ข้อคิดจากอิสราเอล
Dead Sea :
ทะเลที่ไม่มีวันจืด
โดย
บัณฑิต ดาแว่น
การเดินทางไปตามรอยพระคัมภีร์ที่ประเทศอิสราเอล
แผนการเดินทางส่วนหนึ่งนั้นจะขาดเรื่องราวทะเลตายไปไม่ได้
Dead Sea
“ทะเลตาย” บ้างก็เรียกว่า
“ทะเลมรณะ” หรือ “ทะเลเกลือ” เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นสูง
จนชนิดที่ว่าเราสามารถลงไปนอนลอยตัวและอ่านหนังสือได้ โดยไม่จมลงมิดตัว ส่วนจะมีวิธีการและประสบการณ์ที่ลงไปด้วยตัวเองของผมอย่างไรบ้าง
ติดตามกันต่อไปนะครับ
คณะของเราร้อยกว่าชีวิต
ยังพักอยู่ที่โรงแรมในเมืองเบธเลเฮมที่ชื่อว่า Manger Square Hotel เป็นโรงแรมน่าจะระดับสามถึงสี่ดาว อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวทั้งห้างสรรพสินค้า
และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง โบสถ์ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระเยซู
สถานที่คนเลี้ยงแกะได้รับการแจ้งข่าวจากทูตสวรรค์ให้ไปดูพระผู้ช่วยให้รอดมาประสูติ
เป็นต้น ชื่อโรงแรม Manger คือ รางหญ้า
เขาคงจะตั้งชื่อตามเหตุการณ์ที่มารีย์และโยเซฟใช้เป็นที่รองรับพระกุมารเยซูในวันที่ประสูติ
ตามการบันทึกของพระคัมภีร์ว่า โยเซฟและมารีย์ต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธซึ่งอยู่ทางเหนือของอิสราเอล
ต้องเดินทางลงมายังบ้านเกิดเมืองนอนตามคำสั่งของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส แห่งโรม
ที่ออกคำสั่งให้มีการจดทะเบียนสำมโนครัวทั่งทั้งแผ่นดิน เพื่อสำรวจประชากรและเก็บภาษี
(ลูกา 2.1-7)
ผู้คนจำนวนมากต้องเดินทางเพราะคำสั่งนี้ ขณะที่มารีย์ท้องแก่แล้ว
แต่ต้องเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระยะทางจากนาซาเร็ธถึงเบเลเฮมประมาณ 160
กิโลเมตร อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์สำหรับคนปกติที่เดินเท้าและอาศัยสัตว์เป็นพาหนะ
ส่วนคนท้องแก่จะยากลำบากแค่ไหนต้องจินตนาการดูนะครับ ประกอบกับ
สภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาโขดหิน หนทางขึ้นลง คดเคี้ยวเลี้ยวลด มีทางสูงชัน
และทางเปลี่ยวอันตรายรอบข้างทั้งจากสัตว์ป่าและโจรผู้ร้าย สุดท้ายมาถึงเบธเลเฮม
แต่หาที่พักไม่ได้ จึงต้องอาศัยบริเวณคอกสัตว์ ซึ่งอาจเป็นโพรงถ้ำที่ปรับมาใช้ประโยชน์ของคนท้องถิ่น
พูดถึงโรงแรมที่นี่
ต้องเล่าเรื่องอาหารการกินสักนิด
ทุกเช้าจะจัดอาหารแบบฟุบเฟ่ หลากหลายชนิด แน่นอนเป็นอาหารสไตน์ตะวันออกกลาง
อิสราเอล และ อาหรับ ที่เต็มไปด้วย นม เนย ซีส เนื้อวัว เนื้อแพะ ไก่ และปลาสารพัด ที่ขาดไม่ได้คือผัก
ผลไม้จากท้องถิ่นเรียงรายกันตระการตา
ผมในฐานะนักชิม นักกิน(แบบไม่เลือกหน้า แต่ว่าหุ่นยังเฟิร์มเสมอ..
