29 ธันวาคม 2554

ห้ามตาย ! โดยไม่ได้รับอนุญาต โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ห้ามตาย ! โดยไม่ได้รับอนุญาต


มาตรการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2555
ตั้งเป้ายอดเสียชีวิตไม่เกิน 340 คน เจ็บไม่เกิน 3,563 คน  
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการ เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยมีเป้าหมายลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2554 - 4 มกราคม 2555 ให้ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปี 2554 โดย เทศกาลปีใหม่ 2554 เกิดอุบัติเหตุ 3,497 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 358 คน ผู้บาดเจ็บ 3,750 คน เป้าหมายปีใหม่ 2555 จำนวนอุบัติเหตุ 3,322 ครั้ง จำนวนผู้เสียชีวิต 340 คน จำนวนผู้บาดเจ็บ 3,563 คน  (แหล่งที่มา http://thaipost.net/news/071211/49275)
จากข้อมูลของเทศกาลปีใหม่ 2554 มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- แบ่งตามประเภทรถที่เกิดอุบัติเหตุทางถนน ได้แก่ รถจักยานยนต์ 83.24% รถปิกอัพ 7.70% รถเก๋ง 3.28% 
- สาเหตุอุบัติเหตุทางถนน เมาสุรา 41.24% ขับรถเร็วเกินกำหนด 20.42% มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย 16.56% ตัดหน้ากระชั้นชิด 14.36% ไม่มีใบขับขี่ 6.52%
- ประเภทถนนที่เกิดอุบัติเหตุ ทางหลวงแผ่นดิน 36.15% นอกเขตทางหลวงแผ่นดิน 63.85% ถนนอบต./หมู่บ้าน 32.74% ถนนในเมือง/เทศบาล 14.47% ถนนทางหลวงชนบท 13.10%
- ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ กลางคืน 68.58% แบ่งเป็นเวลา 16.01-20.00 น. 29.94%, 20.01-24.00 น. 17.70%, 00.01-04.00 น. 13.73% และ 04.01-08.00 น. 7.21% กลางวัน 31.42% แบ่งเป็นเวลา 08.00-12.00 น. 13.30% และ 12.01-16.00 น. 18.13%
- อายุของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ต่ำกว่า 20 ปี 24.78% ต่ำกว่า 15 ปี 8.03% และ 15-19 ปี 16.75%
- กลุ่มวัยแรงงาน 20-24 ปี 12.76%, 25-29 ปี 12.12%, 30-39 ปี 17.92% และ 40-49 ปี 25.24%
ดังนั้นในช่วง 7 วัน อันตรายเทศกาลปีใหม่ 2555 จึงมีโครงการ "ปีใหม่ตายเป็นศูนย์" หรือ New year zero dead (ข้อมูลจาก นสพ.ข่าวสด 23 ธ.ค.54)

หากมีการตายมากกว่าที่กำหนดไว้ อาจเรียกได้ว่า “ตายโดยไม่ได้รับอนุญาต” ได้หรือไม่ ? … ความจริงแล้ว ใครจะเป็น หรือ จะตาย คงห้ามกันไม่ได้  เพราะคนเราต้องตายตามอายุขัย หรือตามธรรมดาของชีวิต  ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครอยากตาย  แต่ที่น่าเป็นห่วงกลับไม่ใช่การตายตามธรรมดา แต่เป็นอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากปัญหาในตัวของคนเรานี่เอง  จึงต้องมารณรงค์กันทุกปี เพราะทุกคนต่างเห็นด้วยกันว่าไม่อยากเห็นการตายในรูปแบบนี้เกิดขึ้นอีก  แต่กลับมีการตายจำนวนมากทุกปี ๆ  และแนวโน้มไม่ได้ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น  โดยมีตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ “เมา” และ “ประมาท”
          มาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือ คนไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ สร้างความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน อย่างประเมินค่าเสียหายไม่ได้  สะท้อนให้เห็นถึงการขาดระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้คนโดยรวม  จึงทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่จบไม่สิ้นสักที  ดังพระธรรมสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า  “เขาตายเพราะขาดวินัย” (สภษ.5.23)  บางครั้งก็น่าแปลกว่า คนเราไม่อยากตาย แต่ กลับทำร้ายตนเองด้วยการประมาท การดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายและชีวิตอยู่ประจำ  แม้จะรู้ว่าสิ่งใดดี แต่กลับทำไม่ได้ รู้ว่าสิ่งใดไม่ดี แต่กลับทำอยู่เสมอ  ดังความรู้สึกของอาจารย์เปาโลที่ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงว่า 24โอย   ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้   ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้... หากอ่านมาถึงแค่นี้จะพบแต่ความสิ้นหวัง  แต่ขอบคุณพระเจ้าอาจารย์เปาโลบันทึกประสบการณ์ชีวิตของท่านต่อไปว่า.... 25ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า   โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น   ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า   แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป (อ่านโรม.7.18-25)
          จากตัวอย่างที่ยกมาแสดงให้เห็นว่า  คนเราต้องการรับการช่วยเหลือ  เรากำลังขาดกำลังในการทำสิ่งดี  แม้รู้ทั้งรู้ แต่ไม่อาจทำได้  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็นต้องการผู้ช่วยให้รอด  เพราะเราต่างไปไม่รอด  เอาตัวไม่รอด นั่นเอง !
 “พระเยซูคริสต์”  องค์พระผู้ช่วยให้รอด  ได้มาช่วยคนที่ต้องการจะหลุดพ้นจากอำนาจของสิ่งชั่วร้ายแล้ว ! พระองค์พร้อมจะช่วยคนที่ต้องการรับการช่วยกู้  พระคัมภีร์บันทึกว่า

