08 สิงหาคม 2558

มารีย์...ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลก โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต
มารีย์  ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลก   
โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น
“ผู้หญิง”  มักถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่รอบคอบ อารมณ์แปรปรวน ไม่ควรเป็นผู้นำ และอีกหลายอย่างที่กำหนดให้เธอต้องถอยออกไปจากทางแห่งความสำเร็จ   แต่พระเจ้าไม่ทรงประสงค์เช่นนั้น  เพราะตลอดประวัติศาสตร์โลก พบว่า ผู้หญิงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกและชีวิตอย่างมหาศาล   โดยพระคุณของพระเจ้า ทรงใช้ ผู้หญิง ให้เป็นช่องทางนำความรอดมายังมวลมนุษยชาติ  ทรงมีแผนการและทำให้สำเร็จผ่านทางสตรีเพศ (ปฐก.3.15,อสย.7.14,กท.4.4) 

ในพระคัมภีร์ มีผู้หญิงหลายคนที่ให้พระเจ้าใช้ชีวิตและเกิดผลดีอย่างยิ่งใหญ่  ดังจะยกตัวอย่าง มารีย์ มารดาของพระเยซู ผู้หญิงที่เปลี่ยนโลกตลอดกาลคนนี้...
มารีย์ มารดาพระเยซู  ผู้หญิงที่ยอมให้พระเยซูมาอยู่ในครรภ์ของเธอ และเธอตัดสินใจที่จะอยู่กับพระเยซูแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ในฐานะหญิงสาว ชาวบ้านธรรมดา มารีย์ได้แสดงความศรัทธาและกล้าหาญ แม้อาจจะต้องถูกหินขว้างให้ตายโทษฐานท้องก่อนแต่งได้ทุกเมื่อ  เธอเป็นผู้นำในการตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ โดยตอบสนองพระบัญชาของพระเจ้าต่อหน้าทูตสวรรค์ในเวลาไม่นานนัก (ลก.1.26-38) ซึ่งต่างจากโยเซฟที่ยังลังเล และต้องใช้เวลาในการตัดสินใจทั้งคืน (มธ.1.18-25)
ในฐานะภรรยา มารีย์ต้องรับผิดชอบและทำงานหนัก  ทำหน้าที่ทั้งในบ้านและนอกบ้านอย่างดี  นอกจากทำหน้าที่ส่งเสริมโยเซฟให้เป็นที่ยกย่องท่ามกลางสังคมตามขนบธรรมเนียมแล้ว เธอยังต้องรับผิดชอบในการดูแลลูก คือพระเยซูและน้อง  (มธ.13.55-56) แม้เธอต้องลำบาก  เพราะมีการสันนิษฐานว่าโยเซฟน่าจะตายไปก่อนที่พระเยซูและน้องๆ จะเติบโต  นั่นหมายความว่า มารีย์ต้องดูแลลูกเพียงลำพัง เพราะพระเยซู ผู้เป็นพี่ชายคนโตก็ออกจากบ้านไปเพื่อทำพันธกิจของพระบิดาบนสวรรค์  ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตในเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่มารีย์และน้องๆ ของพระองค์มาคอยอยู่ข้างนอกบ้าน (มธ.12.46-50)  เป็นไปได้ไหมว่าเพราะพวกเขามีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากและต้องการการช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต ซึ่งโดยธรรมเนียมยิวแล้วต้องเป็นผู้รับผิดชอบครอบครัวแทนผู้เป็นพ่อ  แต่เนื่องจากพระเยซูมีพระบิดาอยู่เบื้องบน พระองค์จึงต้องทำหน้าที่ของพระบุตรองค์เดียวของพระบิดามากกว่า
ในฐานะแม่ มารีย์ต้องอดทน อดกลั้น ทุกอย่างเก็บไว้ในอก ซึ่งเสมือนดาบทิ่มแทงในใจของเธอเรื่อยมา  ดังคำที่สิเมโอนได้กล่าวไว้  “... ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”   (ลก.2.35)  การเลี้ยงลูกของมารีย์ คงไม่เหมือนกับลูกของครอบครัวทั่วไป ที่ลูกมักจะต้องอยู่ใต้บังคับโดยไม่มีข้อแม้มากนัก  แต่สำหรับพระเยซู ไม่ได้เป็นลูกที่เธอจะเลี้ยงดู สั่งสอน ได้อย่างปกติทั่วไป เพราะเธอรู้เสมอว่า พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เกิดโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้รูปร่างหน้าตาของพระเยซูจะเป็นเฉกเช่นเด็กทั่วไปแต่ภายในจิตใจมีความแตกต่าง  พระเยซูต้องไปเรียนธรรมบัญญัติ ไปอธิษฐาน ไปนมัสการในพระวิหาร เหมือนเด็กทั่วไป แต่ทรงไปในฐานพระบุตรของพระบิดาด้วย  ดังนั้น พระองค์จึงใช้เวลาเป็นพิเศษกับพระบิดาและไม่ได้เดินทางกลับพร้อมครอบครัว จนกระทั่งมารีย์และโยเซฟต้องตามหาด้วยความหวั่นวิตกเพราะลูกอายุ 12 ปี หายไปตั้ง 3 วันแล้ว  เมื่อหาพบแล้วพวกเขายิ่งไม่เข้าใจกับคำตอบของพระเยซู ที่ว่า  ...“ท่านเที่ยวหาฉันทำไม   ท่านไม่ทราบหรือว่า   ฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน  ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำซึ่งท่านกล่าวแก่เขา แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา   ไปยังเมืองนาซาเร็ธ   อยู่ใต้การปกครองของเขา   มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ   (ลก.2.42-51) 
