18 พฤศจิกายน 2558

"เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง" โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

            คิดอย่างบัณฑิต  โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

สิ่งที่ผู้นำควรเป็น :  
เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง

            โอย! ทำไมมีเรื่องยุ่งๆ วุ่นวาย หลายอย่างต้องทำ ต้องเสร็จ ต้องเป็น ต้องมี แต่เวลา สถานการณ์ไม่เอื้อเลยนะ ทุกอย่าง ทุกงาน ดูฉุกละหุก วุ่นวายไปหมด... คุณเคยรู้สึก เคยเป็นอย่างนี้ หรือ เคยเห็นใครเป็นอย่างนี้หรือไม่ ?  ทำอย่างไรดี มีสาเหตุจากอะไร ติดตามดูนะครับ...
            ปัญหาเช่นที่ยกมาล้วนยังเป็นปัญหา หรือ เคยเป็นปัญหาของผู้รับใช้หลายต่อหลายคน รวมทั้งคุณและผมด้วยหากไม่ทำความเข้าใจให้ดี  เพื่อจะก้าวสู่อิสระในการทำงานอย่างมีความสุข และก่อให้เกิดประโยชน์ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างสูงสุด เท่าที่จะทำได้  ขอเสนอแนวทางในการ เปลี่ยนเรื่องยุ่ง ให้รุ่งเรือง  โดยมีสิ่งที่ผู้นำควรเป็น ดังนี้...
1.  ต้องเป็นผู้บริหารที่ดี
            ปัญหาของผู้นำ ผู้รับใช้หลายคน คือ ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี นั่นเอง !   การบริหารจัดการในที่นี่ หมายถึง  การรู้จักจัดแบ่งงาน แบ่งเวลา แบ่งหน้าที่ แบ่งทรัพยากรอย่างเหมาะสม  โดยเฉพาะผู้รับใช้มือใหม่ หรือ แม้แต่มือเก่าที่ไม่พัฒนาก็อาจเจอปัญหาเช่นกัน  ยิ่งงานพันธกิจการรับใช้ที่ไม่มีเจ้านายที่เป็นมนุษย์คอยออกคำสั่งได้อย่างแท้จริง  เพราะเจ้านายที่อยู่เบื้องบนผู้ทรงอำนาจที่แท้จริงนั้น เราไม่อาจมองด้วยตา และไม่อาจได้ยินด้วยเสียงปกติ จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่คนงานของพระองค์จะรู้ว่าควรทำสิ่งใด ก่อนหลัง หรือ จัดแบ่ง แยกแยะอย่างไรดี  ด้วยเหตุนั้น ผู้รับใช้หลายท่านจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หรือ มีอะไรต้องทำบ้าง  ยิ่งปล่อยให้วันเวลาผ่านไป อันตรายที่ไม่คาดคิดก็มาเยือน เพราะงานนั้นควรทำ ควรเสร็จแล้ว แต่กลับยังไม่เริ่ม หรือ งานที่ควรเกิดกลับไม่เกิด งานที่สำคัญไม่ทำ แต่กลับไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นต้น  บางคนมองจากภายนอก ดูเหมือนทำตัวยุ่ง วิ่งไปวิ่งมา ลุกลี้ลุกลน หากดูผิวเผินอาจคิดได้ว่ากำลังยุ่งงานอยู่ แต่ความจริงคือ บริหารงานไม่เป็น จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก สิ่งนั้นก็ดูเหมือนรีบ สิ่งนี้ก็เร่ง จึงเคร่งเครียด และกังวล สาระวนจนสับสนไปหมด  ซึ่งความจริงแล้ว หากรู้จักวางแผน จัดระบบ จัดคน แบ่งงาน จัดการประสาน อำนวยการให้เหมาะสม เรื่องที่กำลังทำให้ยุ่งโดยไม่จำเป็นนั้น ก็กลายเป็นเรื่องปกติได้  ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่าทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ? ลองคิดดูว่ามีการบริหารจัดการที่ดีหรือยัง ? ในทางตรงกันข้าม หากคุณว่างจนไม่รู้จะทำอะไรดี มีอะไรให้ทำก็ไม่รู้  จงถามเช่นเดียวกันว่า คุณมีการบริหารจัดการที่ดีหรือไม่ ? เพราะหากมีการบริหารจัดการที่ดี จะไม่ทำให้ยุ่งจนวุ่นวาย และไม่ว่างจนวุ่นวนแน่นอน 
            ขอแนะนำว่า นอกจากศึกษาพระคัมภีร์ ที่คอยชี้แนะการบริหารอยู่มากมาย ทั้งให้คุณแก่ฝ่ายจิตวิญญาณอย่างชำนาญแล้ว ขอให้ลองอ่านหนังสือหลักการบริหารที่มีอยู่ทั่วไปด้วยก็จะช่วยได้มากขึ้นนะครับ เพราะสติปัญญาทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้า แต่จงเลือกปัญญาที่มาจากเบื้องบนที่ก่อให้เกิดความสงบสุขและประโยชน์ยิ่งต่อชีวิตตนและคนอื่น ดังที่ท่านยากอบบันทึกไว้... 17แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก   แล้วจึงเป็นความสงบสุข   สุภาพและว่าง่าย   เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี   ไม่ลำเอียง   ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้สร้างสันติสุข   หว่านอย่างสันติ   จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม (ยากอบ 3.17-18)