 6ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง   พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม.. 8แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย   คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น   พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์   ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ (โรม 5.6-9)
หากเรายอมรับว่าไม่สามารถช่วยตนเองให้รอดพ้นจากอำนาจชั่วร้ายได้ และต้องการรับการช่วยให้รอดพ้น  โดยยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยได้ นั่นคือโอกาสใหม่ ทางรอดใหม่ ชีวิตใหม่ ที่จะได้รับจากพระเยซู  พระองค์จะเข้าไปปรับปรุงแก้ไข อุปนิสัย จิตใจภายในของผู้นั้น เพื่อให้เขาสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งสิ่งดีได้ดังใจหวัง  โดยมีพระผู้ช่วยให้รอดคอยเป็นผู้เสริมกำลังอยู่ในจิตใจ (รม.12.1-2,ฟป.4.13)
เทศกาลปีใหม่ เป็นเวลาแห่งความยินดี เป็นโอกาสที่จะได้อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ญาติ มิตร  ที่จะร่วมกัน “สวัสดีปีใหม่” ด้วยความสุขสันต์  จึงขอให้วันที่ดี  มีทั้ง สิ่งดี และ สวัสดิภาพ  สันติภาพ ภารดรภาพเกิดขึ้นกับทุกคน  อย่าให้ความไร้ระเบียบ ขาดวินัย ไร้ความยับยั้งชั่งใจมาทำร้ายตนเองและคนรอบข้างอีกต่อไป  หากต้องตายก็ขอให้เป็นไปตามธรรมดาของชีวิต อย่าให้สูญเสียชีวิตด้วยการ ตายโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกเลย เพราะทุกคนต่างอยากให้ปัญหาอุบัติเหตุลดลงด้วยกันทั้งนั้น 

ดังนั้น “ห้ามตาย ! โดยไม่ได้รับอนุญาต”

สวัสดีปีใหม่ ครับ !

22 ธันวาคม 2554

บุคคลดีเด่นแห่งคริสตมาส โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

บุคคลดีเด่นแห่งคริสตมาส

          เรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลคริสตมาส  มีบุคคลจำนวนมากที่มีบทบาทสำคัญและดีเด่น  ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในแผนการช่วยกู้โลกให้รอดพ้นจากความพินาศ  นับตั้งแต่ยุคปฐมกาลจนถึงประมาณ 2 พันปีที่ผ่านมา  โดยแต่ละยุคสมัยนั้นพระเจ้าเลือกคนที่เหมาะสม มีคุณสมบัติที่พร้อมให้พระองค์ใช้ได้ และที่สำคัญมีจิตใจที่ยอมทำตามพระประสงค์ด้วยความศรัทธา  ดังจะยกตัวอย่าง  3 บุคคล

1.  โยเซฟ : ผู้ชายที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่ตัดสินคนจากภายนอกที่มองเห็น ไม่พูดหรือทำอะไรที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เสียหาย  เป็นคนที่ตัดสินใจด้วยความรอบคอบ ไม่วู่วามตามอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น แต่ยอมฟังเสียงของพระเจ้า และเมื่อมั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนและคู่หมั้นนั้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  เขาก็ยอมทำตามด้วยความศรัทธา  แม้อาจจะถูกคนรอบข้างมองว่า เด็กในท้องของคู่หมั้นนั้นมาจากไหนไม่รู้ เขายอมอับอายอยู่นานหลายปี  จนนาทีนี้เราต่างรู้ว่า พระเยซู ที่เกิดมานั้นเป็น “พระผู้ช่วยให้รอด”  ผู้มาเกิดในโลกนี้
18เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้   คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น   เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว   ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า   มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ   ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ   หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ 20แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่   ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า   มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน... 24ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น   คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา 25แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตร  (มัทธิว 1:18-25)
พระเจ้าต้องการผู้ชายอย่างโยเชฟ ที่มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบที่ดี ในการนำชีวิต นำครอบครัว นำสังคม และโลกของเราให้อยู่เย็นเป็นสุข และรอดพ้นจากความพินาศ  ทุกวันที่เขาตื่นขึ้นมาก็มั่นใจได้ว่าเขาจะทำในสิ่งที่ดีต่อตนเองและคนรอบข้าง
น่าเสียดายที่ผู้ชายหลายคนดูเหมือนมีสิ่งต่างๆรอบข้างเพียบพร้อม แต่ขาดคุณธรรมประจำใจ จึงทำให้ชีวิต ครอบครัว สังคม และโลกนี้มีปัญหาดังเช่นที่เป็นมาทุกวันนี้
คุณเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรมและเป็นผู้รับผิดชอบที่ดีหรือไม่ ?

2.  มารีย์ : ผู้หญิงที่พระเจ้าโปรดปรานและสถิตอยู่ด้วย  เธอมอบถวายชีวิตให้เป็นทาสีของพระเจ้าและพร้อมให้เป็นไปตามพระประสงค์  ยอมตั้งท้องโดยหลายคนไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใคร  แต่เธอรู้อยู่แก่ใจว่า เป็น “พระเจ้า” ที่มาเกิดในท้องของเธอ และจะเรียกชื่อว่า “เยซู” ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปของคนทั้งโลก
28ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น   แล้วว่า   “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก   จงจำเริญเถิด   พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ” .... 38ส่วนมารีย์จึงทูลว่า   “ดูเถิด   ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า   ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน  (ลูกา 1:28-38)
พระเจ้าต้องการผู้หญิงที่มุ่งมั่นทำคุณงามความดี เป็นที่พึงพอใจและน่าอยู่ด้วยใกล้ๆ เหมือนมารีย์เพิ่มขึ้นในโลกนี้ ในประเทศนี้ ในบ้านนี้ ครอบครัวนี้ เพื่อความสงบสุขร่มเย็นจะเกิดมากขึ้น
น่าเสียดายที่ผู้หญิงหลายคนรูปสวย รวยทรัพย์ นับปัญญาได้มากมาย  แต่กลับไม่มีใครอยากอยู่ด้วย  ดังคำสอนสุภาษิตที่กล่าวว่า   “อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือน   ดีกว่าอยู่ในเรือนร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ”   (สุภาษิต 21:9)
คุณเป็นผู้หญิงที่ทำให้คนรอบข้างพึงพอใจและอยากอยู่ด้วยหรือไม่ ?

