24 มกราคม 2554

จอมทอง-ดอยคำ ในความจำและพระพร

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น


จอมทอง-ดอยคำ ในความจำและพระพร
วันที่ 22-23 มกราคม 2011 ผมมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคริสตจักร 2 แห่งที่กำลังจะเข้ามาร่วมพันธกิจด้วยกัน เริ่มจากที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ได้พบปะกับผู้นำหญิงคนเก่ง ที่ทุ่มเทชีวิตให้การรับใช้ โดยทำงานเลี้ยงชีพและดูแลลูกแกะด้วยหัวใจรัก
แม้ใช้เวลาด้วยกันไม่นานแต่ได้เห็นท่าทีแห่งมิตรภาพ ด้วยอาหารมื้อเที่ยงจากร้านที่ท่านชื่นชอบ และพาไปชมสถานที่ก่อสร้างอาคารนมัสการที่ใหญ่โต พร้อมรองรับผู้คนที่จะเข้ามาอย่างสง่างามสมพระเกียรติองค์พระผู้เป็นเจ้า

หลังจากขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อกันและกัน ผมเดินทางต่อไปยังอำเภอฮอด พบกับครอบครัวผู้รับใช้ที่น่ารักให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่มีภาระใจให้กับชาวม้งที่ดอยคำ ทุ่มเททำงานประกาศพระกิตติคุณที่บนดอยคำกว่า 8 ปีมาแล้ว แม้จะต้องทิ้งโอกาสการเป็นหัวหน้ากุ๊กจากโรงแรมชื่อดัง แต่ไม่ทำให้ท่านย่อท้อ ยอมลงทุนลงแรงด้วยสองมือปลูกพืชผักบนดอยสูงกว่า 2 พันเมตรจากระดับน้ำทะเลอย่างต่อเนื่องเพื่อยังชีพและใช้เป็นสื่อในการเข้าถึงหัวใจของชาวม้งที่ท่านผูกพันด้วยความรักจากพระเจ้า หลังจากสนทนากันเบื้องต้นแล้ว เราขับรถมุ่งหน้าไปยังดอยคำ แม้ระยะทางจะใกล้ประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง ด้วยสภาพถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อราวผิวดวงจันทร์ทำให้นั่งตัวโยกไปมาตามการกระแทกของรถตลอดเวลา ประกอบกับมีฝุ่นละเอียดสีน้ำตาลเหลืองที่หนาเตอะเต็มพื้นถนนลอยฟุ้งตามท้ายและปกคลุมไปทั้งคันรถ จากรถสีขาวกลายเป็นน้ำตาลเหลืองมองดูคล้ายทองคำไปในทันที ทำให้ผมกลับมาคิดว่านี่กระมังที่เขาเรียกกันว่า “ดอยคำ” ซึ่งต้องหาโอกาสถามความจริงเรื่องนี้จากผู้รู้ต่อไป นอกจากถนนขรุขระและฝุ่นหนาแล้วยังสูงชัน คดเคี้ยว แคบและรกไปด้วยพงหญ้าข้างทาง บางช่วงมีการเทปูนเป็นแนวยาวเฉพาะสองล้อรถเท่านั้น ซึ่งต้องใช้สมาธิและความกล้าในการขับขี่เป็นอย่างสูง ยิ่งขณะมีรถวิ่งสวนทางมาก็ทำให้ผมตัวสั่นไปเหมือนกัน ก่อนขึ้นไปอาจารย์ผู้นำทางบอกว่าจะเป็นผู้ขับ แต่ผมเลือกที่จะเป็นโชเฟอร์เอง แม้จะเคยขับรถขึ้นดอยมาพอสมควร แต่ครั้งนี้ยอมรับว่ายากลำบากไม่น้อย สังเกตจากท่าทางของอาจารย์ที่นั่งเกร็ง และคอยกำกับให้เลี้ยวซ้าย ขวา กดแตร สลับกับการสนทนาสารพัดเรื่องไปเรื่อยๆ โดยพระคุณพระเจ้าเราถึงที่หมายปลอดภัย ผมรู้สึกหายใจโล่ง แต่ในใจคิดว่า “แล้วตอนกลับจะทำอย่างไรเนี่ย !! ”














จากการเดินทางครั้งนี้ทำให้ได้รับบทเรียนแบ่งปันกับพี่น้องว่า การที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเห็นปลายทางทั้งหมดได้นั้น ส่งผลให้เรามีความเชื่อ ไว้วางใจ และพึ่งในพระเจ้ามากขึ้น ตรงกันข้ามหลังรู้เส้นทางทั้งหมดแล้วกลับมีความกลัวขึ้นมาจับใจ แสดงว่าความรู้ ความสามารถ หรือการมีเครื่องมือที่ดีๆ ไม่ใช้เครื่องรับประกันว่าชีวิตเราจะดีขึ้นตามไปด้วย... ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำอย่างปลอดภัย ผมนำเรื่องนี้ลงมาแบ่งปันกับอนุชนที่จอมทองอีกครั้งว่า การที่เรามีความรู้ มีความเก่ง ความสามารถมากขึ้น บางทีทำให้เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าน้อยลง ดังนั้นเราจึงขอบคุณพระเจ้าที่บางครั้งเราไม่รู้ ไม่สามารถ ไม่พร้อมและอ่อนแอหลายอย่าง เพื่อเราจะพึ่งในพระเจ้าและเห็นฤทธิ์เดช เห็นพระคุณของพระองค์ปรากฏมากขึ้น ดังพระวจนะที่ผ่านทางประสบการณ์ของเปาโลที่บันทึกว่า ...แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (II Corinthians 12:9-10)

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่อยู่บนดอยคำ 1 คืน 2 วัน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ค่ำคืนที่มีเพียงแสงดาว และไฟฉายส่องทางขณะที่เดินไปตามไหล่เขาของหมู่บ้าน ทำให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้รับใช้ที่ทุ่มเทและหาแนวทางที่จะเข้าสู่ชุมชนด้วยหัวใจแห่งรักที่ยิ่งใหญ่ แม้การเกิดผลด้านปริมาณอาจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่เชื่อว่าคุณภาพฝ่ายวิญญาณนั้นมากเกินกว่าจะประเมินได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคริสตจักรและประชากรของพระองค์ที่นั่นแน่นอน