19 มีนาคม 2559

เลิกสงสารตนเอง ! โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

เลิกสงสารตนเอง !


 
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง  
 และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”  
therefore I despise myself,
and repent in dust and ashes.”  Job 42:6

พระธรรมโยบ บทที่ 42  เป็นบทสรุปที่ทำให้เห็นเรื่องราวและเบื้องหลังของสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของโยบ  ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าเรียกชายผู้นี้อย่างภาคภูมิใจว่า  "ผู้รับใช้ของเรา"   (โยบ 42.7) 
หลังจากนั้น พระเจ้าให้ โยบกลับสู่ความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง  (โยบ 42.10) พระคัมภีร์ใช้คำว่า  "พระเจ้าทรงทำให้...กลับสู่สภาพที่ดีดังเดิม"    พระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าที่มีอยู่ก่อน.... ข้อ 12 และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมาก ยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน  
เรื่องราวชีวิตของโยบ เป็นแบบอย่างเรื่องความเชื่อและความอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างฉับพลัน ทั้งการสูญเสียทรัพย์สมบัติ สูญเสียลูกชายลูกสาว สูญเสียสุขภาพ และสูญเสียความเคารพนับถือจากคนรอบข้าง ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง  ทั้งที่โยบมั่นใจและยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากความผิดบาปของตนเอง  แม้ขณะนั้นยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องร้ายเช่นนี้จึงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาเพื่อนๆ ต่างมีความเห็นในความเข้าใจของตนเองตามหลักแห่งความรู้ของมนุษย์เท่าที่จะศึกษาได้ ต่างมีความเห็นว่าสิ่งร้ายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่โยบทำผิดเอง  ต่างฝ่ายต่างไม่มีคำตอบที่แน่นอน เพราะโยบก็มีเหตุผล และเพื่อนๆ ก็มีเหตุผล  ไม่อาจเป็นทางออกของปัญหาได้..  โยบยังยืนยันว่า นี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสนั้น เขาได้ร้องโอดครวญต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจตนเอง และอยากจะต่อสู้คดีต่อพระเจ้าโดยตรง  แต่สุดท้าย แม้โยบจะไม่มีความผิดเรื่องการทำบาปที่ทำให้เกิดสิ่งร้ายครั้งนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่าได้ทำผิดทางวาจาต่อพระเจ้าด้วยการคิดและพูดเช่นกัน โยบยอมจำนนเมื่อเขาเผชิญหน้ากับพระเจ้าตัวจริง !  ไม่มีมนุษย์คนใดที่พบกับพระเจ้าแล้วจะบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งหมดได้ ดังที่บันทึกไว้ว่า...
1แล้วโยบทูลพระเจ้าว่า  
 2“ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้  
 และพระประสงค์ของพระองค์  จะไม่หดหู่ไปได้เลย  
 3
'นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้'  
  เพราะฉะนั้น  ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ  
 สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์  ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ  
 4
'ฟังซี  เราจะพูด    เราจะถามเจ้า  ขอเจ้าตอบเรา'  
 5ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู  
 แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์  
 6ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง  
 และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”  

โยบเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นและยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนแม้ไม่อาจเข้าใจ  แต่ยังสามารถไว้วางใจในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้ เพราะหลายอย่างเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะหยั่งรู้ ที่สำคัญคือ โยบได้ "เห็นพระเจ้า" ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะแค่ได้ยิน คือ รู้เรื่องพระเจ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ ได้เห็นและได้ประสบการณ์ ได้รู้จักพระเจ้าโดยตรง  ดังนั้นสิ่งที่โยบกระทำต่อมาคือ  การยอมรับในความบาปผิดของตนเอง..."ข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง"  และกลับใจเสียใหม่...แสดงออกด้วยการนั่งในกองขี้เถ้า  ซึ่งหมายถึงการยอม การถ่อมใจลง การยอมรับอำนาจของพระเจ้าว่า พระองค์เป็นฝ่ายถูก
พระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยฉบับค้นคว้า บันทึก โยบ บทที่ 42 ข้อ 6 ว่า...ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดชังตัวเอง   และสำนึกผิดในกองธุลีและขี้เถ้า”   มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า  "หรือ และเลิกสงสารตนเอง ออกจาก"
เมื่อโยบ "เลิก" และ "ออกจาก" การสงสารตนเอง เขาพบกับความจริงของพระเจ้า ยอมจำนนและไว้วางใจในพระเจ้าได้  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงอวยพรให้กลับคืนสู่สภาพดีกว่าก่อน เป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อความอดทนมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านยากอบน้องชายพระเยซูกล่าวถึงโยบว่า.. จงดู   เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข   ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ   และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด   (ยก.5.11)
ความรู้สึก "สงสารตนเอง" เป็นอุปสรรคหนึ่งของชีวิตที่จะต้องเอาชนะให้ได้  การสงสารตนเองมักทำให้ใจจดจ่อแต่ด้านลบ ซึ่งนำการบั่นทอนความคิดกำลังใจให้ลดน้อยลงไป  ทำให้เกิดอาการน้อยใจตนเอง น้อยใจคนอื่นที่ไม่เข้าใจ น้อยใจต่อพระเจ้า อาจนำไปสู่การเรียกร้องความสนใจ หรือ เกินเลยไปถึงการกล่าวโทษ การโยนความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้  นั่นหมายความว่า ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ลุกลามปานปลายไปมากขึ้น เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
คนที่สงสารตนเองเกินเหตุมักจะคิดว่า มีฉันคนเดียวที่ต้องเจอกับปัญหานี้ มันไม่มีทางออกอีกแล้ว และ ฉันสู้ไม่ไหวแล้ว !... แต่แท้จริงยังมีคนอื่นที่มีปัญหาเช่นกัน ยังมีทางออกอีกแน่นอน และไม่เกินกำลังด้วยซ้ำ หากจะอดทน เพราะ ทนไม่ได้ กับ ไม่ได้ทน มันมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน ดังอาจารยฺเปาโลและอาจารย์เปโตรกล่าวไว้อย่างสอดคล้องว่า..
            ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้   และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   (I Corinthians 10:13)
             จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ   เพราะว่า   พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก   ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน (I Peter 5:9)

"เลิก" และ "ออกจาก" การสงสารตนเองเถอะครับ !  แล้วหันไปมองความจริงจากเบื้องบน จากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่มีจุดประสงค์บางอย่างในชีวิตของคุณอย่างแน่นอน  ต้องเชื่อมั่นว่า พระองค์ไม่นำชีวิตคุณคุณไปอย่างไร้จุดประสงค์  ดังที่กล่าวไว้ว่า...
            จงดู   เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข   ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ   และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด  (ยก.5.11)
            เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์  (Romans 8:28)
            พระเจ้าไม้ได้ให้คุณทนทุกข์โดยปราศจากเหตุผล  แต่เหตุผลนั้นอาจถูกปิดซ่อนไว้ในความลึกล้ำของพระประสงค์ของพระเจ้า  ซึ่งอาจไม่มีวันรู้ได้ในชีวิตนี้  แต่ยังต้องไว้วางใจพระเจ้าว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้วนถูกต้องทั้งสิ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า...เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า   ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา”   พระเจ้าตรัสดังนี้    “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด   วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า    และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”   (Isaiah 55:8-9)
            หากเพียงแค่มองไปรอบข้างอาจจะพบคนอื่นๆ ที่น่าสงสารมากกว่าตนเองก็ได้ บางคนแม้เขาจะน่าสงสารแต่เขากลับคิดว่าตนเองไม่น่าสงสารก็มี คนแบบนี้น่านับถืออย่างยิ่ง  การออกจากการสงสารตนเอง จะทำให้รู้จักรับผิดชอบและช่วยเหลือตนเองได้อย่างถูกทาง  สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นและมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เมื่อมีการให้ การช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ย่อมนำความสุขใจ การักษา การเยียวยามาสู่ตนเองอย่างน่าประหลาดใจเช่นกัน ดังพระวาทะของพระเยซูที่ตรัสว่า
 "..การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ ”   (Acts 20:35) และสุภาษิตที่สอนว่า..
              บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง  
             บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ ยิ่งขัดสนก็มี  
             บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง  
             บุคคลที่รดน้ำ  เขาเองจะรับการรดน้ำ
   (Proverbs 11:25)

ตัดสินใจตอนนี้ว่า จะจมอยู่กับความสงสารตนเองพร้อมกับความระทมทุกข์ต่อไป หรือ จะเลิกและออกมาจากความสงสารตนเอง แล้วลุกออกไปแจกจ่ายให้คนอื่นมากขึ้น แล้วรับการอวยพร รับความเจริญรุ่งเรือง รับการกลับสู่สภาพที่ดีเป็นสองเท่าของที่ผ่านมาอย่างท่านโยบ
ขึ้นอยู่กับความคิดและทางที่คุณเลือกแล้วละครับ !


(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)