คิดอย่างบัณฑิต
มารีย์
ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลก
โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น
“ผู้หญิง” มักถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ
ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่รอบคอบ อารมณ์แปรปรวน ไม่ควรเป็นผู้นำ
และอีกหลายอย่างที่กำหนดให้เธอต้องถอยออกไปจากทางแห่งความสำเร็จ แต่พระเจ้าไม่ทรงประสงค์เช่นนั้น เพราะตลอดประวัติศาสตร์โลก พบว่า ผู้หญิงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกและชีวิตอย่างมหาศาล
โดยพระคุณของพระเจ้า ทรงใช้ ผู้หญิง ให้เป็นช่องทางนำความรอดมายังมวลมนุษยชาติ ทรงมีแผนการและทำให้สำเร็จผ่านทางสตรีเพศ
(ปฐก.3.15,อสย.7.14,กท.4.4)
ในพระคัมภีร์ มีผู้หญิงหลายคนที่ให้พระเจ้าใช้ชีวิตและเกิดผลดีอย่างยิ่งใหญ่
ดังจะยกตัวอย่าง มารีย์ มารดาของพระเยซู
ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลกตลอดกาลคนนี้...
มารีย์
มารดาพระเยซู ผู้หญิงที่ยอมให้พระเยซูมาอยู่ในครรภ์ของเธอ
และเธอตัดสินใจที่จะอยู่กับพระเยซูแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ในฐานะหญิงสาว
ชาวบ้านธรรมดา มารีย์ได้แสดงความศรัทธาและกล้าหาญ
แม้อาจจะต้องถูกหินขว้างให้ตายโทษฐานท้องก่อนแต่งได้ทุกเมื่อ เธอเป็นผู้นำในการตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่
โดยตอบสนองพระบัญชาของพระเจ้าต่อหน้าทูตสวรรค์ในเวลาไม่นานนัก (ลก.1.26-38) ซึ่งต่างจากโยเซฟที่ยังลังเล
และต้องใช้เวลาในการตัดสินใจทั้งคืน (มธ.1.18-25)
ในฐานะภรรยา
มารีย์ต้องรับผิดชอบและทำงานหนัก ทำหน้าที่ทั้งในบ้านและนอกบ้านอย่างดี นอกจากทำหน้าที่ส่งเสริมโยเซฟให้เป็นที่ยกย่องท่ามกลางสังคมตามขนบธรรมเนียมแล้ว
เธอยังต้องรับผิดชอบในการดูแลลูก คือพระเยซูและน้อง (มธ.13.55-56) แม้เธอต้องลำบาก เพราะมีการสันนิษฐานว่าโยเซฟน่าจะตายไปก่อนที่พระเยซูและน้องๆ
จะเติบโต นั่นหมายความว่า มารีย์ต้องดูแลลูกเพียงลำพัง
เพราะพระเยซู
ผู้เป็นพี่ชายคนโตก็ออกจากบ้านไปเพื่อทำพันธกิจของพระบิดาบนสวรรค์
ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตในเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่มารีย์และน้องๆ
ของพระองค์มาคอยอยู่ข้างนอกบ้าน (มธ.12.46-50) เป็นไปได้ไหมว่าเพราะพวกเขามีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากและต้องการการช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต
ซึ่งโดยธรรมเนียมยิวแล้วต้องเป็นผู้รับผิดชอบครอบครัวแทนผู้เป็นพ่อ แต่เนื่องจากพระเยซูมีพระบิดาอยู่เบื้องบน
พระองค์จึงต้องทำหน้าที่ของพระบุตรองค์เดียวของพระบิดามากกว่า
ในฐานะแม่
มารีย์ต้องอดทน อดกลั้น ทุกอย่างเก็บไว้ในอก ซึ่งเสมือนดาบทิ่มแทงในใจของเธอเรื่อยมา ดังคำที่สิเมโอนได้กล่าวไว้ “...
ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” (ลก.2.35)
การเลี้ยงลูกของมารีย์ คงไม่เหมือนกับลูกของครอบครัวทั่วไป ที่ลูกมักจะต้องอยู่ใต้บังคับโดยไม่มีข้อแม้มากนัก แต่สำหรับพระเยซู ไม่ได้เป็นลูกที่เธอจะเลี้ยงดู
สั่งสอน ได้อย่างปกติทั่วไป เพราะเธอรู้เสมอว่า พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า
เกิดโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
แม้รูปร่างหน้าตาของพระเยซูจะเป็นเฉกเช่นเด็กทั่วไปแต่ภายในจิตใจมีความแตกต่าง พระเยซูต้องไปเรียนธรรมบัญญัติ ไปอธิษฐาน ไปนมัสการในพระวิหาร
เหมือนเด็กทั่วไป แต่ทรงไปในฐานพระบุตรของพระบิดาด้วย ดังนั้น พระองค์จึงใช้เวลาเป็นพิเศษกับพระบิดาและไม่ได้เดินทางกลับพร้อมครอบครัว
จนกระทั่งมารีย์และโยเซฟต้องตามหาด้วยความหวั่นวิตกเพราะลูกอายุ 12 ปี หายไปตั้ง 3
วันแล้ว เมื่อหาพบแล้วพวกเขายิ่งไม่เข้าใจกับคำตอบของพระเยซู
ที่ว่า ...“ท่านเที่ยวหาฉันทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่า ฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำซึ่งท่านกล่าวแก่เขา
แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา
ไปยังเมืองนาซาเร็ธ
อยู่ใต้การปกครองของเขา
มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ (ลก.2.42-51)
มารีย์คงเก็บความรู้สึกจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในใจเสมอ
แม้พระเยซูจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เธอคงหวังจะให้ช่วยเหลือในยามต้องการ ดังตัวอย่างในงานสมรสที่หมู่บ้านคานา (ยน.2.1-11)
มารีย์ขอให้พระเยซูช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล้าองุ่นหมด พระองค์ไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอคิด
แต่ทำในเวลาของพระองค์เอง เธอคงรู้ว่าสักวันหนึ่งคงต้องเสียลูกไปแน่นอน แต่คงไม่เข้าใจถึงขนาดว่าในที่สุดพระเยซูต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อถึงเวลานั้นจริง
มารีย์ก็แสดงความเข็งแกร่ง อดทน
กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่หวั่นไหว
เธอเป็นผู้อยู่กับพระเยซูในเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตจนนาทีสุดท้าย(ยน.19.25-27)
และยิ่งกว่านั้นเธอยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หลังไม่มีพระเยซูอยู่ด้วยในฐานะลูกชายคนโตในโลกนี้อีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่มารีย์ดำเนินอย่างมั่นคงต่อไปจนกระทั่งได้เห็นการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
(กจ.1.14)และเห็นกลุ่มผู้เชื่อจำนวนมากเกิดขึ้น
เห็นคริสตจักรที่พระเยซูประกาศว่าจะตั้งขึ้นบนศิลาแห่งความรอดของพระองค์ (มธ.16.18)
และยิ่งกว่านั้นเห็นลูก ๆซึ่งเป็นน้องของพระเยซูมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาสาวกของพระเยซู
เชื่อแน่ว่าจิตใจของมารีย์นั้นจะเป็นสุขยิ่งกว่าผู้ใดในโลก ตามที่นางเอลีซาเบธได้กล่าวกับเธอตอนที่พบกันขณะตั้งท้อง ..นางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก...
(ลก.1.41-42) และบทเพลงจากปากของเธอตามการทรงนำของพระวิญญาณที่ว่า
... เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์ เพราะนั่นแหละ
ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก (ลก.1.48)
แต่กว่าจะมาถึงความ “ผาสุก” เธอต้อง “ผ่านทุกข์” จากสถานการณ์อันยากลำบากมาอย่างนับไม่ถ้วน
จึงสมควรแล้วที่พระเจ้าจะให้เธอเป็นที่ยอมรับและยกย่องท่ามกลางประชาชาติมาจนทุกวันนี้และตลอดกาล
หากไม่มีผู้หญิงอย่างมารีย์ในวันนั้น
คงไม่อาจมีคุณและผมในวันนี้เช่นกัน
ดังนั้น ในฐานะคนของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ชาย หรือ หญิง ความเป็นจริงก็คือ
พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของแต่ละคนตามความเหมาะสม
อย่าคิดว่าคุณเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เป็นแค่ภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง
เป็นแค่แม่ที่ต้องดูแลลูกเท่านั้น
พระเจ้ามีแผนการอันยิ่งใหญ่กว่านั้นให้คุณทำควบคู่ไปกับฐานะที่คุณเป็นอยู่ได้ด้วย อย่าให้ค่านิยมที่ผิดๆ
อุดมคติของสังคมที่แปรปรวนตามเวลา ข้อกำหนดของความคิดมนุษย์อันเต็มไปด้วยอคติ มาปิดกั้นพระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่จะกระทำในชีวิตของคุณเป็นอันขาด
(ขอบคุณภาพจาก http://www.belongtothetruth.com/Holy/anglicans02.htm)