18 กรกฎาคม 2562

คริสเตียนกับการรู้เท่าทันสื่อ : Media literacy โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต

คริสเตียนกับการรู้เท่าทันสื่อ
Christian and Media literacy  โดย  บัณฑิต  ดาแว่น 

บทความนี้เขียนตั้งแต่ปี 2008 เพื่อนำเสนอผ่านทางนิตยสาร พระคริสตธรรมประทีป ของคริสเตียนไทย... แต่ยังมีข้อคิดที่สามารถเตือนสติในวันนี้ได้เช่นกัน  จึงนำมาเพื่อเป็นข้อคิดเพื่อชีวิตในยุคออนไลน์กันอีกครั้ง

จี้สอบ แอพหน้าแก่ชี้ส่ออันตราย เพราะล้วงลับ ข้อมูลส่วนตัวได้!  สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จี้เอฟบีไอ สอบ FaceApp ทำหน้าแก่ เหตุบ.รัสเซียอยู่เบื้องหลังหวั่นล้วงข้อมูล (ข่าวสดออนไลน์ 18 ก.ค.62)

เครือข่ายผู้หญิงโวย...ให้ตัดฉากละคร...ออกแถลงการณ์ให้ทบทวนฉากข่มขืน หวั่นผู้ชมเข้าใจว่าการข่มขืนไม่ใช่ความผิด สร้างค่านิยมผิดให้สังคม(มติชน 12 มิ.ย.51)

หญิงไทยอยากมีผิวขาว กลิ่นกายหอม รูปร่างผอมหญิงไทยอยากขาวไร้ริ้วรอย หมดเงินไปกับครีมและเครื่องสำอาง คิดเป็นค่าใช้จ่ายถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน (โพสต์ทูเดย์  21 พ.ค. 51)

ตะลึง!! เด็ก 6 ขวบ อยากขาวคว้าไฮเตอร์อาบน้ำ เหตุเลียนแบบโฆษณา” (ผู้จัดการออนไลน์ 11 พ.ค. 51 )

วัยรุ่นคลั่งซีรี่ย์เกาหลีแต่งตัวเลียนแบบนักร้องคนโปรด” “สยอง !โจ๋โหดฆ่าแท็กซี่ เลียนแบบเกมออนไลน์ (ไทยรัฐ 3 ส.ค. 51)

นี่คือตัวอย่างส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของสื่อ...!!
สื่อ  มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราอย่างมาก  จนยากที่จะหลีกเลี่ยง  ไม่ว่าจะเป็นผู้มีจิตวิญญาณต่ำหรือสูง  จากเช้าจรดเย็น  จากตื่นถึงหลับ  ตลอดเวลามีการสื่อสารให้เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส และได้ตัดสินใจเลือกใช้จากสิ่งที่สื่อนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเลคทรอนิกส์ ทางเคเบิล ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ  ข้อมูลข่าวสารที่มาถึงตัวเรานั้นมีทั้งดีและร้าย มีอันตรายและมีประโยชน์  หลากหลายวิธีการ ทั้งแบบตรงไปตรงมา แบบมีลับลมคมใน จนถึงขั้นหลอกล่อและหลอกลวง
จึงจำเป็นต้องหาวิธีรับมือกับข้อมูลข่าวสารที่ผ่านทางช่องทางที่เรียกว่า สื่อ  ให้มากขึ้นเพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อโดยไม่จำเป็น ดังที่นักวิชาการเรียกว่า การรู้เท่าทันสื่อ   ซึ่งสอดคล้องกับพระวจนะที่สอนว่า 
จงระวังให้ดี   อย่าให้ผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญา   และด้วยคำล่อลวงอันเหลวไหลตามตำนานของมนุษย์   ตามวิญญาณต่างๆแห่งสากลจักรวาล   ไม่ใช่ตามพระคริสต์  (โคโลสี 2.8)  
เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป   ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง   และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง (เอเฟซัส 4.14)

สื่อ คืออะไร ?  สื่อ  (media)  เป็นคำที่มีความหมายกว้างครอบคลุมถึงระบบการสื่อสารทุกอย่าง  ทั้งอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า สื่อกระแสหลักอย่างที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้  และอย่างไม่เป็นทางการคือที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำของเราทั้งเป็นภาษาพูดและภาษาท่าทาง รวมทั้งวัสดุ สิ่งของ การดำเนินชีวิตทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในขอบข่ายของการสื่อสารได้ทั้งนั้น  โดยสรุป  สื่อ  คือ  ช่องทาง ที่ผู้ส่งสารต้องการให้ข้อมูลข่าวสารนั้นไปถึงผู้รับ และเกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง และผลที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นตามที่ต้องการ หรือเข้าใจตรงกันหรือไม่  ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิ รูปแบบวิธีการ เนื้อหา สภาพแวดล้อม และอื่น ๆ

พระเจ้าทรงเป็นผู้สื่อสารที่ดีรอบคอบ  ทรงหาวิธีที่จะสำแดงให้มนุษย์ได้รู้จักและดำเนินตามพระทัยของพระองค์อย่างเหมาะสมตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต และสื่อที่สมบูรณ์แบบที่ช่วยให้เรารอดนั้นคือ องค์พระเยซูคริสต์  
ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ  แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร...  พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า   และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์... (ฮีบรู.1.1-3)

พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา   บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง   เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์   คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา... ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย   พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา   พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น1.1,18)

สื่อ ทุกวันนี้  ส่งผลกระทบต่อชีวิตฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก  ทำให้ตกอยู่ในอำนาจใฝ่ต่ำของเนื้อหนัง (กาลาเทีย 5.16-21)  ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโลก และการล่อลวงของมารร้าย นำไปสู่ราคะตัณหา และการกระทำอันขัดต่อน้ำพระทัยอีกสารพัด ซึ่งในบางครั้งด้วยความพลั้งผิด และพลั้งเผลอ ซ้ำร้ายหลายครั้งไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางครั้งถึงขั้นเห็นผิดเป็นชอบ เพราะความคิด จิตใจถูกครอบงำจากอิทธิพลของสื่อต่าง ๆ ที่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ ซึ่งดูคล้ายจริงนั้นมาทำให้เราเขวไปจากทางอันชอบธรรม  ไม่เว้นแม้ในการตัดสินใจเรื่องการดำเนินชีวิต และพันธกิจในคริสตจักร  เช่น บางคนอาจจะอ้างว่าเพราะไม่มีข้อห้ามในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนจึงทำอย่างนั้น เพราะเห็นว่าคนอื่น ๆ ในสังคมก็ทำกันปกติทั้งที่จิตสำนึกฝ่ายวิญญาณที่ปกติแสดงว่าไม่ถูกต้องก็ตาม  ทั้งในเรื่องการกิน การดื่ม การแต่งตัว การเลี่ยงความจริงบางอย่าง เป็นต้น
จะปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามสถานการณ์ของโลกที่นับวันจะถอยห่างจากน้ำพระทัย และยิ่งนับวันจะใส่ใจกับวัตถุนิยม บริโภคนิยม สุขนิยม ตัวบุคคลนิยมอย่างนั้นหรือ ? 
จำเป็นที่จะต้อง รู้เท่าทันสื่อ ให้มากขึ้น เพื่อยังคงรักษาความเป็นเกลือและแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง  นั่นคือ การรู้จักระมัดระวัง  การรู้ผิดรู้ถูก การรู้ที่มาที่ไป การรู้ทางหนีทีไล่  รู้สิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ถูกใจ และสิ่งที่ถูกตามน้ำพระทัย (ฟิลิปปี.4.8,โรม.12.1-2) 
แทนที่จะดูแค่เพียงใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เท่านั้น ให้ใช้ความคิดวิเคราะห์ถึงเหตุและผลของเรื่อง ฝึกตั้งคำถาม  ทำไม หรือเพราะอะไรให้มากขึ้น  นี่คือ จุดเริ่มต้น การรู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันกลยุทธ์ของมารที่มันอาจจะแอบแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันนี้
สิ่งที่ควรตระหนักเพื่อนำไปสู่การรู้เท่าทันสื่อ...

1.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ ล้วนเป็น "มายา"
สื่อ  คือสิ่งที่สร้างขึ้น  ทั้งจากความจริงทั้งหมดและจากความจริงบางส่วน และจากไม่มีในความเป็นจริงเลย  แต่นำมาผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ ปรุงแต่งให้น่าดูน่าชมและน่าดำเนินตาม  หากเราไม่เข้าใจข้อนี้อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเอวาที่ถูกมารล่อลวงที่สวนเอเดนใต้ต้นไม้นั้นได้  เพราะมารมันใช้คำพูดที่เสมือนจริงของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ความจริง  ในอีกด้านหนึ่งสื่อที่ปรุงแต่งหรือสรรค์สร้างมานั้นก็เป็นประโยชน์เช่นกันหากนำมาใช้อย่างถูกทางเพราะสามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจในความจริงที่เป็นนามธรรมง่ายขึ้น เช่น การยกตัวอย่าง การเล่าคำอุปมาของพระเยซู เพื่อให้สาวกเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เป็นต้น

