คิดอย่างบัณฑิต
พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง :
What then will we have?
โดย บัณฑิต ดาแว่น
...แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า ผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น ( Matthew 19:27-30)
หลังจากที่พระเยซูแนะนำให้เศรษฐีหนุ่มคนนั้นขายทุกสิ่งแล้วแจกให้คนอื่น
เพื่อจะเป็นสาวกและตามพระองค์ไปได้ แต่เขาเป็นทุกข์เพราะห่วงทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มาก พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเขาทำอย่างไรต่อไปหรือไม่ แต่เหตุการณ์นั้นทำให้สาวกของพระเยซูมีคำถามขึ้นมาทันที
“ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง”
พระเยซูมีคำตอบชัดเจนว่า พวกเขาจะได้อย่างแน่นอน
ทั้งสิทธิในการนั่งบัลลังก์พิพากษาร่วมกับพระองค์
และพระพรจากการที่ต้องเสียสละสิ่งสารพัดต่างๆถึงร้อยเท่าทั้งยังได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย
ซึ่งนับว่าเกินคุ้มกว่าที่ลงทุน แต่ถึงกระนั้นยังมีความเสี่ยงสำหรับบางคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง
ที่อาจพลาดจากลำดับต้นกลายเป็นสุดท้าย ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่บางคนจะกลายเป็นลำดับต้นอย่างฉับพลันได้ด้วย
คำถามของสาวกที่ว่า “พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” ทำให้คิดถึงความรู้สึกของคนที่ทุ่มเทชีวิตในการรับใช้พระเจ้าว่า จะได้อะไรบ้างจากการออกไปรับใช้ ? จากการที่ได้เสียสละสิ่งสารพัดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
เพื่อคริสตจักร ดูแลคนของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐ ถวายทรัพย์
ถวายแรงกายและอาสาสมัครทำงานต่างๆ
จากประสบการณ์และการสังเกตในการประสานงานและนำทีมอาสาสมัครทั้งจากในและต่างประเทศพบว่าการที่คนใดคนหนึ่งออกไปรับใช้ต่างคริสตจักร
ต่างสถานที่ โดยร่วมมือกับคริสเตียนคนอื่นที่มีเป้าหมายคล้ายกันนั้น มีประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย
4 ด้าน ได้แก่
1. ประโยชน์ต่อชีวิตของตนเอง ชีวิตของคนนั้นจะรับประสบการณ์ใหม่ที่ดีและช่วยพัฒนาการรับใช้ให้มีโอกาส
มีความกล้ามากขึ้น ทำให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น
รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น
2. ประโยชน์ต่อชีวิตของผู้อื่น คนอื่นๆที่อยู่ในทีมด้วยกันต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และต่างเสริมสร้าง
พัฒนาชีวิตมากขึ้น รวมทั้งคนทั่วไปยังรับสิ่งดีผ่านทางชีวิตของอาสาสมัครด้วย
3. ประโยชน์ต่อคริสตจักรหรือท้องถิ่นที่มีผู้ไปช่วย ต่างรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจจากพี่น้องที่มาจากที่อื่น
ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขากระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น และยังช่วยให้งานสำเร็จได้มากกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำเองในเวลาอันสั้นได้
4. ประโยชน์ต่อคริสตจักรที่ส่งอาสาสมัคร นอกจากที่"ผู้รับ" จะได้พรแล้ว "ผู้ให้" ยิ่งมีพระพรที่มากล้นเช่นกัน
เชื่อว่าอาสาสมัครคนนั้นเมื่อกลับไปยังคริสตจักรของตนแล้ว จะเป็นผู้ที่เข้มแข็ง เติบโตและพร้อมที่เป็นพระพรต่อคริสตจักรของตนเองมากกว่าที่ผ่านมาแน่นอน
ประโยชน์ทั้ง 4 ด้าน
ที่กล่าวมา เป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่คนใดคนหนึ่งได้ออกไปร่วมมือกับผู้เชื่อคนอื่น
ๆ ในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดผลที่เป็นพระพรหลายเท่า นับเป็นกระบวนการสร้างชีวิต สร้างสาวก
สร้างผู้นำ สร้างผู้รับใช้ และสร้างคริสตจักรอย่างเกิดผลดี โดยผ่านทางการทำงานในสนามฝึกจริง ในรูปแบบ Learning by
Doing และเราต่างเชื่อว่ายังมีพระพรอีกมากที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือซึ่งกันและกัน ดังพระวจนะที่สอนว่า
“...จงฝึกตนในทางธรรม 8เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย” ( I Timothy 4:8)
“จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ” (I
Timothy 6:6)
การทำงานรับใช้
ไม่ใช่เพราะเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าหรือดีกว่าคนอื่น แต่ที่สำคัญคือ เรามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของงานรับใช้ เจ้าของทุกสรรพสิ่ง
ที่เป็นต้นแบบแห่งการให้
การรับใช้อย่างสุดชีวิตของพระองค์เพื่อผู้อื่น และเพื่อตัวเรามาก่อนแล้ว (Mark 10.45) สิ่งที่เราทำนั้นเป็นการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์
เพื่อแสดงว่าเรารักและต้องการตอบสนองต่อพระคุณของพระองค์เท่าที่จะสามารถกระทำได้
และด้วยความเชื่อว่างานทุกอย่างที่กระทำนั้นจะไม่สูญเปล่า (I
Corinthians 15.58)
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)