คิดอย่างบัณฑิต
ข้อคิดจากอิสราเอล
The Upper room: ห้องชั้นบน
ที่นัดพบคนของพระเจ้า
โดย บัณฑิต ดาแว่น
ห้องชั้นบน
ในเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีก่อนเป็นสถานที่สำคัญที่เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตามแผนการของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพรและการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก
ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมีโอกาสได้มาตามรอยพระคัมภีร์ครั้งนี้ (ค.ศ. 2019) ได้มายืนอยู่ในห้องที่
พระเยซูคริสต์กับเหล่าสาวกมารับประทานอาหารมื้อสุดท้ายที่เรียกว่า “ปัสกา”
เพื่อระลึกถึงพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลให้ออกมาจากการเป็นทาสของอียิปต์
ซึ่งบรรพบุรุษของอิสราเอลที่เรียกว่าคน “ฮีบรู” ถูกดขี่ข่มแหงนานถึง 430 ปี
อาหารมื้อสุดท้าย หมายถึง
อาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์ได้รับประทานกับสาวกในคืนวันพฤหัสบดีก่อนที่จะถูกจับ
ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ในคืนวันนั้นพระเยซูใช้เหตุการณ์วันปัสกาให้กลายเป็นวันแห่งการระลึกถึงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของความบาปโดยการยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์นั้นได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไท พระคัมภีร์บันทึกว่า
ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา
ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก (มัทธิว 26-26-28)
นักวิชาการพระคัมภีร์สันนิฐานว่า
ห้องชั้นบนนี้น่าจะเป็นบ้านของแม่มาระโก หนึ่งในผู้หญิงที่ติดตามพระเยซู มาระโกลูกชายของเธอเด็กหนุ่มที่ติดตามเปโตรลูกศิษย์ของพระเยซูและต่อมาเขาเป็นผู้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูซึ่งเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ทำให้เราพบว่าอิทธิพลแห่งความเชื่อที่มาจากคุณแม่นั้นทำให้ชีวิตของมาระโกได้รับและทำสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อมวลมนุษยชาติไปชั่วกาลนาน
นักวิชาการอีกกลุ่มยังกล่าวว่า
ห้องชั้นบนแห่งนี้ยังเป็นสถานที่นัดพบกันของกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า “เอสซีน” (Essene)
เรื่องราวของเอสซีนนั้นผมได้เขียนถึงพวกเขาในฐานะเป็นผู้คัดลอกพระคัมภีร์โบราณในชุมชนคุมราน
(Qumran)ไว้บ้างแล้ว
พวกเอสซีนก็เป็นกลุ่มคนที่แสวงหาพระเจ้า อุทิศตนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์อันเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
พวกเขาเกิดขึ้นและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมสมัยกับพระเยซู ฟาริสี สะดูสี
และธรรมาจารย์
หากจินตนาการไปในเวลานั้นอาจเป็นไปได้ที่แม่ของมาระโกเป็นเจ้าของห้องชั้นบนนี้และเปิดไว้เพื่อให้บริการกลุ่มคนที่จะใช้จัดกิจกรรมทางความเชื่อ
ส่วนจะให้เช่าหรือใช้ฟรีนั้นไม่ทราบได้
เพราะหากเชื่อมโยงพระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพวกเอสซีน และทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เติบโตมาพร้อม ๆ
กัน โดยยอห์นผู้ให้บัพติศมาเกิดก่อนพระเยซูประมาณ 6 เดือน (ลูกา 1.24-27)
ยอห์นเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซูด้วย
และยังยืนยันว่าพระเยซูเป็นลูกแกะของพระเจ้าที่มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปตามคำสัญญาและเป็นไปตามแผนการณ์ของพระเจ้า(ยอห์น
