คิดอย่างบัณฑิต
ให้พระเยซูเป็นใหญ่
Let JESUS become
GREATER
โดย บัณฑิต ดาแว่น
พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง John
3:30
He must
become greater; I must become less. (NIV-r)
“...พระองค์(พระเยซู)ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง…”
ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา มีท่าทีที่ถูกต้องต่อ
พระเยซูคริสต์เจ้า คือ รู้ว่า ใครใหญ่กว่าใคร
แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังเป็นที่นิยมก็ตาม
พระคัมภีร์บันทึกว่า
หลังจากนั้น
พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์ และทรงประทับที่นั่นกับเขา และทรงให้บัพติศมา
ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา
เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก -John 3:22-23
ในขณะที่พระเยซูกำลังเริ่มต้นทำพันธกิจ
แต่ชีวิตและงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นเป็นที่รู้จักและผู้คนจำนวนมากกำลังหลั่งไหลมาหาเขาอยู่ก่อนแล้ว
ฉบับอมตธรรมอธิบายว่า... ประชาชนมารับบัพติศมาจากท่านไม่ขาดสาย
ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเขาจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวเสียแล้ว ผู้นั้นคือ พระเยซูคริสต์
ที่กำลังให้บัพติศมาแก่สาวกของพระองค์
และมีผู้คนกำลังหันไปสนใจมากขึ้นด้วย
!
ลูกศิษย์ยอห์นจึงรีบมาแจ้งข่าวนี้ให้อาจารย์รู้...
สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “อาจารย์เจ้าข้า
ท่านที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ
ท่านผู้นั้นให้บัพติศมา
และผู้คนต่างก็พากันไปหาท่าน”
- John
3:26
ในทางธุรกิจ อาจต้องหาทางคิดกำจัดคู่แข่ง
ที่กำลังจะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาด ในการการเมืองอาจต้องเลื่อยขาเก้าอี้ หรือ สกัดดาวรุ่ง
เพื่อไม่ให้พุ่งแซงหน้าไป และไม่ว่าจะเป็นวงสังคม
วงการบันเทิง หรือวงการอื่น ๆ ก็มักจะเห็นการแย่งชิงโอกาส แย่งชิงมงกุฎ
แย่งชิงรางวัล อาจต้องถึงขั้นห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย
เพื่อไม่ให้ใครมาใหญ่กว่าตน
แต่สำหรับยอห์น ผู้ให้บัพติศมา
กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ...
1.
รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร - คือ
เป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่พระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)
ยอห์นตอบว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา
ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า
ข้าพเจ้าได้พูดว่า
ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์
- John
3:27-28
ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร คือ
ได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จแก่พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต
ที่พระเจ้าประทานให้จากสวรรค์
ด้วยเหตุนั้น
แม้เราจะได้รับมอบหมายหน้าที่จากเบื้องบนสูงสุด แต่สุดท้ายต้องเข้าใจว่า
ยังมีผู้เป็นจอมเจ้านายอยู่เหนือชีวิตเสมอ
ย้อนกลับไปตอนที่ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวนี้แก่พ่อแม่ของยอห์นและทำนายถึงชีวิตและหน้าที่ของท่านเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน
ทุกอย่างยังเป็นไปตามนั้น (ลูกา 1-5-25,57-80) รวมทั้งเป็นไปตามคำพยากรณ์หลายร้อยปีก่อนยอห์นจะมาเกิดด้วย
(อสย.40.3, มลค.3.1) ต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับเศคาริยาห์และเอลิซาเบธที่ได้อดทนสั่งสอนเลี้ยงดูลูกชายให้เดินทางแห่งพระปะสงค์ของพระเจ้า
และขอบคุณพระเจ้าสำหรับยอห์นที่เชื่อฟังและดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า ทำให้รู้ตัวเสมอว่าตนเองเป็นใคร
และสมควรจะทำอะไรจึงจะดีที่สุด
2. รู้ดีถึงสถานะของตน
– ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวที่ต้องดูแลงานสมรสให้สำเร็จไปด้วยดี
ยอห์น รู้ตัวว่า ตนเองเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
แม้จะดูโดดเด่นไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังด้อยกว่าเจ้าบ่าวอยู่ดี
สุดท้ายเจ้าสาวต้องเป็นของเจ้าบ่าว ผู้เป็นพระเอกตัวจริง
ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว
ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว - John
3:27-29
ท่านรู้ดีว่าได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เตรียมทางแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนั้น แม้เพียงแค่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าว
ผู้จัดเตรียมงานและเพื่อนเจ้าบ่าวสมควรที่จะชื่นชมยินดี
และต้อนรับอย่างสมเกียรติ
พระเยซูคริสต์คือ เจ้าบ่าว ที่เป็นพระเอกตัวจริง เรามีหน้าที่เป็นผู้เตรียมงานสมรสให้ท่าน
เมื่องานสมรสเกิดขึ้นผู้ที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดคือเจ้าบ่าว แม้คนเตรียมงานจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด
แต่ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจสำคัญของงานไปได้ คือ
เราทำทุกสิ่งเพื่อให้สมพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของงาน
และแน่นอนพระเจ้าไม่ทรงละเลยผู้รับใช้เช่นกัน การที่ได้รับคำชมว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสที่ดีและสัตย์ซื่อ”
ก็มากเพียงพอสำหรับคนรับใช้แล้ว และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด” (มัทธิว 25.23) นั่นถือว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้แล้ว
ดังนั้น
ควรรู้สถานะของตนและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
3. รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเอง - ว่ามาจากโลก
แต่พระองค์ลงมาจากสวรรค์ ย่อมต่างชั้นกันลิบลับ
ยอห์น รู้ดีถึงที่มาที่ไปของตนเองและพระเยซู คือ
ตนเองมากจากโลก แต่องค์พระเยซูมาจากสวรรค์
พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลก และพูดตามอย่างโลก
พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง
-John
3:31
ความจริงเรื่องที่มาและฐานะของพระเยซูนั้น เป็นที่ประจักษ์และยอมรับของยอห์นผู้ให้บัพติศมาอยู่เสมอ คือ พระเยซูมาจากสวรรค์ ทรงยอมเสด็จมาในโลกนี้ในสถาพของมนุษย์ แต่เนื้อแท้ของพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
ดังที่มัทธิวสาวกของพระเยซูบันทึกไว้ว่ายอห์นไม่อาจเอื้อมที่จะให้บัพติศมาแก่พระเยซูเพราะรู้ดีว่าพระองค์เป็นใครและมาจากไหน
แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลี
มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า
“ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์” -Matthew 3:13-14
ซึ่งสอดคล้องกับอาจารย์เปาโลพูดถึงการยอมสละสภาพของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู
ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า
แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว
พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง
และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า ในสวรรค์
ที่แผ่นดินโลก
ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า
- Philippians 2:5 -11
ยอห์นจึงรู้ตัวดีและวางตัวอย่างเหมาะสมต่อพระเยซู
แม้ขณะนั้นจะยังเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนมาก
ท่านไม่ได้ฉวยโอกาสใช้มวลชนเป็นเครื่องมือแสดงความยิ่งยิ่งใหญ่ของตน แต่ยอมถ่อมลงและยกให้พระเยซูเป็นใหญ่ด้วยใจยินดี
พระเยซูคริสต์ทรงทราบเรื่องนี้ดี
จึงมีคำตรัสถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า...เป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ
และเป็นมนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ที่เกิดมา (มัทธิว 11.7-11)
พระเยซูตรัสกับคนหมู่นั้นถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อดูอะไร
มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด
คนนุ่งห่มผ้าเนื้อนิ่มก็อยู่ในราชวัง แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว
และเราบอกท่านว่า
ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละ ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า 'เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน[
คือ พระเมสสิยาห์ ] ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน'
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น
ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก
-
Matthew 11:7-11
พระคัมภีร์ยืนยันว่า พระเจ้าไม่เคยลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แม้มนุษย์ด้วยกันอาจจะลืมกันได้
มองข้ามกันไปเมื่อยามได้ดี
พระเยซูตรัสว่า...
ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา
และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
-John
12:26
อาจารย์เปาโลกล่าวอ้างถึงธรรมบัญญัติของโมเสสว่า...
เพราะว่าในธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า
อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่ พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ พระองค์ไม่ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของพวกเราโดยเฉพาะดอกหรือ
ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย แสดงว่าคนที่ไถนาควรไถด้วยความหวังใจ และคนที่นวดข้าวควรนวดด้วยความหวังใจว่า จะได้ประโยชน์ - I
Corinthians 9:9-10
และย้ำอีกครั้งในการหนุนใจให้ผู้คนได้รับใช้ว่า...
จงถือว่าผู้ปกครองที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เทศนาและสั่งสอน
เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่ และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน
-
I Timothy 5:17-18
ดังนั้น จงทำหน้าที่ของตนในฐานะผู้รับใช้ โดยตระหนักรู้เสมอว่า ตนเป็นใคร มีฐานะเช่นไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร
แล้วจะทำให้เส้นทางการรับใช้เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
และมีเกียรติตามสมควรที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายสูงสุดจะทรงโปรดตามพระทัย
เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก
สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย
คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นปฐม เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง
- Colossians
1:16-18
อาเมน
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)