2.  ต้องเป็นผู้ประสานงานที่ดี
            ปัญหาอีกอย่างสำหรับผู้รับใช้มือใหม่ คือ การขาดแคลนผู้ร่วมงาน ซึ่งความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้รับใช้มือใหม่ แต่ผู้รับใช้ส่วนใหญ่อาจเห็นด้วยกันว่า ขาดคนงาน และหลายคนมักยอมจำนนอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่พระเยซูกล่าวไว้ว่า ...“ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ (มัทธิว 9.37) เพราะฉะนั้นอย่าบังอาจทำอย่างอื่นเลย เพราะยังไงๆ คนงานไม่พอ  แต่หากอ่านพระคัมภีร์ให้ดีต่อไปจะพบว่า มัทธิวบทที่ 9 ข้อ 38 พระเยซูตรัสต่อไปว่า ...เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”  คือให้เราทำหน้าที่แก้ปัญหาการขาดคนงานนี้โดย  หนึ่ง.. แจ้งให้เจ้าของนา (งาน) ทราบ  ซึ่งนั่นก็หมายถึง องค์พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่ง และงานทั้งมวลที่คุณและผมกำลังรับผิดชอบ  ไม่ใช่เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเพียงผู้รับใช้ที่รับผิดชอบงานของพระเจ้า  จึงจำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พระองค์ทราบ ด้วยการอธิษฐานอ้อนวอน ไม่ใช่ต่อว่า บ่น หรือ ประชดประชันว่า ให้งานมาเยอะแยะแต่ไม่ให้ค่าตอบแทน หรือ คนงานที่เพียงพอ อะไรอย่างนี้เป็นต้น  สอง.. ขอพระเจ้าส่งคนงานของพระองค์มาช่วย ขอย้ำอีกครั้งว่า "คนงานของพระเจ้า" ไม่ใช่คนงานของเรา หรือลูกน้องของเรา แต่ เป็นคนงานของพระเจ้า เช่นเดียวกับเรานั่นแหละ  ดังนั้น การที่คุณเคยคิดว่า "คนงานน้อย" อยู่นั้น ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มีคนงาน" แค่ "มีน้อย" ไม่ใช่ "ไม่มี"  เมื่อเข้าใจอย่างนี้จะทำให้คิดต่อไปได้ว่าจะทำอย่างไร  หากคนงานในบริเวณที่คุณอยู่มีน้อย นั่นอาจจะมีแหล่งอื่นที่มีคนงานที่สามารถมาช่วยคุณก็ได้  เพียงแต่หน้าที่ของคุณคือ เงยหน้าขึ้น หันมองรอบตัวและมองไปรอบทิศ  เพื่อคิดถึง คนงานของพระเจ้า ที่กำลังต้องการร่วมงานของพระองค์กับคุณ  โดยการติดต่อสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และประสานงานไปยังคนเหล่านั้น เพื่อให้เขารับรู้และเข้าใจ รวมทั้งมีภาระใจที่จะมีส่วนในการรับใช้ในทุ่งนาของพระเจ้า  ซึ่งหากทำความเข้าใจให้ดีแล้ว จะพบว่า มีคน มีหน่วยงาน มีองค์กร มีคริสตจักรอีจำนวนมากที่อยากหาโอกาสในการรับใช้ อยากส่งคน ส่งทีมไปทำงานตามที่ต่างๆ อยู่แล้ว  บางแห่งนอกจากให้คนแล้วยังยินดีให้สิ่งของ อุปกรณ์ เงิน และอื่นๆ อีก  เพียงแต่คุณรู้หรือไม่ว่าคนงานเหล่านั้นอยู่ที่ไหน และจะติดต่ออย่างไรเท่านั้นเอง !  หากไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แนะนำให้เปิดหนังสือไดเรคเตอรี่คริสเตียนไทย หรือแม้แต่สมุดหน้าเหลืองก็ยังช่วยได้  สามารถค้นผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้  แต่หากอยากให้เกิดการประสานที่ใกล้ชิด ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ไว้ใจได้ เข้าใจงาน เข้าใจคนตามที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ต้องเริ่มจากการสร้างสัมพันธ์ ประสานเครือข่าย และขยายความจริงของพระเจ้าออกไปด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะพบว่าไม่ขาดคนงานของพระเจ้าเลย แม้จะมีน้อย แต่ยืนยันว่า ยังมีอยู่ นอกจากอ้อนวอนพระเจ้าแล้ว  คุณได้ประสานงานถึงเขาหรือยัง ? ทำให้ครบถ้วนนะครับ

            งานของพระเจ้าจะทำให้ยุ่ง หรือ ทำแล้วรุ่งนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณและผมแล้วว่าได้เป็นในสิ่งที่ควรเป็น คือ  เป็นผู้บริหารและผู้ประสานที่ดีแล้วหรือยัง  ลองคิดดูนะครับ !

            มาช่วยกันเปลี่ยนเรื่องที่คิดว่า "ยุ่ง" ให้เป็นเรื่อง "รุ่ง" กันดีกว่านะครับ

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)