1.29-37) นั่นหมายความว่าลูกแกะที่เคยฆ่าในวันปัสกาเพื่อระลึกถึงการถูกนำออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์นั้นเป็นภาพที่เล็งถึงพระเยซูที่จะมาตายเพื่อไถ่บาป
นอกจากพระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมาแล้ว
ยังมีความเชื่อมโยงไปถึงเปโตรผู้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูและมาระโกเป็นลูกศิษย์ของเปโตร ดังนั้น การมาใช้ห้องชั้นบนจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ พระคัมภีร์ยังช่วยให้เราได้เห็นว่าพระเยซูและลูกศิษย์น่าจะมาใช้สถานที่แห่งนี้หลายครั้ง
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
ทรงสั่งสาวกให้ไปรอที่กรุงเยรูซาเล็ม
กำชับให้รอที่นั่นจนกว่าจะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่พวกเขา ซึ่ง ณ
เวลานั้นพวกสาวกของพระเยซูยังไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะยังจมอยู่กับความสับสนวุ่นวายจากการตายของพระอาจารย์
การงุนงงสงสัยที่เห็นพระเยซูมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ
ว่าทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกเขายังไม่เชื่อ
ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พระเยซูเคยตรัสสอนไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมา ว่า
บุตรมนุษย์จะต้องถูกทนทุกข์ทรมานจนกระทั่งความตาย
และในวันที่สามจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่
เป็นคำพยากรณ์นับพันปีที่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่ามันจะเกิดขึ้นและสำเร็จในตัวของพระองค์
(ลูกา 24.36-49, กิจการ 1.4-5)
บรรดาสาวกยังยึดมั่นในคำสั่งของพระเยซู
พวกเขาไปรวมตัวกันที่ห้องชั้นบนในเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บันทึกว่ามีประมาณ 120 คน (กิจการ
1.12-15) พวกเขาใช้เวลาอธิษฐาน นมัสการพระเจ้า โดยไม่ได้ออกไปที่ไหน
นับตั้งแต่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
เพราะยังมีการคุกคามจากทางผู้นำศาสนายิวและทหารโรมในเวลานั้นที่หาวิธีกำจัดคนกำจัดข่าวเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูให้หมดไป
ไม่ว่าจะเป็นการจ้างให้คนเล่าข่าวลือว่าสาวกของพระเยซูขโมยศพพระเยซูไปซ่อนและอ้างว่าเป็นขึ้น
การขมขู่ไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องการถูกประหารอย่างไร้ความผิดและการเป็นขึ้นตามคำทำนาย การตามจับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู
เป็นต้น ประกอบกับความกลัว ความสงสัยของพวกสาวกเอง
การมารวมตัวกันในสถานที่ที่ปลอดภัยน่าจะดีกว่าแน่นอน ทั้งนี้
เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า
แม้ในขณะที่มนุษย์ยังไม่พร้อม ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ด้วยความรักความเมตตา
พระองค์ยังทรงคอยช่วยเหลือตลอดมา (โรม 5.6-11)
เรื่องราวของห้องชั้นบน
เกี่ยวข้องประวัติศาสตร์คริสตจักร
กิจการบทที่ 2
บันทึกถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกก็คือ...เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง
จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.1-4)
วันเพ็นเทคอสต์
คือ วันที่ห้าสิบ นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในเช้าวันอาทิตย์ (ปี ค.ศ.