มารีย์คงเก็บความรู้สึกจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในใจเสมอ แม้พระเยซูจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เธอคงหวังจะให้ช่วยเหลือในยามต้องการ  ดังตัวอย่างในงานสมรสที่หมู่บ้านคานา (ยน.2.1-11) มารีย์ขอให้พระเยซูช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล้าองุ่นหมด พระองค์ไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอคิด แต่ทำในเวลาของพระองค์เอง  เธอคงรู้ว่าสักวันหนึ่งคงต้องเสียลูกไปแน่นอน  แต่คงไม่เข้าใจถึงขนาดว่าในที่สุดพระเยซูต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน  ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อถึงเวลานั้นจริง มารีย์ก็แสดงความเข็งแกร่ง อดทน กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่หวั่นไหว เธอเป็นผู้อยู่กับพระเยซูในเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตจนนาทีสุดท้าย(ยน.19.25-27) และยิ่งกว่านั้นเธอยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หลังไม่มีพระเยซูอยู่ด้วยในฐานะลูกชายคนโตในโลกนี้อีกแล้ว     ขอบคุณพระเจ้าที่มารีย์ดำเนินอย่างมั่นคงต่อไปจนกระทั่งได้เห็นการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.1.14)และเห็นกลุ่มผู้เชื่อจำนวนมากเกิดขึ้น เห็นคริสตจักรที่พระเยซูประกาศว่าจะตั้งขึ้นบนศิลาแห่งความรอดของพระองค์ (มธ.16.18) และยิ่งกว่านั้นเห็นลูก ๆซึ่งเป็นน้องของพระเยซูมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาสาวกของพระเยซู
เชื่อแน่ว่าจิตใจของมารีย์นั้นจะเป็นสุขยิ่งกว่าผู้ใดในโลก  ตามที่นางเอลีซาเบธได้กล่าวกับเธอตอนที่พบกันขณะตั้งท้อง  ..นางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  จึงร้องเสียงดังว่า   “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก... (ลก.1.41-42)     และบทเพลงจากปากของเธอตามการทรงนำของพระวิญญาณที่ว่า ... เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์  เพราะนั่นแหละ  ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก   (ลก.1.48)
แต่กว่าจะมาถึงความ “ผาสุก”  เธอต้อง “ผ่านทุกข์” จากสถานการณ์อันยากลำบากมาอย่างนับไม่ถ้วน จึงสมควรแล้วที่พระเจ้าจะให้เธอเป็นที่ยอมรับและยกย่องท่ามกลางประชาชาติมาจนทุกวันนี้และตลอดกาล
หากไม่มีผู้หญิงอย่างมารีย์ในวันนั้น คงไม่อาจมีคุณและผมในวันนี้เช่นกัน  ดังนั้น ในฐานะคนของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ชาย หรือ หญิง  ความเป็นจริงก็คือ พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของแต่ละคนตามความเหมาะสม  อย่าคิดว่าคุณเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เป็นแค่ภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง เป็นแค่แม่ที่ต้องดูแลลูกเท่านั้น  พระเจ้ามีแผนการอันยิ่งใหญ่กว่านั้นให้คุณทำควบคู่ไปกับฐานะที่คุณเป็นอยู่ได้ด้วย  อย่าให้ค่านิยมที่ผิดๆ อุดมคติของสังคมที่แปรปรวนตามเวลา ข้อกำหนดของความคิดมนุษย์อันเต็มไปด้วยอคติ  มาปิดกั้นพระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่จะกระทำในชีวิตของคุณเป็นอันขาด
(ขอบคุณภาพจาก http://www.belongtothetruth.com/Holy/anglicans02.htm)