28 พฤษภาคม 2564

The Upper room: ห้องชั้นบน ที่นัดพบคนของพระเจ้า โดย บัณฑิต ดาแว่น

 


คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

The Upper room: ห้องชั้นบน

ที่นัดพบคนของพระเจ้า

โดย บัณฑิต ดาแว่น

ห้องชั้นบน ในเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีก่อนเป็นสถานที่สำคัญที่เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตามแผนการของพระเจ้า ซึ่งเป็นพรและการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก  ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมีโอกาสได้มาตามรอยพระคัมภีร์ครั้งนี้ (ค.ศ. 2019) ได้มายืนอยู่ในห้องที่ พระเยซูคริสต์กับเหล่าสาวกมารับประทานอาหารมื้อสุดท้ายที่เรียกว่า “ปัสกา” เพื่อระลึกถึงพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลให้ออกมาจากการเป็นทาสของอียิปต์ ซึ่งบรรพบุรุษของอิสราเอลที่เรียกว่าคน “ฮีบรู” ถูกดขี่ข่มแหงนานถึง 430 ปี 

อาหารมื้อสุดท้าย  หมายถึง อาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์ได้รับประทานกับสาวกในคืนวันพฤหัสบดีก่อนที่จะถูกจับ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา  ในคืนวันนั้นพระเยซูใช้เหตุการณ์วันปัสกาให้กลายเป็นวันแห่งการระลึกถึงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของความบาปโดยการยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์นั้นได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไท  พระคัมภีร์บันทึกว่า

ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก (มัทธิว 26-26-28)

นักวิชาการพระคัมภีร์สันนิฐานว่า ห้องชั้นบนนี้น่าจะเป็นบ้านของแม่มาระโก หนึ่งในผู้หญิงที่ติดตามพระเยซู  มาระโกลูกชายของเธอเด็กหนุ่มที่ติดตามเปโตรลูกศิษย์ของพระเยซูและต่อมาเขาเป็นผู้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูซึ่งเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม  ทำให้เราพบว่าอิทธิพลแห่งความเชื่อที่มาจากคุณแม่นั้นทำให้ชีวิตของมาระโกได้รับและทำสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อมวลมนุษยชาติไปชั่วกาลนาน

นักวิชาการอีกกลุ่มยังกล่าวว่า ห้องชั้นบนแห่งนี้ยังเป็นสถานที่นัดพบกันของกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า “เอสซีน” (Essene) เรื่องราวของเอสซีนนั้นผมได้เขียนถึงพวกเขาในฐานะเป็นผู้คัดลอกพระคัมภีร์โบราณในชุมชนคุมราน (Qumran)ไว้บ้างแล้ว  พวกเอสซีนก็เป็นกลุ่มคนที่แสวงหาพระเจ้า อุทิศตนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์อันเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พวกเขาเกิดขึ้นและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมสมัยกับพระเยซู ฟาริสี สะดูสี และธรรมาจารย์ 

หากจินตนาการไปในเวลานั้นอาจเป็นไปได้ที่แม่ของมาระโกเป็นเจ้าของห้องชั้นบนนี้และเปิดไว้เพื่อให้บริการกลุ่มคนที่จะใช้จัดกิจกรรมทางความเชื่อ ส่วนจะให้เช่าหรือใช้ฟรีนั้นไม่ทราบได้ เพราะหากเชื่อมโยงพระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพวกเอสซีน  และทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เติบโตมาพร้อม ๆ กัน โดยยอห์นผู้ให้บัพติศมาเกิดก่อนพระเยซูประมาณ 6 เดือน (ลูกา 1.24-27) ยอห์นเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซูด้วย และยังยืนยันว่าพระเยซูเป็นลูกแกะของพระเจ้าที่มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปตามคำสัญญาและเป็นไปตามแผนการณ์ของพระเจ้า(ยอห์น 1.29-37) นั่นหมายความว่าลูกแกะที่เคยฆ่าในวันปัสกาเพื่อระลึกถึงการถูกนำออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์นั้นเป็นภาพที่เล็งถึงพระเยซูที่จะมาตายเพื่อไถ่บาป

นอกจากพระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมาแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงไปถึงเปโตรผู้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูและมาระโกเป็นลูกศิษย์ของเปโตร  ดังนั้น การมาใช้ห้องชั้นบนจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  พระคัมภีร์ยังช่วยให้เราได้เห็นว่าพระเยซูและลูกศิษย์น่าจะมาใช้สถานที่แห่งนี้หลายครั้ง 

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ทรงสั่งสาวกให้ไปรอที่กรุงเยรูซาเล็ม กำชับให้รอที่นั่นจนกว่าจะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่พวกเขา ซึ่ง ณ เวลานั้นพวกสาวกของพระเยซูยังไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะยังจมอยู่กับความสับสนวุ่นวายจากการตายของพระอาจารย์ การงุนงงสงสัยที่เห็นพระเยซูมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ ว่าทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกเขายังไม่เชื่อ ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พระเยซูเคยตรัสสอนไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมา ว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกทนทุกข์ทรมานจนกระทั่งความตาย และในวันที่สามจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นคำพยากรณ์นับพันปีที่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่ามันจะเกิดขึ้นและสำเร็จในตัวของพระองค์ (ลูกา 24.36-49, กิจการ 1.4-5)

บรรดาสาวกยังยึดมั่นในคำสั่งของพระเยซู พวกเขาไปรวมตัวกันที่ห้องชั้นบนในเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บันทึกว่ามีประมาณ 120 คน (กิจการ 1.12-15) พวกเขาใช้เวลาอธิษฐาน นมัสการพระเจ้า โดยไม่ได้ออกไปที่ไหน นับตั้งแต่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เพราะยังมีการคุกคามจากทางผู้นำศาสนายิวและทหารโรมในเวลานั้นที่หาวิธีกำจัดคนกำจัดข่าวเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นการจ้างให้คนเล่าข่าวลือว่าสาวกของพระเยซูขโมยศพพระเยซูไปซ่อนและอ้างว่าเป็นขึ้น การขมขู่ไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องการถูกประหารอย่างไร้ความผิดและการเป็นขึ้นตามคำทำนาย  การตามจับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู เป็นต้น  ประกอบกับความกลัว ความสงสัยของพวกสาวกเอง การมารวมตัวกันในสถานที่ที่ปลอดภัยน่าจะดีกว่าแน่นอน  ทั้งนี้ เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  แม้ในขณะที่มนุษย์ยังไม่พร้อม ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ด้วยความรักความเมตตา พระองค์ยังทรงคอยช่วยเหลือตลอดมา (โรม 5.6-11)

เรื่องราวของห้องชั้นบน เกี่ยวข้องประวัติศาสตร์คริสตจักร

กิจการบทที่ 2 บันทึกถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกก็คือ...เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.1-4)

วันเพ็นเทคอสต์ คือ วันที่ห้าสิบ นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในเช้าวันอาทิตย์ (ปี ค.ศ. 2021 คือ 4 เมษายน) จากนั้นทรงสำแดงกายใหม่ให้สาวกได้เห็นหลายครั้งเป็นเวลาสี่สิบวันจากนั้นจึงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และถัดมาอีกสิบวัน ที่เรียกว่า “เพ็นเทคอสต์” ภาษากรีกหมายความว่า “ห้าสิบ” (ปี ค.ศ. 2021 คือ 23 พฤษภาคม) ดั้งเดิมเป็นเทศกาลของชาวยิว อยู่หลังจากของเทศกาลปัสกาและต่อด้วยการฉลองเทศกาลสัปดาห์ซึ่งเป็นการฉลองการเก็บเกี่ยว(เลวีนิติ 23.15)  พระเจ้าใช้เทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวนี้เพื่อทำการใหญ่ของพระองค์ผ่านทางผู้ติดตามพระเยซูเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือต่อไปนี้จะเป็นการฉลองถึงการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงประทานเป็นลมหายใจให้แก่มนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้างครั้งแรก(ปฐมกาล 2.7) เป็นพระวิญญาณที่จะสถิตอยู่กับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคนนั้นเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่แล้วโดยทางพระวิญญาณ (ยอห์น  1.12, 3.5-8, 2โครินธ์ 5.17, เอเฟซัส 1.13-14)