3.  พระกุมารเยซู : ผู้ยอมสละพระองค์เองมาเกิดในโลกนี้ในที่ยากลำบาก  จากพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ จากเจ้าของสวรรค์มาเป็นผู้ต่ำต้อยในโลก  ทรงยอมเพราะรักและห่วงใยมนุษย์ทุกคน  ในชีวิตของพระองค์นั้นต้องทนทุกข์ลำบาก ถูกใส่ร้ายป้ายสี และถูกประหารชีวิตอย่างอยุติธรรม  แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ปรากฏชัดว่า พระเยซู เป็นผู้บริสุทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีผู้คนทั่วโลกเชื่อในพระองค์
โลกนี้ต้องการคนอย่างพระเยซู ที่ยอมทำในสิ่งที่ต่ำต้อย ยินดีเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อย มาเกิดเป็นเด็กทารกแล้วค่อยเติบใหญ่ในภายหน้า ยอมอดทน ยอมรับการฝึกฝน ขัดเกลา  จนถึงเวลาอันสมควร จึงแสดงตนอย่างเปิดเผย ในฐานะ “พระเมสสิยาห์” หรือ “พระคริสต์” ผู้ถูกแต่งตั้งไว้เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด แม้จะต้องสละชีวิตก็ยินยอม
พระคัมภีร์บันทึกว่า...พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา   ในด้านร่างกาย   และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า   และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย  (ลูกา 2:52)
คนทุกวันนี้อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างรวดเร็วทันใจ แม้จะเป็นด้วยทางลัด ทางลวง จึงทำให้ ปัญหาและความวุ่นวายต่างๆ  เกิดขึ้นไม่เว้นวัน
ขอให้เราเป็นเหมือนพระเยซู คือ เจริญขึ้นทุกด้าน เป็นพอใจทั้งมนุษย์ และพระเจ้า

พระเจ้าต้องการให้ทุกคนเป็นคนสำคัญและดีเด่น ที่มีคุณสมบัติพร้อมจะใช้การได้ และมีจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธาตามพระบัญชาของพระองค์  ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือ เด็ก ขอให้เป็นคนที่สามารถจะใช้ในการดีได้เหมือนกับ โยเชฟ มารีย์ และ พระเยซู  เพื่อช่วยให้โลกนี้พบทางรอด มีความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองสืบไป

“สุขสันต์คริสตมาส” ครับ

05 ธันวาคม 2554

ชีวิตที่มี “พ่อ” โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย  บัณฑิต  ดาแว่น 

ชีวิตที่มี “พ่อ”

ทุกคนล้วนมีพ่อ ผู้ให้กำเนิด  หลายคนเป็นพ่อแล้ว หลายคนอยากเป็นพ่อแต่ไม่มีลูก หลายคนเป็นพ่อโดยไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ 
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ที่ทรงครองราชย์ 60 กว่าปีมาแล้ว ทรงมีมากว่า 4,000 โครงการ ที่ได้ช่วยพสกนิกรของพระองค์  ทรงเป็นพ่อที่รักลูก และมีลูกที่เป็นคนไทยรักพระองค์มากมายเช่นกัน
ขอบพระคุณสำหรับ “พระบิดานิรันดร์” ที่เป็นต้นกำเนิดของ บิดา ทั้งมวล คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีนามว่า “พระเยซูคริสต์”  ดังพระวจนะที่กล่าวว่า...
ต้นกำเนิดของคำว่า “บิดา” มาจาก พระเจ้า
14เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา 15(คำว่า  บิดา  ของทุกตระกูล  ทุกชาติ   ในสวรรค์ก็ดี  ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่า   พระบิดา) (อฟ.3.14-15)
พระเยซูคริสต์ เป็น องค์พระบิดานิรันดร์  มีคำพยากรณ์ก่อนจะมาเกิดกว่า 700 ปี

 
6ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา    มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา  
  และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน   และท่านจะเรียกนามของท่านว่า     “ที่ปรึกษามหัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์    พระบิดานิรันดร์  องค์สันติราช”
  (อสย.9.6)
พระเยซูสอนให้สาวก(ผู้เชื่อ)อธิษฐานต่อ “พระบิดา”
  9“ท่านทั้งหลาย   จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า   ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์
 ทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์    ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
...  (มธ.6.9)

          จากคำสอนพระคัมภีร์ที่กล่าวมา แสดงให้เห็นความรักของพระเจ้า พระบิดา ที่มีต่อชีวิตของมนุษย์ทุกคน เมื่อชีวิตมีพ่อ ก็มีความมั่นใจได้ว่า...

1.  ชีวิตมีที่มาที่ไป ที่อยู่ ที่แน่นอน
          ชีวิตมีหลักแหล่งเมื่อมีครอบครัวที่มั่นคง  ชีวิตมีที่มาที่ไป ที่อยู่ที่แน่นอน เมื่อมีพระเจ้าเป็นพระบิดา แต่หากขาดครอบครัวชีวิตก็ขาดหลักแหล่ง  คนที่เป็นพ่อ มักจะใช้เกณฑ์การตัดสินใจว่า “คนที่ไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีความมั่นคงแน่นอน ไม่สามารถจะยกลูกสาวให้” จริงหรือไม่ ?
          ชีวิต และสังคม มีปัญหาเพราะ ลูกขาดพ่อ หรือขาดแม่ ทุกวันนี้มีครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น  เด็กขาดที่พึ่ง ขาดหลักแหล่งที่แน่นอนมากขึ้น
สถิติปี พ.ศ. 2550-2554 พบว่าแต่ละปี มีการหย่าร้าง 1 ใน 3 คู่  และแนวโน้มจะสูงมากขึ้น  หมายความว่า แต่งงานร้อยคู่ จะมีการหย่าร้างกันถึง 30 คู่ อีก 10 กว่าคู่กำลังทะเลาะกันอยู่ และอีกหลายคู่กำลังนอนกันคนละห้องคนละมุม  เด็กหลายคนเกิดมา ลำดับญาติพี่น้องของตนเองไม่ค่อยถูก เพราะพ่อแม่แต่งงานหลายรอบและกับหลายคน  นี่ยังไม่นับรวมการแต่งงานโดยไม่จดทะเบียนอีกมากมาย โดยสังเกตจากสถิติ ปี 2552 มีครอบครัวที่เป็นครอบครัวเดี่ยว ที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกเพียงคนเดียวถึง 2.5 ล้านครอบครัว สาเหตุมาจากการหย่าร้างเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพ่อหรือแม่เสียชีวิต
พญ.อำไพขนิษฐ สมานวงศ์ไทย จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัญหาครอบครัวแตกแยกถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวเกิดอาการซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากปัจจัยที่ 1 คือ ความขัดแย้ง  ปัจจัยที่ 2 คือ สัมพันธภาพในครอบครัวที่ไม่ปกติ ก่อให้เกิดความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ที่อาจจะเกิดจากสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ของฝ่ายหนึ่งกับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น แม่สามีลูกสะใภ้ พ่อภรรยากับลูกเขย ญาติพี่น้องของทั้ง 2 ฝ่าย ปัญหาเรื่องการเงิน การนอกใจ การใช้ความรุนแรง การติดอบายมุข รวมไปถึงปัญหาที่เกิดจากบุตร เป็นต้น (แหล่งที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/23616  ค้นเมื่อ 14 พ.ย.2554)       
          ขอบคุณพระเจ้า มนุษย์ทุกคน มีหลักแหล่งที่แน่นอน เพียงแต่ว่าจะรู้จักหลักแหล่งของตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่เท่านั้นเอง  คนเราแสวงหาพระ-เจ้า แต่ไม่รู้อย่างแท้จริงว่า พระเจ้าองค์เที่ยงแท้เป็นใคร จึง จารึกว่า “แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก” (กจ.17.23) คล้ายกับความรู้สึกของคนที่บูชา “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก”
          หากเรารู้จักพระเจ้า พระบิดา อย่างแท้จริง ชีวิตจะมีหลักแหล่ง เชื่อถือได้ มั่นใจได้ มีที่มาที่ไป ที่อยู่ที่แน่นอน  ดังที่พระเยซูสัญญาไว้  (ยน.14.1-6) ทั้งในวันนี้และสืบไป
1“อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย   ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก   ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว   เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย 3เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว   เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา   เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย 4และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น”

