24 กรกฎาคม 2564

Shiloh: เมืองชิโลห์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

 

คิดอย่างบัณฑิต

ข้อคิดจากอิสราเอล

Shiloh: เมืองชิโลห์

โดย บัณฑิต ดาแว่น

เมืองชิโลห์ (Shiloh) เป็นศูนย์กลางของชนชาติอิสราเอลโบราณอยู่ในพื้นที่ของยูเดียและสะมาเรีย เริ่มมาตั้งแต่สมัยโมเสสจากนั้นมีการแบ่งดินแดนในสมัยโยชูวา (โยชูวา 18.1) ดำเนินต่อมาจนถึงก่อนจะมีการสถาปนากษัตริย์ คือราว ก่อน ค.ศ. 1100  ยุคนั้นยังเป็นการนำของปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะ  โดยใช้หลักธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ประทานมาตั้งแต่สมัยโมเสสเป็นกฎหมาย  มีปุโรหิต เอลี  ทำหน้าที่ดูแลประชากรทั้งฝ่ายศาสนพิธี และชีวิตประจำวัน  ที่ชิโลห์ จึงเป็นที่ตั้งของพลับพลา (Tabernacle) สถานที่นมัสการพระเจ้า ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และภายในห้องอภิสุทธิสถานยังมีหีบพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ (Ark of the Covenant) ซึ่งภายในหีบบรรจุแผ่นหินพระบัญญัติ 10 ประการ โถทองคำใส่มานา(อาหารที่พระเจ้าประทานแก่ชนชาติอิสราเอลช่วงอพยพจากอียิปต์อยู่กลางทะเลทราย) และไม้เท้าอาโรนที่ออกดอกตูม(อพยพ 25,1พง์กษัตริย์ 8, ฮีบรู 9.4)  หีบพันธสัญญาตั้งอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลที่เมืองชิโลห์เกือบ 400 ปี  มีประชาชนไปร่วมพิธีถวายเครื่องบูชาที่ชิโลห์ปีละครั้ง

ปัจจุบัน เมืองชิโลห์เป็นซากปรักหักพังจาการรุกรานของหลายชนชาติ แต่ยังได้รับการบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการศึกษา อยู่ในเขตเวสต์แบงก์ตามแนวของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank)  หลังจากรถคณะทัวร์ไปถึง มีการอธิบายและนำโดยมัคคุเทศก์  เราต้องเดินขึ้นไปตามทางลูกรัง ช่วงแรกยังเป็นลักษณะสวนสาธารณะแหล่งการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ เดินไปตามทางยังพบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะนักเรียนหญิงชายที่แต่งตัวน่ารักๆ มาทัศนศึกษา ผมจึงแอบถ่ายรูปเอาไว้ มัคคุเทศก์ชี้ให้ดูต้นอัลมอนด์ ที่กำลังออกผลยังเขียวสดอยู่ คงต้องรอให้มันแก่ เป็นพืชตระกูลถั่ว เขาโฆษณาสรรพคุณดีมากมายหลายประการทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วย  ว่าแล้วก็เดินไปต่อตามทางเดิน ผมแวะถ่ายรูปป้ายอธิบายสถานที่และประวัติความเป็นมาเป็นบางจุด  ตามทางเดินและรอบ ๆ ตามภูเขาที่มีแต่หิน หิน และหิน ทั้งหินก้อนเล็ก ก้อน ใหญ่ และก้อนมหึมา ซึ่งนี่แหละทำให้ผมประทับใจและได้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับก้อนหิน เช่น เรื่องก้อนหินของดาวิด ติดตามตามอ่านได้(https://bandhit.blogspot.com/2019/05/davids-stone.html)

และยังจะมีเรื่องเล่าจากก้อนหินตามมาให้อ่านกันอีกนะครับ  ก้อนหินเป็นของที่ระลึกที่ผมหยิบมาแทบทุกที่ที่ไปเยือน เป็นกลยุทธ์ส่วนตัวที่บันทึกความทรงจำโดยไม่ต้องจ่าย ฮะๆๆ...แต่ต้องดูด้วยนะครับบางแห่งเขาไม่อนุญาตให้เก็บสิ่งของหรือเด็ดดอกไม้ มิฉะนั้นอาจติดคุกกินอาหารยิวจนเลี่ยนเชียวนะ...

