คิดอย่างบัณฑิต
ข้อคิดจากอิสราเอล
Dan Springs: ธารน้ำพุเมืองดาน
โดย บัณฑิต ดาแว่น
การเดินทางตามรอยพระคัมภีร์ที่อิสราเอลของคณะผู้รับใช้พระเจ้า
110 คน จากสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย เมื่อ 4-10 พฤษภาคม 2019 เริ่มต้นจากใต้สุดถึงเหนือสุด คือ
เบเออร์เชบาถึงดาน ช่วยให้ผมมีประสบการณ์พิเศษสุด
ได้รับทั้งความรู้ความเข้าใจ
และความซาบซึ้งเรื่องราวจากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์แบบ Exclusive
จากที่อ่านพระคัมภีร์มายาวนานผ่านตัวอักษรและจินตนาการ
แต่ครั้งนี้ได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ทำให้เข้าถึง เข้าใจ มากยิ่งขึ้น
ด้วยกลิ่นอายของอารยธรรมที่พระเจ้าใช้คนยิวให้รู้รักษาไว้อย่างเที่ยงตรง
อีกทั้งธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างในบริเวณประเทศอิสราเอลนั้นเหมาะสมที่จะสำแดงความจริงของพระเจ้าอย่างยิ่ง สภาพอากาศ ก้อนหิน ต้นไม้ ภูมิประเทศ เอื้อต่อการดำรงอยู่ของร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างอัศจรรย์
พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งคน สถานที่ และเรื่องราว
เพื่อถ่ายทอดพระประสงค์มายังคนยุคปัจจุบัน และสืบไป (ลองคิดดูหากเลือกคน
และประเทศที่ชอบทำลายธรรมชาติ ไม่สนประวัติศาสตร์
คงไม่เหลือเรื่องราวที่ควรจะเป็นแน่แท้) ต้องขอขอบคุณชาวยิวที่รับผิดชอบต่อการทรงเลือกของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด
พวกเขายังสามารถนับเชื้อสายย้อนกลับไปจนถึงต้นตระกูลของตนเองได้ พวกเขายังรักษาคำสอน เรื่องราว
พระบัญญัติตามที่พระเจ้าบัญชาสมัยบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน พวกเขายังรื้อฟื้นภาษาฮีบรูที่เกือบจะสูญหายเพราะถูกข่มแหงให้กระจัดกระจายไปทั่วโลกกลับคืนมาเป็นภาษาที่มีชีวิตและเป็นภาษาราชการในทุกวันนี้ได้
ถึงแม้บ้านเมืองจะเคยล่มสลายกลายเป็นเมืองขึ้นของหลายอาณาจักรนับพันปี
แต่กลับมาเป็นประเทศอิสราเอลยุคใหม่ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1948 เป็นต้นมาอย่างเกินความคาดคิดของประชาชาติ
มิใช่แค่เป็นประเทศ แต่ยังเป็นประเทศต้นแบบในหลายเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเทคโนโลยีด้านการเกษตร จากภูมิประเทศที่แห้งแล้ง
เป็นทะเลทราย กลับกลายเป็นประเทศที่มีผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นอันดับต้นของโลก
ระบบชลประทานที่หลายชาติต้องไปดูงาน
แม้แต่แรงงานไทยยังต้องไปรับจ้างทำงานด้านการเกษตรที่อิสราเอลสี่ห้าหมื่นคน
(หากไม่มีโควิด-19 อาจจะมีถึงหนึ่งแสนคนตามที่กระทรวงแรงงานตั้งเป้าไว้ในปี ค.ศ.