2.  ชีวิตมีที่พึ่งที่หวังอย่างแท้จริง
          มนุษย์ต้องการที่พึ่งที่หวัง เรามีการบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งที่คิดว่าจะช่วยได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถยินยันได้ว่า เป็นที่พึ่งที่หวังได้อย่างแท้จริง 
          สังคมไทยรู้สึกหมดหวังกับครอบครัว กับสังคม กับการเมืองมาครั้งแล้วครั้งเล่า  ยิ่งช่วงเวลาที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง ธันวาคม 2011 เริ่มตั้งแต่ที่เชียงใหม่ ไล่ลงไปถึงภาคกลางและกรุงเทพฯ มีความเสียหายอย่างมาก ผู้คนเสียชีวิตกว่า 600 คน  หลายคนผิดหวังกับคำว่า “เอาอยู่” แต่สุดท้ายก็ “เอาไม่อยู่”
          ผู้หญิงหลายคนหวังพึ่งตัวผู้ชายบางคน แต่สุดท้ายก็ผิดหวัง !!  หลายคนยอมรับว่า แม้แต่ตัวเองยังพึ่งไม่ได้เลย !
พระเยซูสอนให้ผู้เชื่ออธิษฐานต่อพระบิดาที่อยู่บนสวรรค์  ผู้ทรงได้ยินได้ฟัง และตอบคำอธิษฐานได้ สามารถเป็นที่พึ่งที่หวังได้   จากคำอธิษฐานที่พระเยซูสอน (มธ.6.9-13) ทำให้เห็นความหวัง  เรื่องความมั่นใจว่ามีผู้ฟังคำอธิษฐาน มีผู้จะทำให้สำเร็จทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก มีผู้ประทานอาหารเลี้ยงดูชีวิต มีผู้อภัยความผิดบาปให้ได้ มีผู้จะช่วยสานสัมพันธ์กันคนอื่นเมื่อมีข้อขัดแย้ง มีผู้ปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย และที่สำคัญมีผู้มีฤทธิ์อำนาจสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ เป็นต้น
พระเจ้า พระบิดา ได้สำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่เราอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว  เพียงแต่ว่าเราจะมารับเอาความรักของพระองค์  โดยยอมรับให้พระองค์เป็นพระบิดาของเราในชีวิตหรือไม่
พระเจ้า พระบิดา พร้อมประทานสิ่งดีของ ลูกของพระองค์เสมอ...
 9ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร   เมื่อเขาขอขนมปัง 10หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา 11เหตุฉะนั้น   ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป   ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน   ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์   จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์  (มธ.7.9.11)
เราสามารถเป็นลูกของพระเจ้า พระบิดาได้ โดย เชื่อในพระเยซูคริสต์
12แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์   ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์   พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ   หรือกาม   หรือความประสงค์ของมนุษย์   แต่เกิดจากพระเจ้า (ยน.1.12-13)
มนุษย์ทำไม่ได้ แต่โดยความรักของพระบิดา พระองค์สามารถช่วยเราได้

มาเป็นลูกของ “พ่อ” กันเถิดครับ !

31 ตุลาคม 2554

บทเรียนจากความทุกข์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น  
บทเรียนจากความทุกข์

เมื่อคิดถึง “ความทุกข์” หลายคนคงไม่ค่อยมีความสุข แถมยังรู้สึกไม่ชอบอีกด้วย  แต่ความจริงคือ คนเราไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้  ตราบใดที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ โปรดจำไว้ว่า ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ
แทนที่จะคิดถึง หรือเผชิญ “ความทุกข์” ด้วย “ความทุกข์ใจ” ลองหันมามองอีกด้านดูสิว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ที่เรากำลังพบเจออยู่นั้นบ้าง  หากเราเชื่อว่าไม่มีทุกข์ใดที่เกิดขึ้นโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเป็นเจ้า เราจะพบความจริงบางอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตมีความหวัง กำลังใจ และแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้  ดังคำสอนของพระเจ้าที่บันทึกไว้ว่า
ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้   และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   (1คร.10.13)
จากคำสอนนี้ มีบทเรียน 3 ประการ

ประการที่ หนึ่ง  ไม่ใช่เราคนเดียวที่กำลังมีความทุกข์โศกเศร้า
พระคัมภีร์ของพระเจ้าสอนว่า  ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย  หมายความว่า ความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา การทดลอง การทดสอบที่เราเผชิญอยู่นั้น ล้วนแต่เคยเกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ มาแล้วทั้งนั้น
ดังนั้นหากเราจะมองด้วยสายตาแห่งความหวัง และสันติสุขที่เกินเข้าใจของพระเจ้า เราจะพบว่า เราเองก็ไม่ใช่คนแปลกพิสดารอะไรกว่าคนอื่น  เราเองก็ทันสมัย อินเทรน ไม่ยกยุคตกสมัยเพราะเจอกับความทุกข์โศกเศร้ากับเขาเหมือนกัน  เราก็คน คนหนึ่งเหมือนกัน หากเราเข้าใจและคิดอย่างนี้ได้ เราสามารถเอาชนะความทุกข์โศกเศร้าโดยกำลังจากพระเจ้าได้ดีขึ้น