2.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ อาจเป็นเพียงแค่ "ภาพของความจริง" เท่านั้น
สื่อ สามารถสร้างภาพความจริง ให้เราคิด เข้าใจ และคล้อยตามที่สื่อบอกความหมายของสิ่งนั้น เช่น ทำให้เราคิดว่า ขาวดีกว่าดำ รวยดีกว่าจน ชายดีกว่าหญิง ฝรั่งดีกว่าไทย ในเมืองดีกว่าบ้านนอก เป็นต้น หากเราไม่ระวังมันอาจเปลี่ยนทัศนคติของเราไปอย่างสิ้นเชิง  และทำให้เราสนใจสิ่งที่เห็นภายนอกมากกว่าความจริงภายใน  สนใจสิ่งของวัตถุมากกว่าฝ่ายวิญญาณ และเข้าใจผิดคิดว่าพระพรของพระเจ้าต้องเป็นสิ่งที่เราจับต้องและเห็นได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราพึงพอใจเท่านั้น เพราะจากความจริงของชีวิตโยบ และชีวิตโยเซฟทำให้เราประจักษ์ชัดว่า บางครั้งพระพรนั้นมาพร้อมกับความทุกข์ลำบากซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่ปรารถนา แต่ความจริงก็คือ ผลสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่า พระเจ้ายังเป็นองค์สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ และสามารถทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ นี่คือความจริงที่เราต้องเข้าใจ อย่าให้สื่อสร้างภาพความจริงจนเราต้องหลงทาง

3.  สิ่งที่เห็นผ่านสื่อ "มีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงอยู่"
สื่อ ส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ แสวงหากำไร ดังนั้นผู้รับสารจึงเป็นเพียงแค่ กลุ่มเป้าหมาย ที่เขาต้องการขายสินค้า หรือขายบริการของผู้ที่เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง  สื่อจะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเกิดความรู้ ความต้องการ และแสวงหาสิ่งนั้นมาตอบสนอง  ลองสังเกตว่า เพราะอะไรเราจึงสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสัญญาลักษณ์แบบนี้ รูปทรงแบบนี้ ทำไมเด็ก ๆ ของเราจึงเรียกร้องที่จะบริโภคสินค้า อาหาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างนี้  ทำไมความรู้สึกในการกินไก่ย่างข้างถนน กับไก่ย่างในห้างชื่อดังจึงต่างกัน  รถที่เราขับ โทรศัพท์ที่เราใช้ อะไร ๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นี่คืออิทธิพลของสื่อที่ดึงเอาความสนใจของเราไปเสียแล้ว

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ควรรู้เท่าทันสื่อ ยังมีเรื่องของสื่อที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  การถอดความหมายเดิมและสร้างความหมายใหม่  การผลิตซ้ำเพื่อตอกย้ำความคิดให้คล้อยตาม  การกำหนดวาระ การเปิดเผยบางส่วน ที่สื่อนั้นสามารถสร้างภาพ สร้างค่านิยม ความคิด และทัศนคติของเราได้

ขอบคุณพระเจ้าที่พระวจนะของพระองค์  เป็นความจริง และความจริงนี้ทำให้เราเป็นไท สามารถช่วยให้พ้นจากบ่วงแร้วของมารซาตาน และสิ่งล่อลวงได้  (ยอห์น 8.31, สุภาษิต 3-7)  ดังนั้นให้เราหันมาใส่ใจกับความจริงของพระเจ้าให้มากขึ้น และใช้วิธีการสื่อสารของพระองค์ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต โดยใช้เทคโนโลยี และสติปัญญาอันชาญฉลาดที่ทรงมอบให้มานั้นทำให้การสื่อสารเป็นช่องทางที่จะนำความรอด ความหวัง ความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่มนุษย์โลกให้มากขึ้น  อย่าปล่อยให้สื่อตกเป็นเครื่องมือของซาตานแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป

เริ่มต้นรู้เท่าทันเสียตั้งแต่วันนี้  เพื่ออนาคตของชีวิตและคริสตจักรอันมีสง่าราศีของพระเจ้าสมกับเป็นบุตรที่รัก และลูกแห่งความสว่างของพระองค์  
...เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี   อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา   แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส   เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา   แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร  (อ่าน เอเฟซัส 5.1-17)
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)