2021)
เมืองดาน (Tel Dan) บริเวณที่คณะเราไปเป็นอุทยานแห่งชาติตั้งอยู่ทางเหนือของอิสราเอลติดกับเลบานอน เหตุที่ตั้งชื่อว่าเมืองดาน เพราะคนเผ่าดานเป็นผู้ยึดครองดินแดนนี้ได้ (ผวฉ.18.29) “ดาน” (Tribe of Dan) ภาษาฮีบรู ( דָּן ) หมายถึง “ผู้พิพากษา” เป็นชื่อของต้นตระกูลของเผ่าดาน หนึ่งในพี่น้อง 12 คน ซึ่งเป็นลูก ๆ ของยาโคบ ผู้เป็นต้นตระกูลของอิสราเอล ดาน เป็นลูกคนที่ห้า เกิดจากนางบิลฮาห์ สาวใช้ของราเชลที่ยกเธอให้ยาโคบเพื่อจะได้ลูก (ปฐก.30.6-7) (ถือเป็นการแข่งกับเลอาห์พี่สาวของเธอ อ่านเรื่องราวของยาโคบในปฐมกาลบทที่ 29-34) ดาน ทำหน้าที่เป็นทนายให้แก่ชนชาติอิสราเอล (ปฐก.49-16-17)
รถทัวร์สองคันของคณะเราเข้าไปจอดที่นัดพบตามการนำของมัคคุเทศก์ สิ่งแรกที่แทบทุกคนทำก่อนอื่นใดคือ กรูกันไปเข้าห้องน้ำ เพราะเตรียมตัวเดินขึ้นเขา เข้าไปในอุทยานที่เป็นป่า เมื่อไปถึงทางเดินเข้าอุทยาน สิ่งที่ทำให้พวกเราต่างตะลึงคือ คือเสียงน้ำไหลหลากดังครืน ๆ กระทบก้อนหินในร่องน้ำ อย่างกับหลังฝนฟ้าคะนองแล้วน้ำป่าหลากมา นี่เป็นเวลาปกติไม่มีฝน แต่เสียงน้ำดังแรงจริง ๆ มัคคุเทศก์อธิบายว่า นี่คือดินแดนของเผ่าดานแห่งอิสราเอล บริเวณชายเขาเฮอร์โมน ที่มีความสูง 2,236 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นภูเขาสูงสุดในอิสราเอล เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะสาบน้ำจืดกาลิลี (Galilee lake) และจากนั้นไหลไปสู่ทะเลตาย (Dead Sea) ที่ผมเขียนถึงทั้งสองทะเลมาแล้ว
(ติดตามอ่านล่องเรือที่กาลิลี
https://bandhit.blogspot.com/2020/05/take-galilees-boat-with-jesus.html และ
ทะเลตายhttps://bandhit.blogspot.com/2021/05/dead-sea.html
)
ความเย็นชื่นฉ่ำของน้ำที่ไหลอย่างแรงนั้นทำให้ความรู้สึกสดชื่นเข้าไปถึงข้างในหัวใจ
เป็นเหมือนพรจากฟากฟ้าที่หลั่งลงมาสู่ชีวิต
น้ำที่ใสไหลแรงละอองกระเซ็นมาถึงหน้าเลยทีเดียว ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
สักพักแล้วเดินไปตามลำธารที่คดเคี้ยวพร้อมชมความงามของธรรมชาติแห่งการทรงสร้าง ถ่ายรูปต้นไม้พื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
ต้นมะเดื่อ ต้นมะกอกเทศ ต้นไฝ่
และนานาพรรณ
ที่น่าทึ่งคือ
สายน้ำที่ใสเย็นและไหลแรงลงมานั้น เกิดจากการละลายของหิมะ และน้ำค้างจากเบื้องบนที่พระเจ้าประทานให้
ผสมกับน้ำฝนอีกเล็กน้อยต่อปี
ด้วยเหตุนั้นต้นน้ำลำธารแห่งนี้นี้เกิดจากสายน้ำที่พลุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน
สังเกตว่าที่ผ่านมาจากภาคใต้ถึงตอนเหนือระหว่างทางเรามองไปเห็นแต่ทะเลทราย
แต่พอมาถึงบริเวณนี้กลับมีความชุ่มฉ่ำและผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำค้างแห่งภูเขาเฮอร์โมนนั่นเอง
พระคัมภีร์บรรยายถึงความงดงามและพระพรที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ผ่านทางสัญลักษณ์ของภูเขาเฮอร์โมนไว้ว่า
ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด
เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์ (สดุดี 133.1-3 บทเพลงใช้แห่ขึ้นของดาวิด)
เหตุที่น้ำพุพลุ่งขึ้นมาจนกลายเป็นลำธารที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนอย่างอัศจรรย์นั้น
สภาพของภูมิประเทศเอื้อให้เกิดขึ้นคือ
ลักษณะของก้อนหินที่อยู่บริเวณภูเขาเฮอร์โมนนั้นเป็นหินทรายที่มีรูพรุนอยู่ทั่วไป