ประการที่ สอง  ไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ธรรม 
พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความสัตย์ซื่อ และยุติธรรม  หมายความว่า ทรงรักษาคำสัญญา และไม่ลำเอียง
หากเราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เราจะมีกำลังความคิดในทางที่ถูกต้อง และสร้างสรรค์ชีวิตมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงสัญญาว่า จะไม่ให้เกินกำลังของเรา  แสดงว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราเป็นอย่างดีว่า เราสามารถจะทนกับสภาพปัญหา หรืออึดกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน  หากพระองค์รู้ว่าเราทนไม่ได้ก็จะไม่อนุญาตให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเรา  แต่หากมันเกิดขึ้น ก็ขอให้รู้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจและทราบถึงขีดความอดทนของเราแล้ว  กล่าวคือ พระเจ้าทรงไว้ใจเราว่าเราสู้ไหว จึงอนุญาตให้เหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นกับเรา   แต่อาจจะมีคำถามว่า แล้วทำไมจึงให้ความทุกข์เกิดขึ้นกับคนของพระเจ้าละ ?
คำตอบคือ พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เกิดสิ่งร้าย แต่ด้วยธรรมชาติและสัจธรรมของชีวิตหลังความบาปเกิดขึ้นในโลก เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ความทุกข์ ปัญหา และความตายไปได้
หน้าที่เราคือไว้วางใจในพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ที่ตรัสว่า “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย   ท่านวางใจในพระเจ้า  จงวางใจในเราด้วย  (John 14:1)

ประการที่ สาม  จงมั่นใจว่าพระเจ้ามีทางออกและทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   ในพระเจ้าเราสามารถขอบพระคุณได้ทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงมีทางออก มีแผนการและจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าเสมอ 
พระเจ้าตรัสว่า   เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า   เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ  ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ   เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า (ยรม.29.11)
เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (รม.8.28)
เหตุฉะนั้น   เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว   เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า   ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา 2โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ   ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า 3ยิ่งกว่านั้น   เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น   ทำให้เกิดความอดทน 4และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้   (รม.4.1-4)

บางครั้งเราไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แต่จากประสบการณ์พบว่า พระเจ้าทรงประทานสิ่งที่ดีกว่าแม้ในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  จึงขอให้มั่นใจในพระวจนะของพระเจ้าเสมอว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่มีทุกข์  แต่ยังมีพี่น้องร่วมทุกข์อีกมาก  ความทุกข์จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น  ขอจงมั่นใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ธรรม และมั่นใจในสิ่งดีจากพระองค์ต่อไป ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก ยังจะมีความทุกข์ลำบาก แต่เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วนั่นแหละเราจะพบกับสันติสุขที่ครบบริบูรณ์ในอ้อมอกของพระเจ้าพร้อมกับคนที่เรารักอย่างแน่นอน...แต่ในช่วงเวลาทีมีชีวิตก็ขอให้อยู่อย่างมีความสุขแม้จะต้องเผชิญกับทุกข์หรือปัญหาก็ตาม

...พบกับทางออกของชีวิตได้ในรายการ ข้อคิดเพื่อชีวิต โดย บัณฑิต ดาแว่น ที่นี่..เรามีข้อคิด ความหวัง กำลังใจ แนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ติดตามรับฟัง ดาวโหลดเป็น MP3 หรือ นำไปออกอากาศสถานีวิทยุของท่านได้

26 ตุลาคม 2554

ค่าย สคบ.เหนือ “ก้าวไกล เกิดผล”





ค่าย สคบ.เหนือ     ก้าวไกล  เกิดผล
             จากการดำเนินงานที่ผ่านมาโดยการนำของคณะกรรมการประจำวาระที่ 2 ปี 2009-2011 ตามนโยบาย 3 ร่วม คือ ร่วมประกาศพระนามพระคริสต์ ร่วมเสริมสร้างชีวิตในพระกาย และร่วมรับใช้ สามัคคีธรรม  สังเกตได้ว่า  สคบ.เหนือ มีความเข้มแข็งเติบโตขึ้นระดับหนึ่ง และยังต้องการรับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น  ประกอบกับความต้องการที่จะร่วมมือกันกับทาง สคบ.ส่วนกลาง ที่ยินดีสนับสนุนการจัดการประกาศแห่งใหม่ ๆ จึงทำให้มีแนวคิดการจัดค่ายครั้งนี้ขึ้น
               1.  เพื่อให้สมาชิกในคริสตจักรของ สคบ.เหนือ ทั้งในส่วนของคริสตจักร กลุ่ม หน่วยงาน มิชชั่นนารีได้  มาพบปะสามัคคีธรรม และหนุนใจซึ่งกันและกัน

                2.  เพื่อให้สมาชิกในคริสตจักร สคบ.เหนือ  ร่วมมือกันประกาศข่าวประเสริฐ อันจะนำไปสู่การเริ่มคริสตจักรแห่งใหม่ต่อไป
                3.  เพื่อหนุนใจให้ผู้นำ สมาชิกของคริสตจักรและกลุ่มต่างๆใน สคบ.เหนือตอบสนองนิมิต 2015  “ร่วมเป็น 1 ใน 1แสนคน เพื่อนำ 1 ล้านคนมารู้จักพระเจ้า ในปี 2015” และตอบสนองนิมิต “แบ๊บติสต์ทวีคูณ เพิ่มพูนสู่ 50,000 คนในปี 2015”




   

25 ตุลาคม 2554

ประเทศไทยใน 7 F โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ประเทศไทยใน 7 F  (Thailand 7#F )

จากสถานการณ์ทางสังคม การเมือง ช่วงที่ผ่านมา  จนมาถึงวิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทย  อาจสรุปได้ด้วย 7 F ดังนี้

F#1:  Fight = การต่อสู้   คนไทยมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายปี  มีการการแตกแยก แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี แบ่งชนชั้น  ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่า คนไทยที่เคยรักสงบ สันติ  สามัคคีกันดีมาตลอดนั้น จะมีการต่อสู้กันได้รุนแรงขนาดนั้น  สร้างความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน มีผลกระทบทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อย่างประเมินค่าเสียหายไม่ได้