ฮะ..ฮะ..ฮ้า!!) ไม่พลาดที่ลองชิมนั่นชิมนี่ทุกมื้อกันเลย ผมชอบประเภทผัก และพวกเนย
ซีส เป็นพิเศษ ส่วนนมแพะนั้นกลิ่นมันจะแรงนิดๆ
แต่เขาก็บอกว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับนมของแม่เชียวนะ
แต่เอาละโฆษณาไปผมก็ไม่ชินกับกลิ่นอยู่ดี ซีสบางอย่างก็มีกลิ่นและรสชาติแปลกลิ้นเหมือนกัน
ส่วนที่ผมมักจะเลี่ยงคือมะกอกเทศดองเท่านั้น สรุปคืออร่อยทุกอย่างครับ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินทาง
ต้องทำเวลากันหน่อยผมเดินขึ้นลงบันไดของโรงแรมไปห้องพักชั้นหกทุกครั้ง
ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย เพราะหากรอขึ้นลิฟท์ไม่ทันแน่
เฉพาะคณะของเราก็ร้อยกว่าท่านแล้ว
วันนี้เป้าหมายใหญ่คือเดินทางไปที่ ทะเลเดดซี (Dead
sea) ที่ขึ้นชื่อว่า เค็มที่สุดในโลก
ต้องเตรียมตัวและฟังข้อมูลคำแนะนำจากผู้จัดการทัวร์ ว่าไม่ควรตัดเล็บ
โกนหนวด หรือกระทำการใดที่อาจจะเป็นเหตุให้เกิดรอยแผล ขีดข่วนตามร่างกาย
เพราะหากลงไปในน้ำทะเลตายที่เค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไปถึงสิบเท่าแล้ว
ไม่อยากจินตนาการเลยว่าจะแสบถึงทรวงขนาดไหน
เราต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเวลาลงเล่นน้ำด้วย
จากนั้นพวกเราก็ทยอยขึ้นรถบัสและเตรียมตัวเวียนหัวไปกับเส้นทางอันน่าตื่นเต้นแล้วละครับ
เส้นทางที่ไปยังตระการตา
น่าสนใจทุกเรื่องราวในมุมมองของคนที่ไปสัมผัสครั้งแรก ทั้งไต่ไปบนเนินเขา สันเขา
ลงหุบเหวลึกและขึ้นไปอย่างสูงชัน
พลขับมืออาชีพยังนำพวกเราผ่านเส้นทางทะเลทรายยูเดีย
ที่ตลอดสองข้างทางเป็นภูเขาหินแห้งแล้ง สลับกับสวนมะกอกเทศ องุ่น
และพืชพันธ์ท้องถิ่น แม้รถจะเคลื่อนไปแต่ยังมองเห็นแพะ แกะ
ที่ปล่อยเดินตามเนินเขากินหญ้าแห้งตามสภาพ และมองเห็นคนตัวคล้ำๆ
เดินตามฝูงสัตว์ของเขา ท่ามกลางแดดแผดเผา
มัคคุเทศก์อธิบายให้ฟังว่า
นั่นคือสภาพชีวิตของชนเผ่าเร่ร่อนที่ยังดำรงชีพด้วยวิถีดั้งเดิม เขาเรียกว่า
“ชาวเบดูอิน” ซึ่งทุกวันนี้อาจจะมีจำนวนน้อยลงไป แต่ยังมีให้เห็น
น่าจะเป็นภาพตัวอย่างที่ดีเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ถึงวิถีชีวิตของคนสมัยเมื่อสามพันปีก่อนได้ว่าเรื่องราวแบบนี้มีอยู่จริง
เส้นทางยังเลียบไปตามแม่น้ำจอร์แดนที่เป็นสายน้ำที่เชื่อมมาจากทะเลกาลิลีอันเป็นทะเลสาบน้ำจืดไหลลงมาทางแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลตาย
ซึ่งน้ำจืดกลายเป็นน้ำเค็มเข้มข้น
เราได้เพียงชำเลืองมองแม่น้ำจอร์แดนที่คดเคี้ยวไม่เพียงเส้นทางรถ บริเวณ Qasr
EL Yahud ริมแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันตก
เชื่อกันว่าพระเยซูมารับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่นี่เมื่อสองพันปีก่อน มัคคุเทศก์ปลอบใจเราว่า
ไม่ต้องลงไปดูก็ได้นะครับ
เพราะน้ำที่แม่น้ำจอร์แดนคงไม่แตกต่างจากน้ำที่อื่นนักหรอก แถมอากาศยังจะร้อนระอุอีกด้วย
หากต้องลงไปก็เดินผ่าดงหญ้าไปอีก
และไม่รู้ว่าจุดไหนเป็นจุดไหนที่เกิดเหตุการณ์ใดบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เป็นอันว่าฟังและชำเลืองดูก็พอ
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ ๆ