เป็นลักษณะของหินภูเขาไฟที่มีรูพรุนซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เป็นแหล่งเก็บน้ำใต้ดินอย่างดี
เมื่อน้ำค้างหลั่งลงมา หิมะละลายกลายเป็นน้ำไหลลงไปในภูเขาเขาก็จะถูกเก็บกักไว้ในหินดังกล่าว
และไหลทะลักลงมาที่ต่ำตามลำดับจนกลายเป็นแม่น้ำจอร์แดน
ชนชาติอิสราเอลได้นำเอาเทคโนโลยีการเก็บน้ำใต้ดินตามรูปแบบที่พระเจ้าสร้างไว้ไปปรับใช้และนำน้ำขึ้นมาใช้ในยามที่ต้องการในหลายพื้นที่ (มีบางคนในไทยประยุกต์แนวคิดนี้โดยขุดหลุมลงไปและนำขวดน้ำ
ก้อนหิน
และยางรถยนต์เก่าลงไปในหลุมเพื่อให้น้ำไหลลงไปเก็บไว้ใต้ดินและเจาะเป็นบาดาลขึ้นมาใช้ได้)
มัคคุเทศก์นำเราขึ้นไปถึงความสูงของยอดเขาในระดับหนึ่ง
ซึ่งเขาบรรยายว่าเป็นสนามรบของอิสราเอลและคู่ต่อสู้ ยังมองเห็นร่องรอยการขุดหลุมเพาะที่ทำเป็นบังเกอร์ของทหาร
และยังชี้จากหน้าผาที่พวกเรายืนอยู่ไปถึงยอดภูเขาเฮอร์โมนที่อยู่ไกล ๆ ให้ดู
ว่านั่นคือแหล่งแห่งพระพรของชนชาติอิสราเอล
ผมยังไม่พลาดที่จะเก็บก้อนหินที่มีรูพรุนแหล่งเก็บน้ำในภูเขาเฮอร์โมนมาด้วย
เพื่อย้ำเตือนเสมอว่า พระเจ้าสามารถดูแลชีวิตและประทานน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้ชื่นฉ่ำท่ามกลางความแห้งแล้งที่อยู่รอบ
ๆ ได้ เพราะทรงเป็น
น้ำแห่งชีวิตและหากใครได้ดื่มกินจากท่านจะดับกระหายและได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ตามที่พระเยซูยืนยันว่า
...ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” - John 4:14
และพระเจ้ายังเชิญชวนให้ผู้กระหายได้เขามารับน้ำแห่งชีวิตนี้โดยทางพระเยซูคริสต์ ท่านยอห์นบันทึกตามนิมิตที่เห็นว่า
พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย – Revelation 22:17
นอกจากเรื่องราวแห่งพระพรจากน้ำพุแห่งเมืองดานแล้ว
ยังมีเรื่องที่เป็นอุทาหรณ์ที่ชนชาติอิสราเอลได้หลงผิดไปจากทางของพระเจ้า โดยทำรูปเคารพขึ้นมาและกราบไหว้บูชารูปนั้นแทนพระเจ้า กล่าวคือ
ชนชาติอิสราเอลมีการแตกแยกกันออกเป็นอาณาจักรฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือ
คือหลังจากสิ้นสมัยของกษัตริย์ซาโลมอนผู้มั่งคั่งและประกอบด้วยสติปัญญา เรโหโบอัม ลูกของพระองค์กลับไม่ดำเนินตามทางของพระเจ้า
เมื่อขึ้นครองราชย์ (ก่อน ค.ศ. 930) ก็ขุดรีดภาษีจากประชาชนจนเกิดการต่อต้านและนายทหารที่ชื่อเยโรโบอัม
นำ 10 เผ่าแยกตัวออกไปตั้งเป็นอาณาจักรอิสราเอลมีกรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวง
ส่วนที่เหลือ 2 เผ่า คือยูดาห์และเบนยามินอยู่กับเรโหโบอัมอาณาจักรยูดาห์ฝ่ายใต้ยังใช้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง(1
พกษ.12 -2 พกษ.25)
ทั้งสองอาณาจักรต่อสู้กันเองอยู่เนือง ๆ นับร้อยปี จนกระทั่งฝ่ายเหนือถูกโจมตีจากอาณาจักรอัสซีเรียจนล่มสลายในปี
ก่อน ค.ศ. 720 และฝ่ายใต้ถูกปราบโดยอาณาจักรบาบิโลนปี ก่อน ค.ศ. 582
และดำรงอยู่ในฐานะหัวเมืองขึ้นสืบทอดมาหลายอาณาจักร เช่น บาบิโลน เปอร์เซีย กรีกและโรม
โดยภาพรวมอาณาจักรฝ่ายเหนือล้วนมีกษัตริย์ที่ออกจากทางของพระเจ้าและนำประชากรไหว้รูปเคารพ โดยเหตุผลทางการเมืองและผลประโยชน์ต่าง ๆ พวกเขาสร้างแท่นบูชา(รูปเคารพเป็นวัวทองคำ)ไว้ที่เมืองดาน
เพื่อกันไม่ให้ประชาชนลงมาร่วมกับอาณาจักรยูดาห์ในการนมัสการพระเจ้าที่ภูเขาพระวิหารในเยรูซาเล็ม
และยังสร้างอีกแห่งไว้ในสะมาเรีย
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการนมัสการตามรูปแบบของการกราบไหว้รูปเคารพของต่างชาติ (1