F#2:  Fire = ไฟไหม้  ในการต่อสู้กันนั้น ไม่เพียงแค่ใช้อาวุธทางลมปาก อาวุธทางสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ และสื่อต่างๆ แล้ว ยังมีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จริง จนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง  ที่น่าเศร้าคือ ปิดท้ายด้วยการ “จุดไฟเผา”  สถานที่สำคัญทางราชการ และสถานที่ทางเศรษฐกิจ ทั้งในต่างจังหวัดและใจกลางทางเศรษฐกิจในกรุงเทพ  ควันไฟดำทะมึนอบอวน และพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างความมืดครึ้ม หดหู่  ทุกข์ เศร้า เสียใจไปทั่ว

F#3:  Flood = น้ำท่วม  หลังจากยุติการต่อสู้กันไปหมาดๆ  ยังไม่ทันจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ หรือเยียวยาความบาดหมางให้กลับดีดังเดิมได้  ก็เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่  มวลน้ำมหึมาจากภาคเหนือ สู่ภาคกลางและกรุงเทพฯตามลำดับอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  หลายคนตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ?”  ธรรมชาติกำลังเอาคืน หรือทวงถามอะไรบางอย่างที่มันขาดหายไปจากน้ำมือของมนุษย์หรือเปล่า ?  บางคนคิดว่า น้ำท่วมครั้งนี้อาจเป็นการทำความสะอาดและขจัดความบาดหมางของไทยหรือเปล่า ?  เพราะมีสัญญาณของการร่วมมือกันของทุกฝ่ายมากขึ้น โดยมาร่วมกันช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย  เรียกได้ว่า น้ำท่วมไม่ใช่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังมีด้านดีที่เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมไทย ความสมานฉันท์ ปรองดอง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เริ่มจะเกิดขึ้นได้ในยามวิกฤติเช่นนี้

F#4:  Fear = ความกลัว   ความกลัว ความกังวล ความสับสน ความทุกข์ลำบากได้เกิดขึ้นกันทุกคน ทุกฝ่าย ทั้งคนไทย และต่างชาติที่เกี่ยวข้อง  ความกลัว กังวลถึงเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่ งาน อาชีพ ครอบครัว และอนาคต มันกระทบไปถึงหัวใจของผู้คนจำนวนมาก กระจายไปทั่วถิ่น แม้กระทั่งประชาคมโลกยังต้องหวั่นไหว เพราะแหล่งเพาะปลูกข้าว อาหารของโลกได้สูญสลายไปกับสายน้ำจำนวนมาก

F#5:  Future = อนาคต  ต่อจากนี้ไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร  อนาคตของโลก และชีวิตจะเป็นอย่างไร  เป็นความรู้สึกและคำถามเกิดขึ้นในใจของผู้คน  ดูเหมือน โลกนี้ ชีวิตนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  โลกกำลังแย่ลง หรือจะดีขึ้น  เราจะทำอย่างไรกันดี มีคำถามที่ยากจะหาคำตอบที่จุใจได้ในเวลานี้

F#6:  Forgive = การให้อภัย   ขอให้เกิดการยกโทษ การให้อภัย อันเนื่องมาจากความบาดหมาง การต่อสู้ การเกลียดชังกันที่ผ่านมาให้หมดสิ้น ขอให้สิ่งที่ผ่านพ้นมานั้นกลายเป็นบทเรียนสอนใจทุกคน ทุกฝ่าย แม้จะเป็นเรื่องยากแต่หวังว่าการคืนดีอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นกับคนไทย เพื่อยืนหยัดในวันนี้ และมุ่งสู่วันพรุ่งนี้ด้วยพลังแห่งรัก  ขอให้ทุก “สี” เชื่อมโยงกันจนกลายเป็น “สี-มัค-คา”  = “สามัคคี” กันต่อไป

F#7:  Faith = ความเชื่อ   ขอให้มีความเชื่อ ความศรัทธาที่มั่นคงเกิดขึ้นกับทุกคน เพื่อจะมีความหวัง กำลังใจ และสามารถผ่านพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปให้ได้   ขอให้เชื่อมั่นว่ายังมีพระผู้เป็นเจ้าที่ยังทรงรัก ห่วงใย ทรงพร้อมช่วยเหลืออยู่เสมอแม้ในยามยากลำบาก   โดยความเชื่อในพระเจ้า จะช่วยให้เกิดความรอดพ้น เกิดการให้อภัยด้วยใจรักและการคืนดีกันอย่างแท้จริง  เมื่อมีศรัทธาย่อมมีปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ดีมากขึ้น  แม้ดูเหมือนจะเกินกำลังของมนุษย์ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพระเจ้าที่จะสำแดงพระคุณ พระเมตตา  ขอเพียงเริ่มด้วยความเชื่อ ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า

          แม้จะมี 5 F  คือ  Fight, Fire, Flood, Fear และ Future ที่ทำให้เกิดต่อสู้ ร้อนรุนแรง และสูญเสีย ทำให้เกิดความทุกข์โศกเศร้า กลัว กังวล ทั้งในปัจจุบันและอนาคต  แต่ 2 F คือ Forgive และ Faith  ที่เป็นการอภัยและความเชื่อศรัทธา  เป็นหนทางแก้ไข เยียวยาทั้งในวันนี้และสืบไป  ขอจงมั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้าที่กล่าวว่า 

...องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศว่า เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองมิใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า
แล้วเจ้าจะร้องเรียกเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า  เจ้าจะแสวงหาเรา และพบเรา
เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า"  (ยรม.29.11-13 อมต.ร่วมสมัย)

*Follow the instruction below.*
1) Stare at the 4 little dots on the middle of the picture for 30 seconds 
2) then look at a wall near you
3) a bright spot will appear
4) twinkle a few times and you‘ll see a figure
5) What do you see? Or even WHO do you see?