ทะเลตายแล้วพวกเราชาวคณะยังได้ไปเยี่ยมชม ถ้ำคุมราน (Qumran)เป็นบริเวณที่เจ้าสำนักสมัยนั้นสั่งสอนลูกศิษย์ของตน
และเหตุการณ์ณ์การเขียน การคัดลอกพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้นที่บริเวณนี้
เป็นสถานที่คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินพบม้วนหนังสือโบราณโดยบังเอิญและกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์ที่เราเชื่อกันทุกวันนี้เป็นความจริงอย่างอัศจรรย์เพราะข้อความ
เนื้อหา ตรงกับสำเนาโบราณที่พบ เหตุการณ์ค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1947
นี่เอง เอาไว้จะเล่ารายละเอียดของเรื่องนี้อีกทีนะครับ
เมื่อรถทัวร์จอด
เราต่างเปลี่ยนชุดเป็นขาสั้นเสื้อยืด รองเท้าแตะ สะพายย่ามใส่ผ้าเช็ดตัว สบู่
ยาสระผมเพื่อเตรียมตัวลงทะเลตายแล้วครับ
มาถึงแล้ว ทะเลตาย ทะเลมรณะ ทะเลเกลือ ทะเลเค็มที่ได้ยินมานาน
ความฝันเป็นจริงในวันนี้ จะลงแช่น้ำ จะชิม จะใช้โคลนทาตัว
และจะลอยตัวในทะเลนี้อีกไม่กี่อึดใจแล้ว
ทะเลตาย - Dead Sea เป็นทะเลที่ต่ำที่สุดของโลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลทั่วไปกว่า 400 เมตร และน้ำในทะเลนี้เค็มกว่าทะเลปกติถึง 10 เท่า เพราะมีปริมาณ แร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่า เช่น ไอโอดีน 10 เท่า แมกนีเซียม 15 เท่า โบรมีน 20 เท่า ทำให้เกิดความหนาแน่นมากจนท่านสามารถลอยตัวได้โดยไม่จมแม้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น จากข้อมูลพบว่า ทะเลตายอยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียทางด้านเหนือ และที่ราบสูงทรานส์จอร์แดนทางตะวันออก แม่น้ำจอร์แดนไหลจากทางเหนือมายังทะเลตายแห่งนี้ ซึ่งทะเลตายมีความยาว 80 กิโลเมตร กว้าง 18 กิโลเมตร พื้นที่ 1,020 ตารางกิโลเมตร โดยมีแหลมอัลลิซาน (แปลว่าลิ้น) แบ่งทะเลสาบด้านตะวันออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือใหญ่กว่า แอ่งตอนใต้นั้นเล็กและตื้น(ลึกประมาณ 3 เมตร) ในสมัยที่เขียนพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 พื้นที่บริเวณตอนเหนือเท่านั้นที่มีผู้อาศัย และระดับน้ำต่ำกว่าในปัจจุบัน 35 เมตร
จากเรื่องราวกล่าวขานกันว่า บริเวณทะเลตายแห่งนี้ อาจเป็นบริเวณของเมืองโสโดมและโกโมราห์
ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ถูกถล่มลงด้วยไฟกำมะถัน
เพราะพระเจ้าเห็นความชั่วช้าของพวกเขาที่ใช้ชีวิตอย่างโสครกโสมมในทางศีลธรรมอย่างหนัก ชายสมสู่กับชาย
หญิงสมสู่กับหญิงอย่างโจ่งแจ้ง
พระเจ้าสำแดงเรื่องนี้แก่อับราฮัม
ชายผู้ตั้งใจเชื่อฟังพระเจ้าและเป็นต้นตระกูลแห่งความเชื่อมาจนปัจจุบันนี้
บันทึกเรื่องราวในปฐมกาลบทที่ 18 และ19 ขณะที่อับราฮัมอาศัยอยู่ในทุ่งเลี้ยงสัตว์ของเขา
พระคัมภีร์กล่าวว่า
พระเจ้าต้องการให้อับราฮัมรู้เรื่องการทำลายเมืองโสโดมโกโมราห์ก่อนที่จะทำลายเสีย
โดยเสด็จมากับทูตสวรรค์เพื่อยืนยันพระสัญญาต่ออับราฮัมว่าเขาจะมีทายาทสืบสกุลแน่นอน
และเมื่อกำลังจะไปทางเมืองโสโดมและโกโมราห์ก็แจ้งเรื่องนี้แก่อับราฮัม (Genesis
18:16-19)
พระคัมภีร์บันเหตุการณ์ที่พระเจ้าพูดกับอับราฮัมต่อไปว่า...