2021 คือ 4 เมษายน) จากนั้นทรงสำแดงกายใหม่ให้สาวกได้เห็นหลายครั้งเป็นเวลาสี่สิบวันจากนั้นจึงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และถัดมาอีกสิบวัน
ที่เรียกว่า “เพ็นเทคอสต์” ภาษากรีกหมายความว่า “ห้าสิบ” (ปี ค.ศ. 2021 คือ 23
พฤษภาคม) ดั้งเดิมเป็นเทศกาลของชาวยิว อยู่หลังจากของเทศกาลปัสกาและต่อด้วยการฉลองเทศกาลสัปดาห์ซึ่งเป็นการฉลองการเก็บเกี่ยว(เลวีนิติ
23.15)
พระเจ้าใช้เทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวนี้เพื่อทำการใหญ่ของพระองค์ผ่านทางผู้ติดตามพระเยซูเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
คือต่อไปนี้จะเป็นการฉลองถึงการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงประทานเป็นลมหายใจให้แก่มนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้างครั้งแรก(ปฐมกาล
2.7) เป็นพระวิญญาณที่จะสถิตอยู่กับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคนนั้นเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่แล้วโดยทางพระวิญญาณ
(ยอห์น 1.12, 3.5-8, 2โครินธ์ 5.17,
เอเฟซัส 1.13-14)
จากเหตุการณ์ที่ห้องชั้นบนท่ามกลางเหล่าผู้ติดตามพระเยซูประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนในวันนั้นที่พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญา
ทำให้พวกเขากลายเป็นคนใหม่
ที่มีความมั่นใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ
พวกเขาจึงไม่กลัว ไม่หยุดการเป่าประกาศถึงเรื่องราวแห่งความจริงนี้
เปโตร
เป็นหนี่งในคนเหล่านั้นที่ประกาศเสียงดังต่อผู้คนจำนวนมากว่า
พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเมสสิยาห์ตามคำพยากรณ์ไว้ พระองค์ถูกจับ
ถูกประหารอย่างไร้ความผิด ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และในที่สุดทรงเป็นขึ้นมา
ทรงปรากฏให้หลายคนได้เห็น ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
และได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังคนของพระองค์
ใครก็ตามที่ยอมรับว่าตนเองได้ทำผิดบาปต่อพระเจ้าและยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่
เขาจะรับการช่วยให้รอดพ้นจากโทษของบาปนั้นโดยความเชื่อในพระเยซู
นายแพทย์ลูกาบันทึกประวัติศาสตร์นี้ไว้ในพระธรรมกิจการบทที่สองว่า
เมื่อผู้คนได้ยินถ้อยคำของเปโตร พวกเขาก็ยอมรับความจริงนั้น มีคนยอมติดตามพระเยซูคริสต์จำนวน
3,000 คนในวันเดียว (กิจการ 2.41) ต่อมามีคนจำนวนมากเข้ามาร่วมและติดตามพระเยซูทุกวัน
ๆ จนเกิดการขยายออกไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
คาดว่ามีประชากรผู้ติดตามพระเยซูสองพันกว่าล้านคนทั่วโลก
ข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์
ณ บริเวณห้องชั้นบน และกระจายออกไปทั่วเยรูซาเล็มและทั่วโลกในเวลานี้นั้น
เกิดจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูและเกิดความเข้าใจถึงความจริงจนกระทั่งยอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งชีวิตของตนเอง พระคัมภีร์บันทึกว่า
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือพวกเขาเวลานั้น มีเปลวไฟและเกิดลมพัดแรงพร้อมเสียงจากฟ้า
ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (กิจการ 2.2-4)
จากนั้นพวกเขาเริ่มต้นพูดภาษาอื่น
ๆ ซึ่งผมนับได้อย่างน้อยสิบสี่ภาษาตามกลุ่มชนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาร่วมในเทศกาลปัสกาและการฉลองการเก็บเกี่ยวขณะนั้น
พวกเขาประหลาดใจที่ได้ยินสาวกของพระเยซูซึ่งปกติพูดได้แค่ภาษายิว(อาราเมค
และฮีบรู) แต่ขณะนั้นพวกเขาต่างได้ยินเป็นภาษาของตนเองที่มาจากแดนไกลนั่นเอง
แม้มีบางคนคิดว่าพวกเขาเมาเหล้า แต่เมื่อฟังคำอธิบายของเปโตรแล้วต่างรู้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่มาจากพระเจ้า
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันเพนเทคอสต์เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของพระเจ้าด้วยภาษาที่หลากหลายเพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จักพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก
เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
จากเหตการณ์หลายพันปีก่อนครั้งเมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้าโดยการสร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของตนเองที่มีวิทยาการการก่อสร้างที่ล้ำสมัยและคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าอีกต่อไป