จ้องมองภาพสัก 30 วินาที หันไปมองผนังที่อยู่ใกล้ หลับตาและรีบลืมตามองไปที่ผนัง   ในชั่วขณะนั้นจะเห็นใบหน้าใครบางคน ลองนึกดูว่าคุณเห็นใคร


17 ตุลาคม 2554

“ความเชื่อ ความหวัง ความรัก” โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

“ความเชื่อ  ความหวัง ความรัก”

ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติน้ำท่วมใหญ่เป็นเวลานาน  นับตั้งแต่เดือนกันยายน จนจะย่างเข้าสู่พฤศจิกายนแล้ว ดูเหมือนสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายไปมากนัก แม้หลายฝ่ายจะพยายามทุ่มเททรัพยากรทุกประเภท เพื่อสู้ และกู้วิกฤติครั้งนี้  ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นกว้างใหญ่เหลือเกิน  คาดว่าต้องใช้เงินจำนวนนับแสนล้าน และต้องใช้เวลานาน กว่าที่จะเยียวยา ฟื้นฟู ให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิมได้  หลายอย่างหากเป็นทรัพย์สิ่งของอาจจะพอทนรอได้ แต่ชีวิตของผู้คนที่ต้องอยู่ ต้องกิน ต้องดำเนินต่อไปนั้น ยากที่จะรอคอยเวลาหรือสิ่งใดๆ เพราะแหล่งงาน แหล่งทรัพยากรที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตวันต่อวันที่ผ่านมาก็จมอยู่ใต้น้ำเช่นกัน 
หากต้องเผชิญกับปัญหาเพียงชั่วครู่ ชั่วครั้ง ชั่วคราว มาแล้วก็ผ่านไป คงไม่ทำให้สภาพจิตใจบอบซ้ำมากนัก แต่นี่เป็นเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน หายครั้ง หลายหน จนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ! ...จน เครียด แล้วต่อไปจะทำอย่างไรดีละ !  ปัญหามันมาทับถมจนจมลงไปหมดทั้ง บ้าน เรือน ไร่ นา ข้าว ปลา อาหาร โรงงาน สถานที่พักผ่อน แหล่งทำกิน ที่ดินเพาะปลูก  ทั้งลูก ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง ทำได้เพียงนั่งมองน้ำที่มันเอ่อล้นและไหลไปมาเอื่อยๆ อย่างเนิ่นนาน  กลางวันมันช่างร้อนรุ่ม กลางคืนก็มืดมนแทบจะทนไม่ไหว  ท่ารถกลายเป็นท่าเรือ ทิศเหนือ หรือใต้ไม่ต่างกัน ที่นี่ ที่นั่น ที่โน่น ก็เต็มไปด้วยน้ำ น้ำ และน้ำ... สายตาที่ทอดออกไปเหมือนไร้จุดหมายปลายทางไปหมด
ขอพระเจ้าเมตตาประเทศไทย   ขอให้คนไทยได้มีความหวัง กำลังใจ ให้สามารถผ่านพ้นภัยพิบัติเหล่านี้ไปได้  ขอทรงเป็นความอุปถัมภ์ ค้ำชู ช่วยกู้วิกฤติ  ช่วยนำชีวิตของทุกคนไปในทางแห่งสันติสุข และความหวังในพระองค์  เพราะเชื่อว่า  แม้ท่ามกลางหุบเขาเงามัจจุราช พระเจ้ายังทรงดำเนินอยู่เคียงข้างประชากรของพระองค์เสมอ (สดด.23.4)  พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นความจริง  เราสามารถเข้ามาพักพิงทั้งชีวิต จิตใจในพระเจ้าได้ทุกเวลา
แม้จะต้องสูญเสียทุกสิ่ง แต่สิ่งสำคัญที่ยังต้องคงไว้ นั่นคือ “ความเชื่อ ความหวัง และความรัก”  เพราะ 3 สิ่งนี้จะยังคงอยู่  ที่เราสามารถยึดมั่นไว้ในทุกสถานการณ์ 
ขอให้มี “ความเชื่อ” ในพระเจ้าผู้ทรงพระคุณ และเมตตา ผู้ทรงรักษาพระสัญญา และรักทุกชีวิตที่ทรงสร้างมาด้วยฝีพระหัตถ์ จนกระทั่งประทานพระบุตรองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์มาพลีพระชนม์เพื่อเรา เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3.16)
ขอให้มี “ความหวัง” หวังใจในพระเจ้าพระผู้สร้าง ทรงจัดเตรียมหนทางที่ดีเสมอ หวังใจในพระเยซูผู้สละพระองค์เองเพื่อคนทั้งปวง ทรงตายเพื่อไถ่บาป ทรงเป็นขึ้นเพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้า และสัญญาว่าจะกลับมารับทุกคนที่เชื่อไปอยู่กับพระองค์อย่างมีศักดิ์ศรีนิรันดร์อันหาที่เปรียบไม่ได้ (ยน.14.1-6,2คร.4.16-18) และยังทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ ว่าจะทำทุกสิ่งที่สัญญาแน่นอน (อฟ.1.13-14)
ขอให้มี “ความรัก” อันยิ่งใหญ่ รักกันฉันพี่น้อง รักกันด้วยจริงใจ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่กัน  ดังพระเจ้าที่สำแดงความรักประเสริฐนี้แก่ทุกคนก่อนแล้ว(1ยน.4.9)  เป็นความรักที่ประทานให้ในยามที่เราหมดหวัง หมดแรงกำลัง  คือ ยังทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาปชั่วแม้ตัวเราช่วยตัวเองไม่ได้ (โรม 5.6-17)

“ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง   คือ ความเชื่อ   ความหวังใจ   และความรัก
แต่ความรักใหญ่ที่สุด” (1โครินธิ์ 13.13)



            ขอให้ 3 สิ่งนี้อยู่ในชีวิตของพี่น้องทุกคนด้วยเทอญ...

