คิดอย่างบัณฑิต
โดย ศจ.บัณฑิต
ดาแว่น
สิ่งที่ผู้นำควรรู้
ผู้นำ
เป็นปัจจัยหลักและสำคัญในการขับเคลื่อนคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าให้เติบโต
เข้มแข็ง และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน
ผู้นำควรรับการเตรียมและเตรียมตัวเองอย่างไร จึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายได้ มีข้อเสนอ 3
ด้าน คือ ความรู้ในพระวจนะ ความรู้รอบตัวทั่วไป และ ความรู้ในวิชาชีพ
1.
ผู้นำควรมีความรู้ด้านพระวจนะ
หัวใจหลักของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจำเป็นต้องรู้ต้องมีเป็นประการแรก
คือ ความรู้ ความเข้าใจใน พระวจนะของพระเจ้า
เพราะนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในการใช้เป็นบรรทัดฐานการดำเนินชีวิต
การเทศนา สั่งสอน และการดำเนินพันธกิจของพระเจ้าทุกด้าน ผู้นำจึงจำเป็นต้องรับการอบรม ฝึกฝน
ให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความจริงแห่งพระวจนะ จนสามารถที่จะถ่ายถอด แบ่งปัน
เผยแพร่ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถให้พระวจนะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเอง
และผู้คนที่ตนดูแลอยู่อย่างเป็นพระพรและจุใจ (คส.4.5-6)
จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า โดยพระองค์นั้น
(คส. 3:16-17)
ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ควรมีความรู้
ความเข้าใจในพระวจนะอย่างเพียงพอที่จะสามารถเทศนา สั่งสอน
และถ่ายทอดออกไปอย่างมืออาชีพ
เพราะหากไม่รู้จริง ไม่เข้าใจจริง จะทำให้ประชากรของพระเจ้าหลงทาง
และขาดโอกาสแห่งพระพรได้
อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก
ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์ จงใฝ่ใจในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา อย่าละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะผู้ปกครองได้เอามือวางบนท่าน จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้
โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ
เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น
ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้ (1ทธ. 4:12-16)
แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถและโอกาสทางการศึกษา
แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้พระวจนะแห่งความจริงได้โดยการสอนจากพระวิญญาณได้
(ยน.16.13) เพียงแต่ต้องตั้งใจ เอาใจใส่ และทุ่มเทศึกษาอย่างสม่ำเสมอต่อไป
ดังสาวกของพระเยซูที่เมื่อได้ศึกษาเรียนรู้อยู่กับพระองค์แล้ว
พวกเขากลายเป็นคนที่ผู้นำระดับสูงของสังคมในด้านศาสนาและด้านการเมืองต่างยอมรับว่า
ที่เขากล่าวด้วยสติปัญญาและกล้าหาญอย่างนั้นได้เพราะเคยอยู่กับพระเยซู (กจ.4.13)
หน้าที่และบทบาทของผู้นำคือ
การเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ต้องหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
เพื่อให้สามารถดำเนินตามพระวจนะ
และใช้พระวจนะอย่างสมพระเกียรติของพระเจ้าให้มากขึ้น
2. ผู้นำควรมีความรู้รอบตัว
นอกจากความรู้ในพระวจนะแล้ว
ผู้นำยังจำเป็นต้องมีความรู้รอบตัวทั่วไปด้วย
เพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระคัมภีร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น หากรู้หลักภาษา หรือรอบรู้ภาษาต่างๆ
ก็จะสามารถนำมาประกอบการศึกษาพระคัมภีร์ได้มากขึ้น
เข้าใจอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพราะความรู้สติปัญญาทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า
และช่วยให้สามารถแยกแยะปัญญาทั้งแบบโลก และปัญญาแบบเบื้องบนได้(ยก.3.15-18)
การมีความรู้รอบตัวนั้นยังส่งเสริมการทำงานและร่วมมือกับคนอื่นได้มากขึ้น
ทำให้เข้าใจตนเองเข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานได้ดีขึ้น ผู้นำจึงจำเป็นต้องใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานอย่างเต็มที่
จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส
(คส. 4:5)
สถาบันพระคริสตธรรมอาจช่วยเตรียมชีวิตของผู้รับใช้ให้พร้อมด้านความรู้พระคัมภีร์และความรู้ทั่วไปได้ ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับการศึกษา จัดหลักสูตร จัดหาหนังสือ
และสื่อที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าให้เพียงพอและได้มาตรฐาน
เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรและสังคมให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกันผู้รับใช้แต่ละคนต้องหมั่นหาโอกาส
และฉวยโอกาสในการพัฒนาความรู้ของตนอยู่เสมอ เพราะการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต
และหากสามารถได้ความรู้ และได้การรับรองอย่างทางการด้วยแล้ว
ยิ่งจะเป็นประโยชน์ในการรับใช้แน่นอน
พระเจ้าสามารถใช้คนธรรมดาสามัญอย่างเปโตรและยอห์นได้
และในขณะเดียวกันก็สามารถใช้คนที่มีความรู้สูงอย่างเปาโลได้เช่นกัน
3.
