13 พฤษภาคม 2559

สิ่งที่ผู้นำควรรู้ โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

สิ่งที่ผู้นำควรรู้

            ผู้นำ เป็นปัจจัยหลักและสำคัญในการขับเคลื่อนคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าให้เติบโต เข้มแข็ง และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน  ผู้นำควรรับการเตรียมและเตรียมตัวเองอย่างไร  จึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายได้  มีข้อเสนอ 3  ด้าน  คือ  ความรู้ในพระวจนะ ความรู้รอบตัวทั่วไป และ ความรู้ในวิชาชีพ
1.  ผู้นำควรมีความรู้ด้านพระวจนะ
            หัวใจหลักของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจำเป็นต้องรู้ต้องมีเป็นประการแรก คือ ความรู้ ความเข้าใจใน พระวจนะของพระเจ้า  เพราะนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในการใช้เป็นบรรทัดฐานการดำเนินชีวิต การเทศนา สั่งสอน และการดำเนินพันธกิจของพระเจ้าทุกด้าน  ผู้นำจึงจำเป็นต้องรับการอบรม ฝึกฝน ให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความจริงแห่งพระวจนะ  จนสามารถที่จะถ่ายถอด แบ่งปัน เผยแพร่ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถให้พระวจนะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเอง และผู้คนที่ตนดูแลอยู่อย่างเป็นพระพรและจุใจ (คส.4.5-6)
จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์   จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น   จงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการ   และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า  และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม   จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า   และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า   โดยพระองค์นั้น  (คส. 3:16-17)
            ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ควรมีความรู้ ความเข้าใจในพระวจนะอย่างเพียงพอที่จะสามารถเทศนา สั่งสอน และถ่ายทอดออกไปอย่างมืออาชีพ  เพราะหากไม่รู้จริง ไม่เข้าใจจริง จะทำให้ประชากรของพระเจ้าหลงทาง และขาดโอกาสแห่งพระพรได้
            อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน   แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง   ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ   ในความรัก   ในความเชื่อ   และในความบริสุทธิ์  จงใฝ่ใจในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม   ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา  อย่าละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัวท่าน   ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์   เมื่อคณะผู้ปกครองได้เอามือวางบนท่าน  จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้   โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ   เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง  จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน   จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น   เพราะเมื่อกระทำดังนั้น   ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้  (1ทธ. 4:12-16)
            แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถและโอกาสทางการศึกษา  แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้พระวจนะแห่งความจริงได้โดยการสอนจากพระวิญญาณได้ (ยน.16.13) เพียงแต่ต้องตั้งใจ เอาใจใส่ และทุ่มเทศึกษาอย่างสม่ำเสมอต่อไป  ดังสาวกของพระเยซูที่เมื่อได้ศึกษาเรียนรู้อยู่กับพระองค์แล้ว พวกเขากลายเป็นคนที่ผู้นำระดับสูงของสังคมในด้านศาสนาและด้านการเมืองต่างยอมรับว่า ที่เขากล่าวด้วยสติปัญญาและกล้าหาญอย่างนั้นได้เพราะเคยอยู่กับพระเยซู (กจ.4.13)
            หน้าที่และบทบาทของผู้นำคือ การเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ต้องหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถดำเนินตามพระวจนะ และใช้พระวจนะอย่างสมพระเกียรติของพระเจ้าให้มากขึ้น

2.  ผู้นำควรมีความรู้รอบตัว
            นอกจากความรู้ในพระวจนะแล้ว ผู้นำยังจำเป็นต้องมีความรู้รอบตัวทั่วไปด้วย  เพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระคัมภีร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เช่น หากรู้หลักภาษา หรือรอบรู้ภาษาต่างๆ ก็จะสามารถนำมาประกอบการศึกษาพระคัมภีร์ได้มากขึ้น เข้าใจอย่างเป็นระบบมากขึ้น  เพราะความรู้สติปัญญาทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า และช่วยให้สามารถแยกแยะปัญญาทั้งแบบโลก และปัญญาแบบเบื้องบนได้(ยก.3.15-18)
            การมีความรู้รอบตัวนั้นยังส่งเสริมการทำงานและร่วมมือกับคนอื่นได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจตนเองเข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานได้ดีขึ้น  ผู้นำจึงจำเป็นต้องใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานอย่างเต็มที่ 
            จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา   โดยฉวยโอกาส (คส. 4:5) 

