10 ตุลาคม 2554

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม โดย บัณฑิต ดาแว่น

                                                                                            คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น  

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม


ท่ามกล่างวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ และยาวนานของประเทศไทย  สร้างความเสียหายเหลือคณานับต่อชีวิตทรัพย์สิน  ส่งผลกระทบไปทุกด้าน  นักวิชาการเห็นตรงกันว่าปริมาณน้ำในปี 2554 นั้น ไม่ใช่ระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  แต่เนื่องจากระยะเวลาของน้ำที่ขังอยู่ และคงที่ต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือน อีกทั้งพื้นที่รับน้ำที่เคยมี ที่จะช่วยให้น้ำกระจายออกไปตามแหล่งต่างๆ นั้นมีน้อยลง เพราะแต่ละพื้นที่ก็ไม่อยากให้น้ำละลักเข้าพื้นที่ทำกินของตน หรือพื้นที่ธุรกิจของเมือง จึงทำแนวกั้นน้ำกันอย่างแน่นหนาและสูงกว่าเดิม  ทำให้ปัญหานี้ยากที่จะแก้ไขมากขึ้น
แม้น้ำจะท่วมสูงและยาวนาน แต่น้ำใจของคนไทยยิ่งมากและยาวนานกว่า  ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ส่วนบุคคล ต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยบรรเทาทุกข์ระยะยาว ต่างภาวนาขอให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้  ยิ่งกว่านั้นขอให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจ รักใคร่สามัคคี ปรองดองกันอย่างดีต่อไปด้วย
ความกลัวต่อภัยพิบัตินั้น คงยังฝังลึกในใจของคนเรามาเนิ่นนาน  หากจะศึกษาจากบทเรียนพระคัมภีร์  มีภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นต่อมวลมนุษยชาติ คือ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์  ที่บันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ถึง 9  ซึ่งมีผู้รอดชีวิตเพียงครอบครัวของโนอาห์และสัตว์อย่างละคู่เท่านั้น  เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการแสดงสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์เห็นว่าพระองค์เป็นผู้เดียวที่ควบคุมทุกสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมา  เมื่อมนุษย์เสื่อมทรามลงอย่างน่าสลดใจ พระองค์จึงทรงหาวิธีแก้ไขและหาแนวทางช่วยให้รอดสำหรับผู้ที่เชื่อฟัง 
พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนรอด (2ปต.3.9) แต่ทั้งนี้ก็ให้เสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์ด้วย  จึงให้โนอาห์ต่อเรือใหญ่เพื่อรวบรวมมนุษย์และสัตว์ที่ยอมฟังเสียงของพระเจ้าได้มีทางรอดจากน้ำท่วม  แต่น่าเสียดายที่มีคนจำนวนน้อยที่ใส่ใจในคำเตือนและยอมรับการช่วยเหลือ  ภัยพิบัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้พระเจ้าจะสัญญาต่อมนุษย์ว่าจะไม่ให้น้ำท่วมโลกอีกต่อไป โดยให้มีรุ้งกินน้ำเป็นสัญญาลักษณ์แห่งพันธสัญญานั้นตลอดกาล  แต่ในใจของมนุษย์จากวันนั้น จนถึงวันนี้คงยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่ผลิกชีวิตและโลกนี้ไปได้เลย  แปลกแต่จริง  ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับชีวิตหากยังดำเนินชีวิตในทางชั่วร้ายต่อไป แต่มนุษย์ก็ยังไม่ไม่หยุดที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างจริงจัง  คงยังหาวิธีเอาตัวรอดไปเป็นครั้งๆ ไป  โดยไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนในอดีตมากนัก  จึงทำให้วัฏจักรของชีวิตและโลกนี้ต้องวนเวียนอยู่กับวิกฤตการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กล่าวคือ ไม่เพียงเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม แต่หมายถึงเรื่องราวความรุนแรง ความเสียหาย ภัยพิบัติ วิกฤตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ครอบครัว และสังคมอย่างที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย  ยิ่งนับวันปัญหาก็เกิดขึ้นถี่  ต่อเนื่อง รุนแรง และขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น  บางเรื่องดูเหมือนไม่น่าเป็นปัญหา แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็มี เนื่องมาจากการเอารัดเอาเปรียบ การหยิบฉวยผลประโยชน์ที่มีมากขึ้น ที่ไปซ้ำเติมหรือต่อยอดให้มันเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่เป็นนั่นเอง
พระเจ้ายังทรงรักและห่วงใยในชีวิตของมนุษย์และโลกนี้อยู่เสมอ พระองค์มีแผนการแห่งความรอดตั้งแต่ต้นมาแล้ว เพียงแต่ว่ามนุษย์ยังไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจในคำเตือน ไม่เชื่อในทางออก  และไม่ทำตามที่มีบัญชาไว้  ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  ผู้ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ทางรอดของชีวิต (ยน.14-6) และจะทำให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง (ยน.8.31-32) ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกลัวต่อภัยพิบัติของชีวิตต่อไป  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมที่ไว้สำหรับทุกคนที่เชื่อไว้วางใจ (ยน.14-1-4) เป็นที่ที่ปลอดภัย ไม่มีภัยอันตรายมากล้ำกลาย  เป็นที่ที่ความทุกข์ ความลำบาก ความเจ็บปวด การร้องไห้ การคร่ำครวญ และความตาย จะไม่มีอีกต่อไป แม้กระทั่งน้ำตาทุกหยดที่เคยหลั่งออกมาก็จะทรงเช็ดให้ (วว.21.4)  เป็นสถานที่ที่สัญญาว่าสิ่งเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว  แต่จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมเกินกว่าจะพรรณนาด้วยคำอธิบายของภาษามนุษย์  ณ ที่นั่นจะมีแต่การครอบครองของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นแสงสว่าง  เป็นสันติสุขแห่งชีวิต  กลางวันหรือกลางคืนไม่จำเป็นอีกต่อไป  เพราะตลอดเวลาจะอยู่ภายใต้พระสิริ พระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  ทุกชีวิตจะปลอดภัย เป็นสุขในพระองค์  คือบรรดาผู้ที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซู (วว.21.27)
พระเจ้าประสงค์ที่จะให้ทุกคนอยู่ที่นั่น  ณ สถานที่ ที่มีแต่สันติสุข ปลอดจากทุกข์ภัยทั้งปวง  รวมทั้งปลอดจากภัยน้ำท่วมในเวลานี้ด้วย  หนทางรอดคือ หันกลับมาสำรวจชีวิตว่า ตนเองกำลังเดินอยู่ในความเสื่อม หรือ เดินในทางสันติสุขกันแน่ !  หากต้องการเดินในทางแห่งสันติสุข ต้องกลับมาหาพระเยซูผู้ทรงเป็นทางแห่งความจริง และทางรอด ด้วยการเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์ทั้งชีวิตจิตใจ ยินดีให้พระองค์เข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดในชีวิต และตั้งใจที่ทำสิ่งดีตามพระประสงค์  นั่นแหละเป็นทางที่จะนำไปสู่ดินแดน ที่ไม่มีภัยพิบัติใดๆ อีกเลย
อยากไปอยู่ด้วยกันไหมครับ ?