ผู้นำควรมีความรู้ด้านวิชาชีพ
ภาวะ "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดผลผลิตที่กลับมาหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างเหมาะสม ความน่าจะเป็นสำหรับบรรดาผู้รับใช้พระเจ้า คือ
เขาควรจะได้รับการเลี้ยงดูจากสิ่งที่ได้ทำ
ดังพระวจนะที่สอนว่า ... เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า
อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว
เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่ และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน (1ทธ. 5:18) ผู้ที่รับคำสั่งสอนควรตอบสนองต่อผู้ดูแลฝ่ายวิญญาณอย่างเหมาะสมเช่นกัน
(รม16.23) ...ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า
คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น (1คร. 9:13) แต่ในความเป็นจริงของคริสตจักรไทยยังไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้น
อันเนื่องมาจากการขาดกำลังและขาดความเข้าใจของคริสตจักร และในอีกด้านมีผู้รับใช้จำนวนหนึ่งที่ยินดีประกอบวิชาชีพเพื่อเลี้ยงดูตนเอง ดังตัวอย่างในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญคือ
คริสตจักรเล็กที่มีสมาชิกไม่มากแม้จะมีความเข้าใจและตั้งใจที่เลี้ยงดูผู้รับใช้แต่ไม่สามารถทำได้ จากข้อมูลพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วคริสตจักรจะต้องมีสมาชิกจำนวน 70
คนขึ้นไป จึงจะสามารถรับผิดชอบศิษยาภิบาลได้
แต่หากสถานการณ์และสภาพความหนาแน่นของประชากรไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ทางรอดและทางออกของผู้รับใช้ คือ
ต้องสามารถประกอบวิชาชีพด้วยตนเอง เพื่อยังสามารถรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ต่อไปได้
การรับใช้ไม่ใช่แค่การเทศนา การสอน
แต่ยังหมายถึงการทำทุกอาชีพ ทุกสถานะ ก็เป็นการรับใช้เช่นเดียวกัน ! หากต้องการทำหน้าที่ในการ อธิษฐาน การเทศนา
การสั่งสอนพระวจนะโดยตรงในคริสตจักรอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง จำเป็นที่จะต้องมีวิชาชีพติดตัวด้วยดีที่สุด
ผู้นำ
ที่มีความรู้ด้านวิชาชีพด้วยนั้น นอกจากจะช่วยดูแลตนเองและครอบครัวได้แล้ว
ยังส่งผลให้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น เข้าใจสมาชิกคริสตจักร
และคนอื่นได้มากขึ้น ทั้งสามารถเทศนา สอน หนุนใจ ให้คำแนะนำผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
นี่คือทางออก
!
และทางรอดหนึ่ง ของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ที่ไม่มีใครให้การสนับสนุนอย่างเพียงพอ
จึงขอฝากผู้นำที่จะพัฒนาตนให้พร้อมในทุกด้าน ทั้งฝากข้อคิดถึงสถาบันที่กำลังเตรียมผู้รับใช้
โปรดพิจารณาจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับสถานการณ์
คือ หนึ่ง
ด้านพระวจนะ
ต้องให้ความรู้ในพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ สามารถเทศนา สั่งสอน ประกาศ
และทำการอย่างมืออาชีพ สอง ด้านความรู้สามัญหรือความรู้รอบตัว
เพื่อสร้างความเข้าใจตน เข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานมากขึ้น และ สาม
ด้านวิชาชีพ ให้สามารถมีช่องทางทำกินเพื่อเสริมรายได้หรือเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ์
ทั้งนี้เพื่อคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้า เพื่อผู้รับใช้และประชากรของพระองค์
จะมีชีวิตที่จำเริญขึ้น มีความเข้มแข็ง เติบโต และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)