            สถาบันพระคริสตธรรมอาจช่วยเตรียมชีวิตของผู้รับใช้ให้พร้อมด้านความรู้พระคัมภีร์และความรู้ทั่วไปได้  ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับการศึกษา จัดหลักสูตร จัดหาหนังสือ และสื่อที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าให้เพียงพอและได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรและสังคมให้มากขึ้น  ในขณะเดียวกันผู้รับใช้แต่ละคนต้องหมั่นหาโอกาส และฉวยโอกาสในการพัฒนาความรู้ของตนอยู่เสมอ เพราะการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต และหากสามารถได้ความรู้ และได้การรับรองอย่างทางการด้วยแล้ว ยิ่งจะเป็นประโยชน์ในการรับใช้แน่นอน
            พระเจ้าสามารถใช้คนธรรมดาสามัญอย่างเปโตรและยอห์นได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถใช้คนที่มีความรู้สูงอย่างเปาโลได้เช่นกัน


3.  ผู้นำควรมีความรู้ด้านวิชาชีพ
            ภาวะ  "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดผลผลิตที่กลับมาหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างเหมาะสม  ความน่าจะเป็นสำหรับบรรดาผู้รับใช้พระเจ้า คือ เขาควรจะได้รับการเลี้ยงดูจากสิ่งที่ได้ทำ  ดังพระวจนะที่สอนว่า ... เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า   อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว  เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่   และคนงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน (1ทธ. 5:18)  ผู้ที่รับคำสั่งสอนควรตอบสนองต่อผู้ดูแลฝ่ายวิญญาณอย่างเหมาะสมเช่นกัน (รม16.23)  ...ทำนองเดียวกัน   องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า   คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น   (1คร. 9:13)  แต่ในความเป็นจริงของคริสตจักรไทยยังไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้น อันเนื่องมาจากการขาดกำลังและขาดความเข้าใจของคริสตจักร  และในอีกด้านมีผู้รับใช้จำนวนหนึ่งที่ยินดีประกอบวิชาชีพเพื่อเลี้ยงดูตนเอง  ดังตัวอย่างในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน
            ประเด็นสำคัญคือ คริสตจักรเล็กที่มีสมาชิกไม่มากแม้จะมีความเข้าใจและตั้งใจที่เลี้ยงดูผู้รับใช้แต่ไม่สามารถทำได้  จากข้อมูลพบว่า  โดยเฉลี่ยแล้วคริสตจักรจะต้องมีสมาชิกจำนวน 70 คนขึ้นไป จึงจะสามารถรับผิดชอบศิษยาภิบาลได้  แต่หากสถานการณ์และสภาพความหนาแน่นของประชากรไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  ทางรอดและทางออกของผู้รับใช้ คือ ต้องสามารถประกอบวิชาชีพด้วยตนเอง เพื่อยังสามารถรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ต่อไปได้  การรับใช้ไม่ใช่แค่การเทศนา การสอน แต่ยังหมายถึงการทำทุกอาชีพ ทุกสถานะ ก็เป็นการรับใช้เช่นเดียวกัน !   หากต้องการทำหน้าที่ในการ อธิษฐาน การเทศนา การสั่งสอนพระวจนะโดยตรงในคริสตจักรอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง  จำเป็นที่จะต้องมีวิชาชีพติดตัวด้วยดีที่สุด
            ผู้นำ ที่มีความรู้ด้านวิชาชีพด้วยนั้น นอกจากจะช่วยดูแลตนเองและครอบครัวได้แล้ว ยังส่งผลให้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น  เข้าใจสมาชิกคริสตจักร และคนอื่นได้มากขึ้น ทั้งสามารถเทศนา สอน หนุนใจ ให้คำแนะนำผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
           
นี่คือทางออก ! และทางรอดหนึ่ง ของผู้นำที่เป็นผู้รับใช้ที่ไม่มีใครให้การสนับสนุนอย่างเพียงพอ จึงขอฝากผู้นำที่จะพัฒนาตนให้พร้อมในทุกด้าน ทั้งฝากข้อคิดถึงสถาบันที่กำลังเตรียมผู้รับใช้ โปรดพิจารณาจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับสถานการณ์  คือ   หนึ่ง ด้านพระวจนะ  ต้องให้ความรู้ในพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ สามารถเทศนา สั่งสอน ประกาศ และทำการอย่างมืออาชีพ  สอง ด้านความรู้สามัญหรือความรู้รอบตัว เพื่อสร้างความเข้าใจตน เข้าใจคนอื่น และเข้าใจงานมากขึ้น และ สาม ด้านวิชาชีพ ให้สามารถมีช่องทางทำกินเพื่อเสริมรายได้หรือเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ์

ทั้งนี้เพื่อคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้า  เพื่อผู้รับใช้และประชากรของพระองค์ จะมีชีวิตที่จำเริญขึ้น มีความเข้มแข็ง เติบโต และขยายออกไปอย่างมั่นคงยั่งยืน

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)