27 กรกฎาคม 2562

พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง : What then will we have? โดย บัณฑิต ดาแว่น




คิดอย่างบัณฑิต  

พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง :
What then will we have?  
โดย บัณฑิต  ดาแว่น 


...แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า   “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา   พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้างพระเยซูตรัสกับเขาว่า   “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น   พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่   พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า  ผู้ใดได้สละบ้าน   หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา   หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา   ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย  แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น   จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย   และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น ( Matthew 19:27-30)

หลังจากที่พระเยซูแนะนำให้เศรษฐีหนุ่มคนนั้นขายทุกสิ่งแล้วแจกให้คนอื่น เพื่อจะเป็นสาวกและตามพระองค์ไปได้ แต่เขาเป็นทุกข์เพราะห่วงทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มาก  พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเขาทำอย่างไรต่อไปหรือไม่    แต่เหตุการณ์นั้นทำให้สาวกของพระเยซูมีคำถามขึ้นมาทันที       
 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา   พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง”  
พระเยซูมีคำตอบชัดเจนว่า  พวกเขาจะได้อย่างแน่นอน ทั้งสิทธิในการนั่งบัลลังก์พิพากษาร่วมกับพระองค์ และพระพรจากการที่ต้องเสียสละสิ่งสารพัดต่างๆถึงร้อยเท่าทั้งยังได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย ซึ่งนับว่าเกินคุ้มกว่าที่ลงทุน  แต่ถึงกระนั้นยังมีความเสี่ยงสำหรับบางคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง ที่อาจพลาดจากลำดับต้นกลายเป็นสุดท้าย ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่บางคนจะกลายเป็นลำดับต้นอย่างฉับพลันได้ด้วย

คำถามของสาวกที่ว่า   “พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” ทำให้คิดถึงความรู้สึกของคนที่ทุ่มเทชีวิตในการรับใช้พระเจ้าว่า จะได้อะไรบ้างจากการออกไปรับใช้ จากการที่ได้เสียสละสิ่งสารพัดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อคริสตจักร ดูแลคนของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐ ถวายทรัพย์ ถวายแรงกายและอาสาสมัครทำงานต่างๆ
จากประสบการณ์และการสังเกตในการประสานงานและนำทีมอาสาสมัครทั้งจากในและต่างประเทศพบว่าการที่คนใดคนหนึ่งออกไปรับใช้ต่างคริสตจักร ต่างสถานที่ โดยร่วมมือกับคริสเตียนคนอื่นที่มีเป้าหมายคล้ายกันนั้น มีประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย 4  ด้าน  ได้แก่
 1.  ประโยชน์ต่อชีวิตของตนเอง  ชีวิตของคนนั้นจะรับประสบการณ์ใหม่ที่ดีและช่วยพัฒนาการรับใช้ให้มีโอกาส มีความกล้ามากขึ้น ทำให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น 
2.  ประโยชน์ต่อชีวิตของผู้อื่น  คนอื่นๆที่อยู่ในทีมด้วยกันต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และต่างเสริมสร้าง พัฒนาชีวิตมากขึ้น  รวมทั้งคนทั่วไปยังรับสิ่งดีผ่านทางชีวิตของอาสาสมัครด้วย
3.  ประโยชน์ต่อคริสตจักรหรือท้องถิ่นที่มีผู้ไปช่วย ต่างรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจจากพี่น้องที่มาจากที่อื่น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขากระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น และยังช่วยให้งานสำเร็จได้มากกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำเองในเวลาอันสั้นได้ 
4.  ประโยชน์ต่อคริสตจักรที่ส่งอาสาสมัคร  นอกจากที่"ผู้รับ" จะได้พรแล้ว "ผู้ให้" ยิ่งมีพระพรที่มากล้นเช่นกัน เชื่อว่าอาสาสมัครคนนั้นเมื่อกลับไปยังคริสตจักรของตนแล้ว จะเป็นผู้ที่เข้มแข็ง เติบโตและพร้อมที่เป็นพระพรต่อคริสตจักรของตนเองมากกว่าที่ผ่านมาแน่นอน

ประโยชน์ทั้ง 4 ด้าน ที่กล่าวมา เป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่คนใดคนหนึ่งได้ออกไปร่วมมือกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ ในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดผลที่เป็นพระพรหลายเท่า  นับเป็นกระบวนการสร้างชีวิต สร้างสาวก สร้างผู้นำ สร้างผู้รับใช้ และสร้างคริสตจักรอย่างเกิดผลดี  โดยผ่านทางการทำงานในสนามฝึกจริง ในรูปแบบ Learning by Doing  และเราต่างเชื่อว่ายังมีพระพรอีกมากที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือซึ่งกันและกัน  ดังพระวจนะที่สอนว่า  
“...จงฝึกตนในทางธรรม 8เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง   ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง   เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย ( I Timothy 4:8)  
 จริงอยู่   เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า   พร้อมทั้งความสุขใจ (I Timothy 6:6)

การทำงานรับใช้ ไม่ใช่เพราะเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าหรือดีกว่าคนอื่น  แต่ที่สำคัญคือ เรามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของงานรับใช้ เจ้าของทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นต้นแบบแห่งการให้ การรับใช้อย่างสุดชีวิตของพระองค์เพื่อผู้อื่น และเพื่อตัวเรามาก่อนแล้ว (Mark 10.45)  สิ่งที่เราทำนั้นเป็นการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ เพื่อแสดงว่าเรารักและต้องการตอบสนองต่อพระคุณของพระองค์เท่าที่จะสามารถกระทำได้  
และด้วยความเชื่อว่างานทุกอย่างที่กระทำนั้นจะไม่สูญเปล่า (I Corinthians 15.58)
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)