เดินขึ้นเขาที่เต็มไปด้วยหิน ต้องระวังการเดินสะดุดและลื่นไหล แม้อากาศจะเย็น ลมแรง แต่เหงื่อเริ่มไหลหลังจากเดินมาครึ่งทาง บางคนหัวเข่าเริ่มปวดตามวัย  พวกเราเข้าไปในอาคารโบราณ ที่เขาเชื่อว่าเคยเป็นธรรมศาลาของชาวยิวโบราณ เพื่อให้ดูวิดีทัศน์เกี่ยวกับเมืองชิโลห์ พลับพลาและการถวายเครื่องบูชา เป็นภาพสามมิติ แสงสีเสียง จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังย้อนยุคไปอยู่ในสมัยนั้นจริง ๆ  จากนั้นขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นอาคารหอคอยชมทิวทัศน์ที่ประกอบไปด้วยก้อนหินอย่างที่เล่ามา  ข้างในอาคารหอคอยมีการฉายสารคดีเกี่ยวกับประวัติของอิสราเอลที่ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง  เดินออกมารอบ ๆ พบหลุมที่เป็นช่องลงไปลึก มีตาข่ายเหล็กปิดไว้ ได้รับคำอธิบายว่านี่เป็นนวัตกรรมการเก็บน้ำมาตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งพระเจ้าให้สติปัญญากับคนยิวใช้ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหินให้เกิดประโยชน์อย่างอัศจรรย์  เดินต่อมาหลายคนเกิดคำถามเมื่อเห็นดอกไม้คล้ายดอกป็อปปี้ (Poppy) หรือดอกฝิ่น ซึ่งผมถ่ายรูปไว้ ต่อมาได้รับคำยืนยันว่าคือดอกฝิ่นจริง ๆ  และยังมีดอกไม้ป่าของพื้นเมืองกระจัดกระจายให้ชื่นชมตลอดทาง

มาถึงบริเวณที่เชื่อกันว่า เคยที่เป็นที่ตั้งของพลับพลาสมัยปุโรหิตเอลี  ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เมื่อก่อนคนที่จะเข้ามาต้องถอดรองเท้า เพื่อแสดงความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้า  แต่บัดนี้พวกเรามายืนล้อมวงและถ่ายรูปโดยยังสวมรองเท้าได้เพราะหลังหมดยุคแห่งการถวายบูชาในพลับพลาแล้ว ชนชาติอิสราเอลได้สร้างพระวิหารเพื่อเป็นศูนย์กลาง  โดยกษัตริย์ซาโลมอน บุตรชายของกษัตริย์ดาวิด ได้ลงมือสร้างอย่างสง่างามที่ภูเขาโมรียาห์ ช่วงปี ก่อน ค.ศ.970-930 (2 พงศาวดาร 3.1) และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในชื่อภูเขาพระวิหารในเยรูซาเล็ม หรือวิหารโดมทอง (Dorm of the Rock)ที่พวกเราก็ต้องไปที่นั่นเหมือนกัน  ด้วยเหตุนั้น มัคคุเทศก์อธิบายว่า ความศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดจึงขึ้นอยู่กับหีบพันธสัญญาและพระวิหารแห่งใหม่  เราจึงมายืน ณ ที่แห่งนี้ที่เคยเป็นพลับพลาโบราณได้โดยไม่ต้องถูกไฟแห่งพระพิโรธเผาให้วอดวาย  แต่ถึงกระนั้นเรายังต้องมีความเคารพยำเกรงพระเจ้าอยู่เสมอในทุกสถานที่ เพราะพระเจ้าเคยใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ 

ข้อคิดที่ผมได้รับจากประเด็นนี้คือ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่สถิตของพระเจ้าผ่านทางพลับพลาและหีบพันธสัญญา แต่ปัจจุบันถูกย้ายไปที่อื่นที่เหมาะสมกว่า  อะไรเป็นเหตุที่ต้องเป็นอย่างนั้น  บางครั้งแทนที่ตัวเราเองจะเป็นศูนย์กลางแห่งพระพรต่อคนอื่น ๆ หรือ พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเราในบางเรื่อง แต่น่าเสียดายหากเราไม่พร้อม ไม่เหมาะ หรือไม่ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าตามที่ควร จึงทำให้พลาดโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ไป

อิสราเอลไม่สิ้นคนดี แม้หมดยุคปุโรหิตเอลีแต่ยังมีซามูเอลมาสืบทอด

พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวในยุคของปุโรหิตเอลี  การกำเนิดของซามูเอล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการปกครองโดยกษัตริย์ไว้ในพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล  เรื่องที่ชวนคิดคือ หากเอลีและลูกชายของท่านยังอยู่ในทางของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พวกเขาน่าจะเป็นต้นตระกูลที่ปกครองชนชาติอิสราเอลไปอีกนาน และสถานที่แห่งนี้คือเมืองชิโลห์คงจะเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณอย่างยิ่งใหญ่ตลอดไป แต่น่าเสียดายลูกชายทั้งสองของท่านทำให้เกิดความทุกข์มาสู่เอลีโดยการยักยอกทรัพย์ บีบบังคับประชาชน และทำสิ่งฉ้อฉลอย่างไม่ยำเกรงพระเจ้า  ชายหนุ่มทั้งสองตายในสงครามและส่งผลให้เอลีผู้พ่ออกแตกตายอย่างทรมานในปั้นปลายของชีวิต (1 ซามูเอล 4) และหีบพันธสัญญายังถูกยึดไปอยู่ในมือของศัตรูด้วย แต่ในที่สุดพระเจ้าก็ทำให้หีบนั้นกลับคืนมาได้