พระเจ้าได้ตรัสว่า
“เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก1เราจะลงไปดูว่า
พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่ ถ้าไม่เราก็จะรู้” - Genesis 18:20-21
จากนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าตรงไปยังเมืองโสโดมเพื่อทำลายทิ้ง
อับราฮัมได้ทูลอ้อนวอนพระเจ้าที่ยังสนทนากับเขาอยู่
และขอพระเมตตาเพื่อเมืองโสโดมว่า ถ้ามีคนชอบธรรม ห้าสิบ... สี่สิบห้า... สี่สิบ
สามสิบ ยี่สิบ หรือ สิบคน... พระองค์ยังจะทำลายหรือไม่
พระเจ้าตอบว่าเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมเพียงแค่สิบคนก็จะไม่ทำลาย
แต่สุดท้ายเมืองโสโดม โกโมราห์ หาคนดีได้ไม่ถึงสิบคน จึงถูกทำลายสิ้นซาก
กลายมาเป็นเรื่องราวของทะเลตายในปัจจุบัน
มีเพียงโลท หลายชายแท้ ๆ ของอับราฮัมและลูกสาวสองคนเท่านั้นที่หนีรอดมาจากเมืองที่ถูกถล่มด้วยไฟ
ส่วนภรรยาของโลทมาได้ครึ่งทางแต่หันกลับไปมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งว่าห้ามหันหลังกลับ จึงกลายเป็นเสาเกลือ ( Genesis
19:24-28)
เมื่อพวกเราไปถึงจะรีรออะไรละ
ลงทะเลซิครับ...แต่อย่าลืมคำเตือนนะ ทะเลที่นี่เค็มมากๆๆๆ อย่าให้น้ำกระเซ็นเข้าตา
หรือว่าถ้ามีบาดแผลก็อย่างเสี่ยงเป็นอันขาด
แต่ผมคิดว่าเมื่อมาขนาดนี้แล้วอะไรก็ฉุดรั้งไว้ไม่ได้
จะเป็นหรือตายขอลองดูสักครั้งน่า
คำแนะนำเพิ่มเติมคือ การลงไปในน้ำทะเลตายนั้น ต้องค่อยๆ เดินลงไป เพราะเป็นโคลนลึกบางพื้นที่จมไปถึงเข่าทีเดียว
แต่ความรู้สึกมันลื่นเท้าและเหนียวๆ กลิ่นทะเลแบบเค็มๆ
รู้สึกถึงกลิ่นกำมะถันและความทะมึนตึงของความเข้มข้นของน้ำและโคลน เมื่อไปถึงระดับลึกถึงหน้าอก
ก็ทำท่าเหมือนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ทำท่าหงายหลังไปเล็กน้อย เท่านี้เท้าและขาทั้งสองก็จะลอยขึ้นมา
กลายเป็นผมกำลังนอนหงายลอยอยู่กลางทะเลที่เค็มที่สุดในโลกแล้ว เสียงขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า
ดังระงมทั่วทั้งบริเวณ
โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจภาษาอะไรหรือไม่ นี่แหละครับ ทะเลที่ไม่มีวัน
“จืด” และไม่มีวัน “จม”
ที่ผมโหยหามานานว่าจะมาสัมผัส บัดนี้ลอยตัวอยู่ที่นี่แล้ว พอเล่นได้ที่สักพักก็หันมาที่ตื้นเพื่อนำโคลนมาพอกตัว
และไม่ลืมที่จะบรรจุใส่ขวดน้ำพลาสติกเพื่อนำไปฝากคนที่บ้านเป็นที่ระลึกด้วย
เพราะหากต้องซื้อจากร้านขายของที่ระลึกและทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโคลนที่นี่แล้วราคาไม่น้อยกว่าพันบาทต่อกระปุกเล็ก
ๆ เรื่องอะไรผมจะยอมจ่ายละ !!