พกษ.12.29) สังเกตจากช่วงที่พระเยซูสนทนากับหญิงชาวสะมาเรียในยอห์นบทที่ 4 จะพบว่า
อาณาจักรฝ่ายเหนือจะนมัสการที่สะมาเรีย ส่วนฝ่ายใต้ที่เยรูซาเล็ม
ในที่สุดพระเยซูให้ความจริงว่าไม่ใช่ที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไปแต่จะมีการนมัสการพระเจ้าที่แท้จริงด้วยจิตวิญญาณและความจริง
พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม... แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” - John 4:21-24
ซากปรักหักพังของแท่นบูชารูปวัวทองคำที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกษัตริย์เยโรโบอัมผู้นำอาณาฝ่ายเหนือยังมีสภาพหลงเหลือให้เห็นเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเราจนทุกวันนี้ ตราบใดที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
แม้ดูเหมือนเขาจะมีอำนาจ มีกองทัพที่แข็งแกร่ง
มีกลอุบายในการนำประชากรให้ทำตามมากน้อยเพียงใดก็ตาม
สุดท้ายก็พบว่าอาณาจักรเช่นนั้นไม่มีวันยั่งยืนอยู่ได้ พระคัมภีร์บันทึกให้เห็นภาพว่ากษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้นล้วนแต่ชั่วร้ายและนำพาประชาชนหลงจากทางของพระเจ้าทั้งสิ้น
และพระคัมภีร์มักจะยกตัวอย่างว่า กษัตริย์ที่ชั่วร้ายนั้นชั่วร้ายเหมือนเยโรโบอัมสืบทอดเป็นตราบาปต่อเนื่องมา
(1 พกษ.15.34) จนกระทั่งล่มสลายไปอย่างไม่มีวันกลับมาดังเดิมได้อีก
พระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า และดำเนินในมรรคาของเยโรโบอัม และในบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย - 1Kings
15:34
ส่วนอาณาจักรฝ่ายใต้นั้น
แม้จะมีกษัตริย์บางองค์หลงไปบ้างแต่ยังมีองค์ที่หันกลับมาหาพระเจ้าและดำเนินตามพระบัญญัติโดยพระคัมภีร์มักจะยกตัวอย่างกษัตริย์ดาวิดเป็นต้นแบบในการเชื่อฟัง(1
พกษ.11.33) พระเจ้าทรงรักษาอาณาจักรยูดาห์ไว้เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เสมอ
อย่างไรก็ดี พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายยูดาห์ เพราะทรงเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ เหตุที่พระองค์ได้ตรัสสัญญาว่า จะทรงประทานประทีปแก่ดาวิด และแก่ราชโอรสของพระองค์เป็นนิตย์ -2 Kings 8:19
เดินตามรอยพระคัมภีร์ที่ธารน้ำพุเมืองดาน
มีสัญญาณเตือนใจสองเรื่อง...
หนึ่ง
พระเจ้าเป็นแหล่งแห่งชีวิตทรงประทานน้ำพุแห่งชีวิตแม้ในยามที่แห้งแล้งได้
ให้เราไว้ใจและเชื่อในพระองค์
และเข้ามาดื่มด่ำน้ำแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่กับพระองค์เสมอไป
เรื่องที่สอง
ทุกครั้งที่คิดออกห่างจากทางพระเจ้าและเข้าไปในทางแห่งรูปเคารพ
ก็จะพบกับความสิ้นหวัง
แต่หากยังศรัทธาและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า แม้สถานการณ์จะยากลำบากแต่ยังมีความหวังอยู่เสมอ
อย่าให้ชีวิตเป็นต้นแบบแห่งความชั่วร้ายอย่างเยโรโบอัม
แต่ให้เป็นต้นแบบแห่งความดีและความเชื่ออย่างดาวิด
ขอให้เดินในทางชอบธรรมของพระเจ้าดีที่สุดครับ
เพราะพระคัมภีร์ยืนยันว่า
ความสุขเป็นของบุคคล
ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม
หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ
ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล
และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง
การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น – Psalms 1.1-3