จากเหตุการณ์ที่ห้องชั้นบนท่ามกลางเหล่าผู้ติดตามพระเยซูประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนในวันนั้นที่พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญา ทำให้พวกเขากลายเป็นคนใหม่ ที่มีความมั่นใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ  พวกเขาจึงไม่กลัว ไม่หยุดการเป่าประกาศถึงเรื่องราวแห่งความจริงนี้ 

เปโตร เป็นหนี่งในคนเหล่านั้นที่ประกาศเสียงดังต่อผู้คนจำนวนมากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเมสสิยาห์ตามคำพยากรณ์ไว้ พระองค์ถูกจับ ถูกประหารอย่างไร้ความผิด ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และในที่สุดทรงเป็นขึ้นมา ทรงปรากฏให้หลายคนได้เห็น ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังคนของพระองค์  ใครก็ตามที่ยอมรับว่าตนเองได้ทำผิดบาปต่อพระเจ้าและยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เขาจะรับการช่วยให้รอดพ้นจากโทษของบาปนั้นโดยความเชื่อในพระเยซู 

นายแพทย์ลูกาบันทึกประวัติศาสตร์นี้ไว้ในพระธรรมกิจการบทที่สองว่า เมื่อผู้คนได้ยินถ้อยคำของเปโตร พวกเขาก็ยอมรับความจริงนั้น มีคนยอมติดตามพระเยซูคริสต์จำนวน 3,000 คนในวันเดียว (กิจการ 2.41) ต่อมามีคนจำนวนมากเข้ามาร่วมและติดตามพระเยซูทุกวัน ๆ จนเกิดการขยายออกไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ คาดว่ามีประชากรผู้ติดตามพระเยซูสองพันกว่าล้านคนทั่วโลก

ข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ ณ บริเวณห้องชั้นบน และกระจายออกไปทั่วเยรูซาเล็มและทั่วโลกในเวลานี้นั้น เกิดจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูและเกิดความเข้าใจถึงความจริงจนกระทั่งยอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งชีวิตของตนเอง  พระคัมภีร์บันทึกว่า เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือพวกเขาเวลานั้น มีเปลวไฟและเกิดลมพัดแรงพร้อมเสียงจากฟ้า

            ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.2-4)

จากนั้นพวกเขาเริ่มต้นพูดภาษาอื่น ๆ ซึ่งผมนับได้อย่างน้อยสิบสี่ภาษาตามกลุ่มชนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาร่วมในเทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวขณะนั้น พวกเขาประหลาดใจที่ได้ยินสาวกของพระเยซูซึ่งปกติพูดได้แค่ภาษายิว(อาราเมค และฮีบรู) แต่ขณะนั้นพวกเขาต่างได้ยินเป็นภาษาของตนเองที่มาจากแดนไกลนั่นเอง แม้มีบางคนคิดว่าพวกเขาเมาเหล้า แต่เมื่อฟังคำอธิบายของเปโตรแล้วต่างรู้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่มาจากพระเจ้า 

ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันเพนเทคอสต์เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของพระเจ้าด้วยภาษาที่หลากหลายเพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จักพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  จากเหตการณ์หลายพันปีก่อนครั้งเมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้าโดยการสร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของตนเองที่มีวิทยาการการก่อสร้างที่ล้ำสมัยและคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าอีกต่อไป เพราะต่อไปนี้หากพวกเขาต้องการอะไรก็สร้างขึ้นมาเองได้  เวลานั้นคนทั้งโลกพูดภาษาเดียวกัน แต่สุดท้ายพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะมีภาษาใหม่ ๆ เกิดขึ้น หอคอยนั้นจึงถูกทิ้งร้างสร้างไม่สำเร็จและพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปตามภาษาของตนเองและเรียกหอนั้นว่า “บาเบล” แปลว่า “วุ่นวาย” (ปฐมกาล 11) นั่นหมายความว่าเมื่อคนเราพูดคนละภาษาย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่อาจจะร่วมมือกันได้ (ทุกวันนี้แม้คุยภาษาเดียวกันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะคุยคนละเรื่องเดียวกัน คนละความหมาย ใช่หรือไม่)

เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จลงมาทำให้เกิดการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างอัศจรรย์  พระองค์สามารถช่วยให้คนที่แม้จะต่างภาษาแต่คุยกันรู้เรื่องได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเข้าใจและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า  จึงทำให้เห็นว่าการนำคนมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์เป็นเพียงผู้รับใช้ เป็นช่องทางที่พระเจ้าใช้ให้สื่อสารพระวจนะนั้นออกไป ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น

เมื่อมีคนเชื่อพระเยซูมากขึ้น พวกเขามารวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า ศึกษาคำสอนแห่งพระวจนะ ร่วมสามัคคีธรรม อธิษฐานและช่วยเหลือกันและกัน ต่อเมื่อ พวกเขาได้ชื่อว่า “คริสเตียน” (กิจการ 11.26) คือมีคนเรียกว่าพวกเขาว่า ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ นั่นเอง  ต่อมามีการจัดตั้ง จัดระบบ จัดองค์กร จนเรียกว่า “คริสตจักร” ของพระเยซูคริสต์กระจายไปทั่วโลก

ณ ห้องชั้นบน ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 33 ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของ “คริสตจักร” ที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างเป็นทางการ  ตามที่ทรงแจ้งแก่สาวกก่อนนั้นว่าจะทรงตั้งคริสตจักรขึ้นบนศิลา (มัทธิว 16.16-18)

ผมเดินทางขึ้นไปยังห้องชั้นบนเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2019 ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางท่ามกลางแดดแรงและต้องขึ้นไปตามความสูงชันของภูเขาศิโยน แม้จะเป็นในเมืองแล้ว แต่เหมือนเดินขึ้นบันไดตึกสูงมากกว่าสิบชั้น ทำเอาขาผมปวดระบมไปหมด แต่เกินคุ้ม เกินคำบรรยายเมื่อได้เข้าไปในห้องที่พระเยซูประทับที่นั่น ทรงพูดคุยและกินอาหารกับบรรดาสาวก และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่นี่ หลังจากนั่งพักที่บันไดในห้องชั้นบนสักพัก ผมเดินมาสองสามก้าวใช้มือคลำที่ต้นเสาตรงกลางห้องด้วยใจขอบพระคุณ  หันมาฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ยกระดับขึ้นมีสัญญาลักษณ์เป็นต้นมะกอกเทศสีทองตั้งไว้ ซึ่งมัคคุเทศก์ได้อธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สภาพห้องยังรักษาไว้ตามแบบโบราณที่สร้างด้วยก้อนหินเรียงกันขึ้นไป แม้จะเป็นสถานที่ห้องชั้นบน แต่อากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้รู้สึกเย็นสบาย เกิดความสุขเข้าไปในหัวใจของผมทีเดียว แล้วพวกเราได้ร่วมใจกันอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นเดินต่อถัดไปยังสถานที่เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุศพของกษัตริย์ดาวิด 

เรื่องราวห้องชั้นบน ที่นัดพบสำหรับคนของพระเจ้า ในปัจจุบันจะไม่มีวันที่จะจบสิ้นและจำกัดเฉพาะที่เยรูซาเล็มเท่านั้น เพราะเราสามารถเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้าได้ในทุกที่ทุกเวลา ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตกับผู้เชื่อเสมอ และทรงให้การนมัสการไม่กำจัดอยู่ที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป แต่ให้นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าสืบไป ตามที่พระเยซูกล่าวว่า

แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยอห์น 4.23-24)