เล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่าขวดน้ำยี่ห้อเยรีโคที่ใส่โคลนนั้น
มันก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านจนทุกวันนี้และยังไม่ได้เปิดใช้เลย
มัคคุเทศก์เล่าว่า
พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ
เป็นที่หลงใหลของมาร์คแอนโทนี่และชายทั้งปวงในสมัยนั้น ก็ได้มานำโคลนจากทะเลตายแห่งนี้ชโลมตัวเพื่อให้ผิวพรรณสดสวย
โดยพระนางมักจะมาพักผ่อนที่นี่เป็นประจำด้วย
ปัจจุบันพบว่าปริมาณน้ำในทะเลตายเริ่มลดน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง
เพราะมีการระเหยไปตามธรรมชาติเนื่องจากความเค็มที่เข้มข้นขึ้น
และที่หายไปมากเพราะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำของชนชาติที่อยู่ในบริเวณนั้นคือ
อิสราเอล และปาเลสไตน์ รวมทั้งจอร์แดน ที่ต่างมีความต้องการใช้น้ำอย่างมาก
จึงต้องกักตุนน้ำจืดจากแม่น้ำจอร์แดนไม่ให้ไหลลงมายังทะเลตายได้เหมือนก่อน
อีกทั้งปริมาณน้ำฝนที่ลดน้อยลง จึงเกิดปรากฏการณ์ทะเลตายแห้งเหือดขึ้นมา แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกฝ่ายจะหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ด้วยกัน
แม้จะเป็นศัตรูทางการเมืองและเชื้อชาติมายาวนาน
แต่เพื่อความอยู่รอดคงต้องช่วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่อย่างนั้นความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย
สังเกตจากแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในแถบตะวันออกกลางพวกเขาก็มีจุดร่วมและจุดสงวนในความแตกต่างกันอยู่แล้ว
เช่น เราไปเที่ยวชมพระวิหารที่อยู่ภายใต้การครอบครองของอาหรับ
แต่ต้องใช้ทางขึ้นของอิสราเอล และพักโรงแรมของชาวปาเลสไตน์ เป็นต้น ทั้งการขายสินค้า ของที่ระลึก ก็ไม่ได้กำหนดใครเชื้อชาติหรือศาสนาใด
ๆ เมื่อเราเดินผ่านไปเห็นชาวอาหรับขายไม้กางเขน
และสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูเป็นปกติกันอยู่แล้ว
หลังจากลอยตัวในทะเลตายและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจนพอใจแล้ว
คณะของเราเดินทางขึ้นเหนือไปต่อที่บริเวณภูเขาที่พระเยซูถูกมารทดลองซึ่งเป็นอีกเรื่องราวที่จะเขียนกันต่อนะครับ
เดดซี – Dead
sea ทะเลที่ไม่มีวันจืด ไม่มีวันจม
ผมได้ประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้ว มีบทเรียนชีวิตที่เป็นข้อคิดมากมาย อย่างเช่น
ขอให้ชีวิตเป็นดังเกลือที่รักษาความเค็มเสมอ เพื่อจะเป็นชีวิตที่พอพระทัยและใช้การได้อยู่เสมอ
พระเยซูตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
-
Matthew 5:15
เนื่องจากความเค็มของทะเลตายนี่เองที่ทำให้เกิดทรัพยากรให้ล้ำค่าแก่บรรดาประชากรของพระเจ้าให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไม่น้อย ทั้งการต้อนรับท่องเที่ยวจำนวนมากตลอดมา
ในอีกด้านหนึ่งก็ได้รับบทเรียนว่า
ทะเลตาย ได้ชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความตาย เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในน้ำทะเลนี้ได้เลย
ทั้งที่มันรับน้ำจืดที่ไหลมาจากทะเลกาลิลีที่ได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง
แต่เมื่อมาถึงทะเลตายกลับกลายเป็นทางตันไม่มีที่ระบายออกไปสู่ที่อื่น
จึงเป็นเหตุให้แร่ธาตุที่มากับน้ำนั้นสะสมอย่างหนาแน่นกลายเป็นทะเลเกลือที่เค็มที่สุดในโลก ในด้านที่เกี่ยวกับลูกศิษย์พระเยซูพบว่ามีหลายคนที่มาจากแถบทะเลกาลิลี
ได้แก่ เปโตร ยอห์น ยากอบ อันดูร์ แต่ไม่มีใครสักคนที่มาจากแถบบทะเลตาย เพราะในสมัยนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ได้เลย ชีวิตที่มีแต่รับอย่างเดียวโดยไม่มีแบ่งปันออกไปนั้น
มักจะนำไปสู่ความตาย ความแห้งแล้ง และขาดแคลนบุคลากรที่สำคัญไปด้วยเช่นกัน
ถ้ามีโอกาส อยากจะกลับมาอาบน้ำเกลือ และเจือตัวด้วยโคลนที่นี่อีกหลายๆ ครั้ง และยังอธิษฐานไว้ด้วยว่าอยากให้ภรรยาได้มาด้วยกันก็จะดียิ่ง อาจารย์พงษ์ศักดิ์ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าท่านเคยอธิษฐานอย่างนั้นและพระเจ้าตอบท่านแล้ว ส่วนผมยังรอคอยพระเมตตาที่จะมากับคนที่รักสักวันหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงดังนั้น แล้วจะเขียนเล่าสู่กันฟังนะครับ
...คอยติดตามเรื่องอื่นๆ
ต่อไปครับ...