เลิกสงสารตนเอง !
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง
และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”
therefore
I despise myself,
and
repent in dust and ashes.”
Job 42:6
พระธรรมโยบ
บทที่ 42
เป็นบทสรุปที่ทำให้เห็นเรื่องราวและเบื้องหลังของสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของโยบ
ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าเรียกชายผู้นี้อย่างภาคภูมิใจว่า "ผู้รับใช้ของเรา" (โยบ 42.7)
หลังจากนั้น พระเจ้าให้
โยบกลับสู่ความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง
(โยบ 42.10) พระคัมภีร์ใช้คำว่า "พระเจ้าทรงทำให้...กลับสู่สภาพที่ดีดังเดิม" พระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าที่มีอยู่ก่อน.... ข้อ 12 และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมาก
ยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน
เรื่องราวชีวิตของโยบ เป็นแบบอย่างเรื่องความเชื่อและความอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างฉับพลัน
ทั้งการสูญเสียทรัพย์สมบัติ สูญเสียลูกชายลูกสาว สูญเสียสุขภาพ และสูญเสียความเคารพนับถือจากคนรอบข้าง
ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง
ทั้งที่โยบมั่นใจและยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากความผิดบาปของตนเอง แม้ขณะนั้นยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องร้ายเช่นนี้จึงเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันบรรดาเพื่อนๆ
ต่างมีความเห็นในความเข้าใจของตนเองตามหลักแห่งความรู้ของมนุษย์เท่าที่จะศึกษาได้
ต่างมีความเห็นว่าสิ่งร้ายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่โยบทำผิดเอง ต่างฝ่ายต่างไม่มีคำตอบที่แน่นอน เพราะโยบก็มีเหตุผล
และเพื่อนๆ ก็มีเหตุผล ไม่อาจเป็นทางออกของปัญหาได้.. โยบยังยืนยันว่า
นี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสนั้น
เขาได้ร้องโอดครวญต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจตนเอง และอยากจะต่อสู้คดีต่อพระเจ้าโดยตรง แต่สุดท้าย
แม้โยบจะไม่มีความผิดเรื่องการทำบาปที่ทำให้เกิดสิ่งร้ายครั้งนี้
แต่เขาก็ยอมรับว่าได้ทำผิดทางวาจาต่อพระเจ้าด้วยการคิดและพูดเช่นกัน
โยบยอมจำนนเมื่อเขาเผชิญหน้ากับพระเจ้าตัวจริง !
ไม่มีมนุษย์คนใดที่พบกับพระเจ้าแล้วจะบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งหมดได้
ดังที่บันทึกไว้ว่า...
1แล้วโยบทูลพระเจ้าว่า
2“ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้
และพระประสงค์ของพระองค์ จะไม่หดหู่ไปได้เลย
3'นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้'
เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ
สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ
4'ฟังซี เราจะพูด เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา'
5ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู
แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์
6ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง
และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”
2“ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้
และพระประสงค์ของพระองค์ จะไม่หดหู่ไปได้เลย
3'นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้'
เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ
สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ
4'ฟังซี เราจะพูด เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา'
5ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู
แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์
6ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง
และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”
โยบเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นและยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนแม้ไม่อาจเข้าใจ แต่ยังสามารถไว้วางใจในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้
เพราะหลายอย่างเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะหยั่งรู้ ที่สำคัญคือ โยบได้ "เห็นพระเจ้า"
ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะแค่ได้ยิน คือ รู้เรื่องพระเจ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้
ได้เห็นและได้ประสบการณ์ ได้รู้จักพระเจ้าโดยตรง
ดังนั้นสิ่งที่โยบกระทำต่อมาคือ
การยอมรับในความบาปผิดของตนเอง..."ข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง" และกลับใจเสียใหม่...แสดงออกด้วยการนั่งในกองขี้เถ้า ซึ่งหมายถึงการยอม การถ่อมใจลง
การยอมรับอำนาจของพระเจ้าว่า พระองค์เป็นฝ่ายถูก
พระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยฉบับค้นคว้า บันทึก โยบ บทที่ 42 ข้อ 6
ว่า...ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดชังตัวเอง
และสำนึกผิดในกองธุลีและขี้เถ้า” มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า "หรือ
และเลิกสงสารตนเอง ออกจาก"
เมื่อโยบ "เลิก" และ "ออกจาก"
การสงสารตนเอง เขาพบกับความจริงของพระเจ้า ยอมจำนนและไว้วางใจในพระเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงอวยพรให้กลับคืนสู่สภาพดีกว่าก่อน
เป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อความอดทนมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านยากอบน้องชายพระเยซูกล่าวถึงโยบว่า..
จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด (ยก.5.11)
ความรู้สึก "สงสารตนเอง" เป็นอุปสรรคหนึ่งของชีวิตที่จะต้องเอาชนะให้ได้ การสงสารตนเองมักทำให้ใจจดจ่อแต่ด้านลบ
ซึ่งนำการบั่นทอนความคิดกำลังใจให้ลดน้อยลงไป
ทำให้เกิดอาการน้อยใจตนเอง น้อยใจคนอื่นที่ไม่เข้าใจ น้อยใจต่อพระเจ้า
อาจนำไปสู่การเรียกร้องความสนใจ หรือ เกินเลยไปถึงการกล่าวโทษ
การโยนความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ นั่นหมายความว่า
ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ลุกลามปานปลายไปมากขึ้น
เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
คนที่สงสารตนเองเกินเหตุมักจะคิดว่า
มีฉันคนเดียวที่ต้องเจอกับปัญหานี้ มันไม่มีทางออกอีกแล้ว และ ฉันสู้ไม่ไหวแล้ว !... แต่แท้จริงยังมีคนอื่นที่มีปัญหาเช่นกัน ยังมีทางออกอีกแน่นอน
และไม่เกินกำลังด้วยซ้ำ หากจะอดทน เพราะ ทนไม่ได้ กับ ไม่ได้ทน
มันมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน ดังอาจารยฺเปาโลและอาจารย์เปโตรกล่าวไว้อย่างสอดคล้องว่า..
ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน
นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น
พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (I
Corinthians 10:13)
จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ เพราะว่า
พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก
ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน
(I Peter 5:9)
"เลิก" และ "ออกจาก" การสงสารตนเองเถอะครับ ! แล้วหันไปมองความจริงจากเบื้องบน
จากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่มีจุดประสงค์บางอย่างในชีวิตของคุณอย่างแน่นอน ต้องเชื่อมั่นว่า พระองค์ไม่นำชีวิตคุณคุณไปอย่างไร้จุดประสงค์ ดังที่กล่าวไว้ว่า...
จงดู
เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข
ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ
และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด (ยก.5.11)
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง
คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (Romans 8:28)
พระเจ้าไม้ได้ให้คุณทนทุกข์โดยปราศจากเหตุผล แต่เหตุผลนั้นอาจถูกปิดซ่อนไว้ในความลึกล้ำของพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งอาจไม่มีวันรู้ได้ในชีวิตนี้ แต่ยังต้องไว้วางใจพระเจ้าว่า
ทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้วนถูกต้องทั้งสิ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า...เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา” พระเจ้าตรัสดังนี้ “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” (Isaiah 55:8-9)
หากเพียงแค่มองไปรอบข้างอาจจะพบคนอื่นๆ ที่น่าสงสารมากกว่าตนเองก็ได้ บางคนแม้เขาจะน่าสงสารแต่เขากลับคิดว่าตนเองไม่น่าสงสารก็มี คนแบบนี้น่านับถืออย่างยิ่ง การออกจากการสงสารตนเอง จะทำให้รู้จักรับผิดชอบและช่วยเหลือตนเองได้อย่างถูกทาง สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นและมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เมื่อมีการให้ การช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ย่อมนำความสุขใจ การักษา การเยียวยามาสู่ตนเองอย่างน่าประหลาดใจเช่นกัน ดังพระวาทะของพระเยซูที่ตรัสว่า "..การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ ” (Acts 20:35) และสุภาษิตที่สอนว่า..
หากเพียงแค่มองไปรอบข้างอาจจะพบคนอื่นๆ ที่น่าสงสารมากกว่าตนเองก็ได้ บางคนแม้เขาจะน่าสงสารแต่เขากลับคิดว่าตนเองไม่น่าสงสารก็มี คนแบบนี้น่านับถืออย่างยิ่ง การออกจากการสงสารตนเอง จะทำให้รู้จักรับผิดชอบและช่วยเหลือตนเองได้อย่างถูกทาง สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นและมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เมื่อมีการให้ การช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ย่อมนำความสุขใจ การักษา การเยียวยามาสู่ตนเองอย่างน่าประหลาดใจเช่นกัน ดังพระวาทะของพระเยซูที่ตรัสว่า "..การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ ” (Acts 20:35) และสุภาษิตที่สอนว่า..
บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง
บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ ยิ่งขัดสนก็มี
บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ ยิ่งขัดสนก็มี
บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง
บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ (Proverbs 11:25)
บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ (Proverbs 11:25)
ตัดสินใจตอนนี้ว่า
จะจมอยู่กับความสงสารตนเองพร้อมกับความระทมทุกข์ต่อไป หรือ
จะเลิกและออกมาจากความสงสารตนเอง แล้วลุกออกไปแจกจ่ายให้คนอื่นมากขึ้น
แล้วรับการอวยพร รับความเจริญรุ่งเรือง รับการกลับสู่สภาพที่ดีเป็นสองเท่าของที่ผ่านมาอย่างท่านโยบ
ขึ้นอยู่กับความคิดและทางที่คุณเลือกแล้วละครับ !(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)