10 ตุลาคม 2554

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม โดย บัณฑิต ดาแว่น

                                                                                            คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น  

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม


ท่ามกล่างวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ และยาวนานของประเทศไทย  สร้างความเสียหายเหลือคณานับต่อชีวิตทรัพย์สิน  ส่งผลกระทบไปทุกด้าน  นักวิชาการเห็นตรงกันว่าปริมาณน้ำในปี 2554 นั้น ไม่ใช่ระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  แต่เนื่องจากระยะเวลาของน้ำที่ขังอยู่ และคงที่ต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือน อีกทั้งพื้นที่รับน้ำที่เคยมี ที่จะช่วยให้น้ำกระจายออกไปตามแหล่งต่างๆ นั้นมีน้อยลง เพราะแต่ละพื้นที่ก็ไม่อยากให้น้ำละลักเข้าพื้นที่ทำกินของตน หรือพื้นที่ธุรกิจของเมือง จึงทำแนวกั้นน้ำกันอย่างแน่นหนาและสูงกว่าเดิม  ทำให้ปัญหานี้ยากที่จะแก้ไขมากขึ้น
แม้น้ำจะท่วมสูงและยาวนาน แต่น้ำใจของคนไทยยิ่งมากและยาวนานกว่า  ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ส่วนบุคคล ต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยบรรเทาทุกข์ระยะยาว ต่างภาวนาขอให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้  ยิ่งกว่านั้นขอให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจ รักใคร่สามัคคี ปรองดองกันอย่างดีต่อไปด้วย
ความกลัวต่อภัยพิบัตินั้น คงยังฝังลึกในใจของคนเรามาเนิ่นนาน  หากจะศึกษาจากบทเรียนพระคัมภีร์  มีภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นต่อมวลมนุษยชาติ คือ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์  ที่บันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ถึง 9  ซึ่งมีผู้รอดชีวิตเพียงครอบครัวของโนอาห์และสัตว์อย่างละคู่เท่านั้น  เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการแสดงสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์เห็นว่าพระองค์เป็นผู้เดียวที่ควบคุมทุกสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมา  เมื่อมนุษย์เสื่อมทรามลงอย่างน่าสลดใจ พระองค์จึงทรงหาวิธีแก้ไขและหาแนวทางช่วยให้รอดสำหรับผู้ที่เชื่อฟัง 
พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนรอด (2ปต.3.9) แต่ทั้งนี้ก็ให้เสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์ด้วย  จึงให้โนอาห์ต่อเรือใหญ่เพื่อรวบรวมมนุษย์และสัตว์ที่ยอมฟังเสียงของพระเจ้าได้มีทางรอดจากน้ำท่วม  แต่น่าเสียดายที่มีคนจำนวนน้อยที่ใส่ใจในคำเตือนและยอมรับการช่วยเหลือ  ภัยพิบัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้พระเจ้าจะสัญญาต่อมนุษย์ว่าจะไม่ให้น้ำท่วมโลกอีกต่อไป โดยให้มีรุ้งกินน้ำเป็นสัญญาลักษณ์แห่งพันธสัญญานั้นตลอดกาล  แต่ในใจของมนุษย์จากวันนั้น จนถึงวันนี้คงยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่ผลิกชีวิตและโลกนี้ไปได้เลย  แปลกแต่จริง  ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับชีวิตหากยังดำเนินชีวิตในทางชั่วร้ายต่อไป แต่มนุษย์ก็ยังไม่ไม่หยุดที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างจริงจัง  คงยังหาวิธีเอาตัวรอดไปเป็นครั้งๆ ไป  โดยไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนในอดีตมากนัก  จึงทำให้วัฏจักรของชีวิตและโลกนี้ต้องวนเวียนอยู่กับวิกฤตการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กล่าวคือ ไม่เพียงเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม แต่หมายถึงเรื่องราวความรุนแรง ความเสียหาย ภัยพิบัติ วิกฤตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ครอบครัว และสังคมอย่างที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย  ยิ่งนับวันปัญหาก็เกิดขึ้นถี่  ต่อเนื่อง รุนแรง และขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น  บางเรื่องดูเหมือนไม่น่าเป็นปัญหา แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็มี เนื่องมาจากการเอารัดเอาเปรียบ การหยิบฉวยผลประโยชน์ที่มีมากขึ้น ที่ไปซ้ำเติมหรือต่อยอดให้มันเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่เป็นนั่นเอง
พระเจ้ายังทรงรักและห่วงใยในชีวิตของมนุษย์และโลกนี้อยู่เสมอ พระองค์มีแผนการแห่งความรอดตั้งแต่ต้นมาแล้ว เพียงแต่ว่ามนุษย์ยังไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจในคำเตือน ไม่เชื่อในทางออก  และไม่ทำตามที่มีบัญชาไว้  ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  ผู้ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ทางรอดของชีวิต (ยน.14-6) และจะทำให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง (ยน.8.31-32) ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกลัวต่อภัยพิบัติของชีวิตต่อไป  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมที่ไว้สำหรับทุกคนที่เชื่อไว้วางใจ (ยน.14-1-4) เป็นที่ที่ปลอดภัย ไม่มีภัยอันตรายมากล้ำกลาย  เป็นที่ที่ความทุกข์ ความลำบาก ความเจ็บปวด การร้องไห้ การคร่ำครวญ และความตาย จะไม่มีอีกต่อไป แม้กระทั่งน้ำตาทุกหยดที่เคยหลั่งออกมาก็จะทรงเช็ดให้ (วว.21.4)  เป็นสถานที่ที่สัญญาว่าสิ่งเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว  แต่จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมเกินกว่าจะพรรณนาด้วยคำอธิบายของภาษามนุษย์  ณ ที่นั่นจะมีแต่การครอบครองของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นแสงสว่าง  เป็นสันติสุขแห่งชีวิต  กลางวันหรือกลางคืนไม่จำเป็นอีกต่อไป  เพราะตลอดเวลาจะอยู่ภายใต้พระสิริ พระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  ทุกชีวิตจะปลอดภัย เป็นสุขในพระองค์  คือบรรดาผู้ที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซู (วว.21.27)
พระเจ้าประสงค์ที่จะให้ทุกคนอยู่ที่นั่น  ณ สถานที่ ที่มีแต่สันติสุข ปลอดจากทุกข์ภัยทั้งปวง  รวมทั้งปลอดจากภัยน้ำท่วมในเวลานี้ด้วย  หนทางรอดคือ หันกลับมาสำรวจชีวิตว่า ตนเองกำลังเดินอยู่ในความเสื่อม หรือ เดินในทางสันติสุขกันแน่ !  หากต้องการเดินในทางแห่งสันติสุข ต้องกลับมาหาพระเยซูผู้ทรงเป็นทางแห่งความจริง และทางรอด ด้วยการเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์ทั้งชีวิตจิตใจ ยินดีให้พระองค์เข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดในชีวิต และตั้งใจที่ทำสิ่งดีตามพระประสงค์  นั่นแหละเป็นทางที่จะนำไปสู่ดินแดน ที่ไม่มีภัยพิบัติใดๆ อีกเลย
อยากไปอยู่ด้วยกันไหมครับ ?