29 ตุลาคม 2558

สิ่งที่ผู้นำควรมี..(2) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (2)
โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น

ตอนที่  2.  
ผู้นำควรมีความเข้าใจ

            "ความเข้าใจ"  เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้นำสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล  เพราะหากขาดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วอาจนำไปสู่ความเสียหายได้
16ผู้ใดที่หันเหไปจากทางแห่งความเข้าใจ  
  จะพักอยู่ในที่ประชุมของคนตาย
   Proverbs 21:16
ผู้นำสามารถได้รับความเข้าใจได้โดย ความยำเกรงพระเจ้าและทำตามพระดำรัสของพระองค์
10ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของ สติปัญญา  
 บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี  
 การสรรเสริญพระเจ้า  ดำรงอยู่เป็นนิตย์
Psalms 111:10
นอกจาการศึกษาค้นคว้า เพื่อจะได้ความรู้ ความเข้าใจแล้ว  พระเจ้ายังเปิดทางให้รับสติปัญญาจากพระองค์โดยตรง  ...ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา   ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า   ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ   แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ James 1:5
            ผู้นำควรมีความเข้าใจในเรื่องอะไรบ้าง  สิ่งที่สำคัญที่ผู้นำควรมีความเข้าใจเพื่อจะนำไปสู่การนำคริสตจักรและการรับใช้ในพันธกิจ  ได้แก่  ความเข้าใจตน  เข้าใจคน และ เข้าใจงาน
            "เข้าใจตน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจตนเอง ว่า ตนเองเป็นใคร  มีนิมิต  ของประทาน ความสามารถ และภาระใจอย่างไรบ้าง  เพื่อจะวางตนเองในบทบาท ในหน้าที่ที่เหมาะสม  เพราะแต่ละคนนั้นมีความแตกต่าง  ไม่ใช่ว่าเพราะใครดีกว่าใคร แต่เป็นใครเหมาะสมกว่าใครต่างหาก  พระเจ้าสร้างแต่ละคนให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ  ดังนั้น ผู้นำจึงจำเป็นต้องค้นพบตนเองให้เจอ ทำความเข้าใจให้ได้  เพราะ...ในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆ  มิได้มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น   แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย   บ้างก็เพื่อศิลปะ   และบ้างก็สามัญ 21ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า   เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า   ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว   เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์   พร้อมกับการดีทุกอย่าง (II Timothy 2:20)
ของประทานของพระองค์   ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต   บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้   เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น Ephesians 4:11-12
            "เข้าใจคน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจคน  เพราะจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ที่มีความแตกต่างหลากหลาย  ผู้นำจึงจำเป็นต้องศึกษาลักษณะชีวิตของคนให้เข้าใจ เพื่อจะสร้างความสัมพันธ์ อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือ การเสริมสร้าง การนำคนเหล่านั้นให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  โดยเฉพาะในคริสตจักรนั้นย่อมจะมีคนหลายประเภท แตกต่างกันทั้ง เพศ วัย การศึกษา ฐานะ อาชีพ ภาษา เผ่าพันธุ์ และอื่นๆ นั้นหมายความว่า ผู้นำต้องพร้อมที่จะเผชิญกับคนทุกประเภทอย่างชาญฉลาด จึงจะสามารถนำคริสตจักรและพันธกิจไปสู่เป้าหมายได้  ตัวอย่างอาจารย์เปาโลท่านได้เรียนรู้ในการเข้าถึงผู้คนแต่ละประเภท  โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวตนที่แท้จริง และไม่สูญเสียหลักการที่ถูกต้องไป เพื่อช่วยคนเหล่านั้นให้รู้จักพระเจ้า 
19เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด   ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง   เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น 20ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว   เพื่อจะได้พวกยิว   ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ   ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ   (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ)   เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น 21ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ   เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น   แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า   แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ 22ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ   ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง   เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง 23ข้าพเจ้าทำอย่างนี้   เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น   I Corinthians 9:20-23
            ผู้นำที่เข้าใจคนที่อยู่รอบข้างและคนอื่นที่เกี่ยวข้อง จะเป็นโอกาสที่จะช่วยคนเหล่านั้นให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของคริสตจักรและพันธกิจมากขึ้น  ซึ่งอาจต้องลงทุน ลงเวลา ลงความใส่ใจในผู้คนเหล่านั้น เพื่อจะช่วยเขาหรือเรียนรู้จากพวกเขาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  ดังพระเยซูเมื่อทรงเสด็จไปตามเขตเมืองและชนบท พระองค์ทรงเข้าใจผู้คนเหล่านั้น เข้าใจสถานการณ์ และยังเข้าใจสาวกของพระองค์ที่ต้องเผชิญสถานการณ์นั้นด้วย  จึงเป็นเหตุให้พระองค์แนะนำทางออกที่เหมาะสมว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  ดังที่บันทึกไว้ว่า.. 35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ   ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”  Matthew 9:35-38
            การที่จะเข้าใจคนอื่นนั้น พระเยซูทรงออกไปหาพวกเขาในทุกที่ที่เขาอาศัยอยู่ ทั้งในเขตเมืองใหญ่ และหมู่บ้านในชนบทเล็กๆ   พระเยซูคริสต์ทรงเข้าไปศึกษาชีวิตผู้คนหลากหลายประเภทและเข้าใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง  หากผู้นำนั่งคิด วางแผนอยู่แต่ในห้องทำงานคงไม่อาจทำความเข้าใจผู้คนได้  จึงจำเป็นที่จะต้องออกไปพบปะผู้คนเพื่อจะรู้จัก เข้าใจอย่างแท้จริง  ดังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้เป็นพระราโชบายในการแก้ไขปัญหาว่า "เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา"
            พระเยซูออกไปพบผู้คนอย่างมีเป้าหมาย  ทรงให้ความรู้   ความเข้าใจ ให้การรักษา ช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นตามความเหมาะสมแต่ละสภาพของชีวิต  ด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสาร เพราะพระองค์เข้าใจความยากลำบาก อุปสรรค์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้คน  ทรงอยู่เคียงข้างเขา ฟังความต้องการของเขา และตอบสนองต่อความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และช่วยให้เขามองการณ์ไกลต่อไปได้ด้วย
            เมื่อออกไปพบผู้คน พระเยซูทรงรู้สถานการณ์ รู้ปริมาณความต้องการของคน ซึ่งพบว่า มีคนจำนวนมาก มีคนที่เจ็บป่วย มีคนที่ไร้ที่พึ่ง ถูกรังควาน และขาดคนผู้ดูแล  พระองค์ทรงเข้าใจสถานการณ์ของชุมชน ในขณะเดียวกันทรงเข้าใจสถานการณ์ของสาวก หรือคนงานของพระองค์ที่มีจำนวนน้อยกว่าปริมาณความต้องการของคนในชุมชน
            พระเยซูทรงแนะนำทางออกของการแก้ไขปัญหาทั้งของผู้คนในชุมชนและคนงานของพระองค์  โดยให้อธิษฐานวิงวอนพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง เพื่อส่งคนงานมาเพิ่ม  เพราะทรงเข้าใจดีว่าสถานการณ์เช่นนี้เกินกำลังของมนุษย์  หากผู้นำเข้าใจเช่นนี้ก็จะมีความหวังและทางออกที่ดีในการทำงานได้เช่นกัน
            "เข้าใจงาน"  ผู้นำควรมีความเข้าใจในงานที่ตนเองรับผิดชอบ  เพื่อจะสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจตามมาได้มากขึ้น  แม้ว่าความสำเร็จหรือการเกิดผลเป็นของพระเจ้าที่มนุษย์ไม่อาจกำหนดได้ แต่หากผู้นำเข้าใจลักษณะงาน วิธีการทำงาน ขั้นตอน กระบวนการ ของการดำเนินงานอย่างเหมาะสมก็จะสามารถนำพาคริสตจักรและพันธกิจไปสู่เป้าหมายได้  หากย้อนกลับไปทบทวนตัวตนว่าเป็นใคร มีนิมิต และของประทานอะไร เหมาะสมกับงานประเภทไหน และยิ่งมีความเข้าใจผู้คน หรือกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้นำสามารถทำงานได้อย่างดีและมีความสุขยิ่งขึ้น  ดังที่พระเยซู เข้าใจงานของตนว่ามาเป็นพระผู้ไถ่(มก10.45)  ยอห์นบัพติสมาเข้าใจว่างานของตนคือการเตรียมทางให้พระคริสต์ (ยน.1.22-23) เปาโลเข้าใจงานในการประกาศกับคนต่างชาติ(รม11.13; 15.16) เป็นต้น


            คริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทย ต้องการผู้นำที่มีหัวใจ และมีความเข้าใจเป็นจำนวนมาก  ที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานในทุ่งนาอันกว้างใหญ่นี้  จึงต้องหาวิธีในการสร้างผู้นำ เตรียมชีวิตผู้นำ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้นำที่มีหัวใจและความเข้าใจเช่นนี้อย่างเป็นระบบให้มากขึ้น เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าจะตั้งอยู่ในชีวิตของคนไทย และพวกเขาจะหันมารับใช้พระองค์ร่วมกันต่อไป

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

22 ตุลาคม 2558

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (1) โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น  

สิ่งที่ผู้นำควรมี... (1)
ผู้นำ เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้าให้ก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง มั่นคง และกว้างไกล  ผู้นำควรมีอะไรจึงจะทำให้คริสตจักรเข้มแข็งอย่างยั่งยืน...
ตอนที่ 1...ผู้นำควรมีหัวใจ
            ผู้นำที่มี "หัวใจ"  หมายถึง การมีชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย  โดยการมอบชีวิตจิตใจให้แก่พระองค์  ดังพระวจนะที่สอนว่า... 1พี่น้องทั้งหลาย   ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า   ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์   เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า   ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย  Romans 12:1
            หัวใจของผู้นำควรอยู่ที่พระเจ้า และมีลักษณะชีวิตที่เป็นดังพระทัยของพระองค์  อันประกอบไปด้วย   ความรัก   ความปลาบปลื้มใจ   สันติสุข   ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม   การรู้จักบังคับตน   และเรื่องอื่นๆ ที่ดีตามหลักการของพระวจนะ (กท.5.22-23)  เช่น การมีหัวใจที่เชื่อฟัง หัวใจที่กล้าหาญ  เป็นต้น
            คุณลักษณะชีวิตที่ผู้นำควรมีนั้น ส่วนใหญ่ไม่อาจเกิดขึ้นเองโดยอัติโนมัติ แต่ต้องอาศัยการอบรมฝึกฝน พัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข อย่างต่อเนื่อง  ทั้งส่วนที่อยู่ภายใน คือ อุปนิสัย และส่วนที่มองเห็นภายนอก คือ บุคลิกลักษณะที่พึงประสงค์  พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นต้นแบบในการเตรียมชีวิตของสาวกที่กลายมาเป็นผู้นำคนสำคัญในคริสตจักรและพันธกิจของพระเจ้า  พระองค์ทรงทุ่มเท ทั้งกายและใจ ให้เวลา ให้โอกาส ให้แบบอย่าง ให้แนวทาง การดำเนินชีวิต จากพวกเขาที่เป็นชนชั้นสามัญ จนกลายเป็นคนที่ใช้การได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ดังที่ปรากฏในการบันทึกที่ว่าผู้นำทางศาสนาและทางการเมืองในเวลานั้นยอมรับว่าสาวกของพระเยซูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง...  เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น   และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ   ก็ประหลาดใจ   แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู (กจ.4.13)
            พระวจนะของพระเจ้ายืนยันว่าพระเยซูคริสต์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่ยอมมอบหัวใจให้พระองค์ครอบครองให้เป็นคนที่ใช้การได้ โดยพระองค์จะทรงขจัดของเก่าที่ไม่ดีออก และประทานสิ่งใหม่ที่ดีกว่าให้ แต่ทั้งนี้ต้องพึ่งอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ที่สามารถสร้างและเปลี่ยนชีวิตได้  โดยให้ผู้นั้นยอมรับการเปลี่ยนแปลง และยอมกลับคืนดีกับพระเจ้าทางพระเยซู คือ หันจากความบาปชั่ว มามอบตัวและหัวใจยินดีอยู่ฝ่ายพระเจ้า ด้วยใจที่สำนึกผิดในพระคุณของพระองค์
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์   ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว   สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป   นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น 18ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า   ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์   และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน  II Corinthians 5:17-18
            คริสตจักรต้องการผู้นำที่มีหัวใจเช่นนี้ เพื่อจะนำคริสตจักรและพันธกิจของพระองค์ก้าวหน้า ก้าวไกล มั่นคงยั่งยืนอย่างแท้จริง

            ติดตามตอนต่อไป...
                                                                                                                            (ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)