เพราะต่อไปนี้หากพวกเขาต้องการอะไรก็สร้างขึ้นมาเองได้ เวลานั้นคนทั้งโลกพูดภาษาเดียวกัน
แต่สุดท้ายพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะมีภาษาใหม่ ๆ เกิดขึ้น
หอคอยนั้นจึงถูกทิ้งร้างสร้างไม่สำเร็จและพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปตามภาษาของตนเองและเรียกหอนั้นว่า
“บาเบล” แปลว่า “วุ่นวาย” (ปฐมกาล 11) นั่นหมายความว่าเมื่อคนเราพูดคนละภาษาย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง
ไม่เข้าใจ ไม่อาจจะร่วมมือกันได้
(ทุกวันนี้แม้คุยภาษาเดียวกันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะคุยคนละเรื่องเดียวกัน
คนละความหมาย ใช่หรือไม่)
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จลงมาทำให้เกิดการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างอัศจรรย์
พระองค์สามารถช่วยให้คนที่แม้จะต่างภาษาแต่คุยกันรู้เรื่องได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเข้าใจและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า จึงทำให้เห็นว่าการนำคนมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
มนุษย์เป็นเพียงผู้รับใช้ เป็นช่องทางที่พระเจ้าใช้ให้สื่อสารพระวจนะนั้นออกไป
ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น
เมื่อมีคนเชื่อพระเยซูมากขึ้น
พวกเขามารวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า ศึกษาคำสอนแห่งพระวจนะ ร่วมสามัคคีธรรม
อธิษฐานและช่วยเหลือกันและกัน ต่อเมื่อ พวกเขาได้ชื่อว่า “คริสเตียน” (กิจการ
11.26) คือมีคนเรียกว่าพวกเขาว่า ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ นั่นเอง ต่อมามีการจัดตั้ง จัดระบบ จัดองค์กร
จนเรียกว่า “คริสตจักร” ของพระเยซูคริสต์กระจายไปทั่วโลก
ณ
ห้องชั้นบน ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 33 ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของ
“คริสตจักร” ที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างเป็นทางการ
ตามที่ทรงแจ้งแก่สาวกก่อนนั้นว่าจะทรงตั้งคริสตจักรขึ้นบนศิลา (มัทธิว
16.16-18)
ผมเดินทางขึ้นไปยังห้องชั้นบนเมื่อเดือนพฤษภาคม
ปี ค.ศ. 2019 ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางท่ามกลางแดดแรงและต้องขึ้นไปตามความสูงชันของภูเขาศิโยน
แม้จะเป็นในเมืองแล้ว แต่เหมือนเดินขึ้นบันไดตึกสูงมากกว่าสิบชั้น ทำเอาขาผมปวดระบมไปหมด
แต่เกินคุ้ม เกินคำบรรยายเมื่อได้เข้าไปในห้องที่พระเยซูประทับที่นั่น ทรงพูดคุยและกินอาหารกับบรรดาสาวก
และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่นี่
หลังจากนั่งพักที่บันไดในห้องชั้นบนสักพัก
ผมเดินมาสองสามก้าวใช้มือคลำที่ต้นเสาตรงกลางห้องด้วยใจขอบพระคุณ หันมาฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ยกระดับขึ้นมีสัญญาลักษณ์เป็นต้นมะกอกเทศสีทองตั้งไว้
ซึ่งมัคคุเทศก์ได้อธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
สภาพห้องยังรักษาไว้ตามแบบโบราณที่สร้างด้วยก้อนหินเรียงกันขึ้นไป
แม้จะเป็นสถานที่ห้องชั้นบน แต่อากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้รู้สึกเย็นสบาย เกิดความสุขเข้าไปในหัวใจของผมทีเดียว
แล้วพวกเราได้ร่วมใจกันอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า
จากนั้นเดินต่อถัดไปยังสถานที่เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุศพของกษัตริย์ดาวิด
เรื่องราวห้องชั้นบน
ที่นัดพบสำหรับคนของพระเจ้า ในปัจจุบันจะไม่มีวันที่จะจบสิ้นและจำกัดเฉพาะที่เยรูซาเล็มเท่านั้น
เพราะเราสามารถเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้าได้ในทุกที่ทุกเวลา
ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตกับผู้เชื่อเสมอ
และทรงให้การนมัสการไม่กำจัดอยู่ที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป แต่ให้นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าสืบไป
ตามที่พระเยซูกล่าวว่า
แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
และบัดนี้ก็ถึงแล้ว
คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา
ด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยอห์น 4.23-24)