02 พฤษภาคม 2554

พวกเราไม่รู้...พระเยซูมีคำตอบ โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
พวกเราไม่รู้...พระเยซูมีคำตอบ
วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” John 20:1-
ความตั้งใจของมารีย์ชาวมักดาลา ในการมาที่อุโมงค์ฝังศพเช้าตรู่วันอาทิตย์ก็เพื่อจะมาดูพระศพของพระเยซู และจัดการดูแลตามธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ พระศพของพระเยซูหายไป ! สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในเวลานั้น คือ การวิ่งไปบอกเรื่องนี้กับสาวกของพระเยซู และหลังสาวกได้ฟังข่าวพวกเขาก็วิ่งไปดูที่อุโมงค์ ด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อสาวกทั้งสองคือ ยอห์น และเปโตรได้เห็นอุโมงค์ว่างเปล่า มีเพียงผ้าพันพระศพจึงเชื่อตามคำที่มารีย์ชาวมักดาลามาแจ้งข่าวว่า พระศพของพระเยซูหายไป แล้วพวกเขาก็กลับบ้านไปด้วยความงุนงงสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น ! ตามการบันทึกว่า ...แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน...
น่าสังเกตว่าลูกศิษย์ของพระเยซู ทั้งผู้หญิง (มารีย์) และผู้ชาย (เปโตร และยอห์น) รวมทั้งคนอื่นๆ ในเวลานั้นต่างตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกันคือ “วิ่ง” หลังจากได้เห็นอุโมงค์ว่างเปล่า และไม่พบพระศพของพระเยซู สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ “วิ่ง” ด้วยสุดชีวิตเพื่อจะหาทางรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การวิ่งดังกล่าวไม่ว่าการออกวิ่งได้เร็วกว่าของเปโตร หรือ การสามารถวิ่งแซงและไปถึงก่อนของยอห์น ก็ไม่อาจได้รับคำตอบที่แท้จริง เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจถ้อยคำของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู (ข้อ 9) แม้พระองค์จะสอนเขาหลายครั้งก่อนหน้านั้นก็ตาม
ชีวิตของเราทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับบรรดาสาวกของพระเยซูในขณะนั้น คือ เวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ส่วนใหญ่มักจะ “วิ่งไปวิ่งมา” และสุดท้ายก็พบว่ายังไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง หลายครั้งวิ่งชนกันเอง เพิ่มความเจ็บปวด ปัญหาตามมาอีก เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การตะเกียดตะกายด้วยกำลังสติปัญญา หรือแนวคิด ความตั้งใจของมนุษย์เอง แต่อยู่ที่การเปิดเผยของพระเจ้า และการยอมรับในคำสอนนั้น ด้วยความศรัทธา แต่หลายครั้งพบว่าเรามักให้คำสอนดีๆ หลายอย่างผ่านเลยไป กว่าจะหวนคิดถึงก็ปล่อยให้เวลา หรือเหตุการณ์บางอย่างมากระตุ้น ซึ่งบางครั้งก็สายเกินไปแล้ว
อีกประการหนึ่งจากบทเรียนของชีวิตสาวกพระเยซูตอนนี้คือ การที่เรามีความตั้งใจ หรือเป้าหมายของตนเองไว้แล้วว่า ต้องการเห็นอะไรตามความคิดของตนเองเท่านั้น อาจทำให้เราพลาดเป้าหมายที่ดีกว่าซึ่งพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไปก็ได้ ดังเช่นกับสาวกและผู้ติดตามพระเยซูที่ตั้งใจและมีความคิดอยู่แล้วว่าจะไปดูพระศพของพระเยซูที่อุโมงค์เหมือนอย่างที่เคยกระทำมากับคนที่เขารักอื่นๆ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็พบความว่างเปล่า และตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อพระศพของพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น กว่าที่พวกเขาจะรู้ความจริงว่าคืออะไร ก็ต่อเมื่อได้รับความเมตตาจากพระเยซูผู้ที่ทรงอดทนต่อความไม่ใส่ใจ ไม่เข้าใจ และความไม่เชื่อของพวกเขาตลอดมา พระเยซูปรากฏให้เขาเห็น อธิบายให้เขาฟัง สำแดงบางอย่างให้มั่นใจอีกหลายครั้ง จนพวกเขาไม่มีข้อแก้ตัว ข้อสงสัยอีกแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อประกาศพระนามพระเยซูผู้ทรงพระชนม์ อย่างไม่เกรงกลัวต่อความทุกข์ยากและความตายอีกเลย
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ? คุณตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน ที่ไม่คาดคิดอย่างไรบ้าง ? วิ่ง ๆๆๆ ไป วิ่งๆๆๆมา หรือไม่ ? หรือ มีข้อสรุปของตนเองไว้หมดแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ โดยไม่มองไปยังเบื้องบน หรือมองถึงพระประสงค์ของพระเจ้าเลยว่ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่หรือไม่ ? (ยรม.33.3) หากเป็นเช่นนั้นต่อไป ผลสุดท้ายเราคงคล้ายกับสาวกและผู้ติดตามพระเยซูที่พวกเขาได้แต่พูดว่า “พวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” เพราะต้องการเห็นแค่ศพเท่านั้น ทั้งที่พระเจ้ามีสิ่งยิ่งใหญ่กว่านั้นที่จะให้เขา
พระเจ้าสอนว่า วิถี ความคิด ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากวิถี และความคิดของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง มนุษย์มีความจำกัดทุกด้าน แต่พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินจะพรรณนา(อสย.55.8-10) แล้วอย่างนี้ เราควรวิ่งเข้าหาใคร และเราควรมีความมุ่งหมายในชีวิตตามใครดี ?
เพราะพวกเราไม่รู้...แต่พระเยซูมีคำตอบ ลองพิจารณาดูนะครับ !