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีชนชั้นนำทำตัวไม่เหมาะสมนั้น ยังมีหนุ่มน้อยซามูเอล เด็กรับใช้ในพลับพลา อยู่ภายใต้การดูแลของปุโรหิตเอลี (อาจเทียบได้กับเด็กวัดบ้านเรา)  ซามูเอล เป็นลูกชายที่เกิดจากคำอธิษฐานของแม่ คือนางฮันนาห์ หญิงหมันที่ทนทุกข์จากการไม่มีลูกมาหลายปี  เธอติดตามสามีมาที่ชิโลห์ทุกปีเพื่อถวายเครื่องบูชาตามประเพณี แต่เธอทำมากกว่านั้น คือใช้เวลาอธิษฐานวิงวอน ภาวนา คร่ำครวญ ร้องขอต่อพระเจ้า จนแม้แต่ปุโรหิตเอลีเข้าใจผิดคิดว่าเธอเมาเหล้าและพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อฟังคำอธิบายว่าเธอมีทุกข์อย่างไรและมีความปรารถนาเช่นใดอย่างถ่องแท้แล้ว จึงได้อวยพรเธอ พระเจ้าตอบคำอธิษฐานฮันนาห์ โดยประทานบุตรชายคนนี้ “ซามูเอล” หมายถึง อธิษฐาน หรือ พระเจ้าฟังคำอธิษฐาน (Samuel sounds like the Hebrew for heard of God)

 และอยู่มาเมื่อถึงกาลกำหนด ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเด็กนั้นว่าซามูเอล เพราะนางกล่าวว่า “ดิฉันทูลขอมาจากพระเจ้า” (1 ซามูเอล 1.20)

หลังจากซามูลเอลหย่านมแล้ว นางฮันนาห์จึงนำมาถวายให้เป็นคนของพระเจ้าที่พลับพลาต่อหน้าปุโรหิตเอลี ตามความตั้งใจที่เธอได้อธิษฐานไว้ (1 ซามูเอล 1.11,24-28)  ซามูเอล คนนี้แหละที่กลายมาเป็นปุโรหิตที่ประชาชนให้ความเคารพบันถือถึงขั้นขอให้เขาเป็นผู้ปกครองทั้งด้านจิตวิญญาณและทางบ้านเมืองแต่ท่านไม่ปรารถนาเป็นผู้ปกครองเมือง  พระเจ้าจึงใช้ท่านให้เป็นผู้เจิมตั้งกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล คือซาอูล และต่อมาได้เลือกกษัตริย์อีกองค์คือ ดาวิด ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลสืบมาจนปัจจุบัน

ซามูเอล เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ และท่านมีความถ่อมตน ไม่ทะเยอทะยานในด้านตำแหน่งหรือชื่อเสียง แต่ทำหน้าที่สำคัญคือ การอธิษฐานเผื่อประชาชน ซึ่งท่านได้ทำสิ่งนี้จนถึงวาระสุดท้าย  ตามคำกล่าวต่อหน้าประชาชนว่า...

ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน -1 Samuel 12:23

ณ เมืองชิโลห์ แห่งนี้ มีบทเรียนที่ล้ำค่าต่อชีวิต  จากชีวิตของเอลีและลูก ที่ต้องถูกพิพากษาโทษเพราะการไม่เชื่อฟัง จึงพลาดโอกาสการเป็นศูนย์กลางแห่งพระพร แต่สำหรับ ซามูเอล  เด็กชายที่ได้เกิดมาเพราะคำอธิษฐาน  เขาได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อทำตามประสงค์ของพระเจ้า จึงทำให้เราระลึกถึงท่าน ในฐานะปุโรหิต  ผู้วินิจฉัย และผู้เจิมตั้งกษัตริย์ให้ชนชาติอิสราเอล และยังเป็นนักอธิษฐานที่คิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ

ลองพิจารณาดูนะครับว่า คุณอยากมีชีวิตแบบเอลีและลูกที่ถูกปฏิเสธในปั้นปลาย

 หรือ 

อยากเป็นคนที่ถูกพระเจ้าเรียกและใช้อย่างซามูเอล จากเด็กรับใช้ในพลับพลา กลายมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล