพระสัญญาต่ออับราฮัมว่าเขาจะมีทายาทสืบสกุลแน่นอน และเมื่อกำลังจะไปทางเมืองโสโดมและโกโมราห์ก็แจ้งเรื่องนี้แก่อับราฮัม (Genesis 18:16-19)

พระคัมภีร์บันเหตุการณ์ที่พระเจ้าพูดกับอับราฮัมต่อไปว่า... พระเจ้าได้ตรัสว่า   “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน   และบาปของเขาก็หนักมาก1เราจะลงไปดูว่า พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่   ถ้าไม่เราก็จะรู้”   - Genesis 18:20-21

จากนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าตรงไปยังเมืองโสโดมเพื่อทำลายทิ้ง  อับราฮัมได้ทูลอ้อนวอนพระเจ้าที่ยังสนทนากับเขาอยู่ และขอพระเมตตาเพื่อเมืองโสโดมว่า ถ้ามีคนชอบธรรม ห้าสิบ... สี่สิบห้า... สี่สิบ สามสิบ ยี่สิบ หรือ สิบคน... พระองค์ยังจะทำลายหรือไม่ พระเจ้าตอบว่าเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมเพียงแค่สิบคนก็จะไม่ทำลาย แต่สุดท้ายเมืองโสโดม โกโมราห์ หาคนดีได้ไม่ถึงสิบคน  จึงถูกทำลายสิ้นซาก กลายมาเป็นเรื่องราวของทะเลตายในปัจจุบัน  มีเพียงโลท หลายชายแท้ ๆ ของอับราฮัมและลูกสาวสองคนเท่านั้นที่หนีรอดมาจากเมืองที่ถูกถล่มด้วยไฟ ส่วนภรรยาของโลทมาได้ครึ่งทางแต่หันกลับไปมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งว่าห้ามหันหลังกลับ จึงกลายเป็นเสาเกลือ ( Genesis 19:24-28)

เมื่อพวกเราไปถึงจะรีรออะไรละ ลงทะเลซิครับ...แต่อย่าลืมคำเตือนนะ ทะเลที่นี่เค็มมากๆๆๆ อย่าให้น้ำกระเซ็นเข้าตา หรือว่าถ้ามีบาดแผลก็อย่างเสี่ยงเป็นอันขาด แต่ผมคิดว่าเมื่อมาขนาดนี้แล้วอะไรก็ฉุดรั้งไว้ไม่ได้ จะเป็นหรือตายขอลองดูสักครั้งน่า  คำแนะนำเพิ่มเติมคือ การลงไปในน้ำทะเลตายนั้น ต้องค่อยๆ เดินลงไป เพราะเป็นโคลนลึกบางพื้นที่จมไปถึงเข่าทีเดียว แต่ความรู้สึกมันลื่นเท้าและเหนียวๆ กลิ่นทะเลแบบเค็มๆ รู้สึกถึงกลิ่นกำมะถันและความทะมึนตึงของความเข้มข้นของน้ำและโคลน  เมื่อไปถึงระดับลึกถึงหน้าอก ก็ทำท่าเหมือนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ทำท่าหงายหลังไปเล็กน้อย  เท่านี้เท้าและขาทั้งสองก็จะลอยขึ้นมา กลายเป็นผมกำลังนอนหงายลอยอยู่กลางทะเลที่เค็มที่สุดในโลกแล้ว  เสียงขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า ดังระงมทั่วทั้งบริเวณ  โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจภาษาอะไรหรือไม่ นี่แหละครับ ทะเลที่ไม่มีวัน “จืด” และไม่มีวัน “จม”  ที่ผมโหยหามานานว่าจะมาสัมผัส บัดนี้ลอยตัวอยู่ที่นี่แล้ว พอเล่นได้ที่สักพักก็หันมาที่ตื้นเพื่อนำโคลนมาพอกตัว และไม่ลืมที่จะบรรจุใส่ขวดน้ำพลาสติกเพื่อนำไปฝากคนที่บ้านเป็นที่ระลึกด้วย เพราะหากต้องซื้อจากร้านขายของที่ระลึกและทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโคลนที่นี่แล้วราคาไม่น้อยกว่าพันบาทต่อกระปุกเล็ก ๆ เรื่องอะไรผมจะยอมจ่ายละ !!  เล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่าขวดน้ำยี่ห้อเยรีโคที่ใส่โคลนนั้น มันก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านจนทุกวันนี้และยังไม่ได้เปิดใช้เลย

มัคคุเทศก์เล่าว่า พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ เป็นที่หลงใหลของมาร์คแอนโทนี่และชายทั้งปวงในสมัยนั้น ก็ได้มานำโคลนจากทะเลตายแห่งนี้ชโลมตัวเพื่อให้ผิวพรรณสดสวย โดยพระนางมักจะมาพักผ่อนที่นี่เป็นประจำด้วย

ปัจจุบันพบว่าปริมาณน้ำในทะเลตายเริ่มลดน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง เพราะมีการระเหยไปตามธรรมชาติเนื่องจากความเค็มที่เข้มข้นขึ้น และที่หายไปมากเพราะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำของชนชาติที่อยู่ในบริเวณนั้นคือ อิสราเอล และปาเลสไตน์ รวมทั้งจอร์แดน ที่ต่างมีความต้องการใช้น้ำอย่างมาก จึงต้องกักตุนน้ำจืดจากแม่น้ำจอร์แดนไม่ให้ไหลลงมายังทะเลตายได้เหมือนก่อน อีกทั้งปริมาณน้ำฝนที่ลดน้อยลง จึงเกิดปรากฏการณ์ทะเลตายแห้งเหือดขึ้นมา แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกฝ่ายจะหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ด้วยกัน แม้จะเป็นศัตรูทางการเมืองและเชื้อชาติมายาวนาน แต่เพื่อความอยู่รอดคงต้องช่วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย  สังเกตจากแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในแถบตะวันออกกลางพวกเขาก็มีจุดร่วมและจุดสงวนในความแตกต่างกันอยู่แล้ว เช่น เราไปเที่ยวชมพระวิหารที่อยู่ภายใต้การครอบครองของอาหรับ แต่ต้องใช้ทางขึ้นของอิสราเอล และพักโรงแรมของชาวปาเลสไตน์ เป็นต้น  ทั้งการขายสินค้า ของที่ระลึก ก็ไม่ได้กำหนดใครเชื้อชาติหรือศาสนาใด ๆ เมื่อเราเดินผ่านไปเห็นชาวอาหรับขายไม้กางเขน และสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูเป็นปกติกันอยู่แล้ว

หลังจากลอยตัวในทะเลตายและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจนพอใจแล้ว คณะของเราเดินทางขึ้นเหนือไปต่อที่บริเวณภูเขาที่พระเยซูถูกมารทดลองซึ่งเป็นอีกเรื่องราวที่จะเขียนกันต่อนะครับ

เดดซี – Dead sea ทะเลที่ไม่มีวันจืด ไม่มีวันจม  ผมได้ประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้ว มีบทเรียนชีวิตที่เป็นข้อคิดมากมาย  อย่างเช่น ขอให้ชีวิตเป็นดังเกลือที่รักษาความเค็มเสมอ เพื่อจะเป็นชีวิตที่พอพระทัยและใช้การได้อยู่เสมอ พระเยซูตรัสว่า

 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก   ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว   จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้   แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร   มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ - Matthew 5:15

เนื่องจากความเค็มของทะเลตายนี่เองที่ทำให้เกิดทรัพยากรให้ล้ำค่าแก่บรรดาประชากรของพระเจ้าให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไม่น้อย ทั้งการต้อนรับท่องเที่ยวจำนวนมากตลอดมา 

ในอีกด้านหนึ่งก็ได้รับบทเรียนว่า ทะเลตาย ได้ชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความตาย เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในน้ำทะเลนี้ได้เลย ทั้งที่มันรับน้ำจืดที่ไหลมาจากทะเลกาลิลีที่ได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงทะเลตายกลับกลายเป็นทางตันไม่มีที่ระบายออกไปสู่ที่อื่น จึงเป็นเหตุให้แร่ธาตุที่มากับน้ำนั้นสะสมอย่างหนาแน่นกลายเป็นทะเลเกลือที่เค็มที่สุดในโลก  ในด้านที่เกี่ยวกับลูกศิษย์พระเยซูพบว่ามีหลายคนที่มาจากแถบทะเลกาลิลี ได้แก่ เปโตร ยอห์น ยากอบ อันดูร์ แต่ไม่มีใครสักคนที่มาจากแถบบทะเลตาย เพราะในสมัยนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ได้เลย  ชีวิตที่มีแต่รับอย่างเดียวโดยไม่มีแบ่งปันออกไปนั้น มักจะนำไปสู่ความตาย ความแห้งแล้ง และขาดแคลนบุคลากรที่สำคัญไปด้วยเช่นกัน

ถ้ามีโอกาส อยากจะกลับมาอาบน้ำเกลือ และเจือตัวด้วยโคลนที่นี่อีกหลายๆ ครั้ง และยังอธิษฐานไว้ด้วยว่าอยากให้ภรรยาได้มาด้วยกันก็จะดียิ่ง อาจารย์พงษ์ศักดิ์ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าท่านเคยอธิษฐานอย่างนั้นและพระเจ้าตอบท่านแล้ว ส่วนผมยังรอคอยพระเมตตาที่จะมากับคนที่รักสักวันหนึ่ง  ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงดังนั้น แล้วจะเขียนเล่าสู่กันฟังนะครับ

...คอยติดตามเรื่องอื่นๆ ต่อไปครับ...