30 กรกฎาคม 2558

“เลิกเหล้า...เลิกเมา กันดีกว่า” โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย  ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น
เลิกเหล้า...เลิกเมา 
กันดีกว่า
ผมขับรถตามหลังรถกระบะคันหนึ่งที่บรรทุกของมาเกินพิกัด สูงขึ้นไปจากกระบะรถ โอนเอนไปมา พวกเราที่นั่งมาในรถก็พูดคุยกันว่า เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่เป็นอันตรายมากโดยเฉพาะเวลาถึงทางโค้ง  เราวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามประสา   และเมื่อรถของเราขับเข้ามาใกล้  ต้องหัวเราะกับคำตอบที่ได้จากสติ๊กเกอร์ท้ายรถคันนั้นที่เขียนไว้ว่า 
กูม่ายรู้ กูเมา !!”      ??? 

            ได้แต่หวังว่า ความเมา  จะมีเฉพาะข้อเขียนในสติ๊กเกอร์เท่านั้น แต่ถ้า คนขับเมา ! ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ?
คนไทย  ได้รับการกล่าวถึงว่า  งานไหน ๆ พี่ไทยก็เมา  ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเปิดเสรีในการผลิตสุราพื้นบ้าน  ที่เมื่อก่อน เขาเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า เหล้าเถื่อน  หรือ เหล้าขาว  หากมองในแง่ดี  ถือว่าเป็นการยกฐานะภูมิปัญญาท้องถิ่น  แต่ว่าด้วยนิสัยพี่ไทยงานไหนก็เมาจาก  ภูมิปัญญา”  ที่ดี ๆ นั้นกลับกลายเป็น  สมรภูมิแห่งปัญหา  ที่หาวิธีแก้ไขอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะสถิติการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยเพิ่มสูงขึ้น และขยายกลุ่มผู้ดื่มไปสู่เด็กและเยาวชนมากขึ้น  ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมา  ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานยนต์ขณะมึนเมา  ที่แต่ละปีช่วงเทศกาลตายเจ็บนับร้อย นับพัน  ความรุนแรงในครอบครัว  สามีทำร้ายภรรยา  ผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก เพราะขาดสติยั้งคิดเนื่องจากพิษของเหล้าที่ดื่มเข้าไปเกินพอดี  ปัญหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไร้สติของคนที่เมามายสุราและเหล้า ที่ก่อนดื่มเขามีโฆษณาเชิญชวนว่า มันจะนำความสุข  ความภาคภูมิใจ ความรักชาติ  ความเป็นชายตัวจริง  ความเป็นหญิงที่แกร่ง  เป็นคนทันสมัย  เป็นคนประสบความสำเร็จ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่โหมใส่ต่อมความอยากมีอยากเป็นอย่างเช่นเขาโฆษณา...  มีหรือที่พี่ไทยเราจะยั้งใจเอาไว้ได้ ! เพราะแรงผลักภายในก็มากพออยู่แล้ว ยิ่งมีแรงเสริมภายนอก  อย่าบอกนะว่าชักเปรี้ยวปากขึ้นมาทันที  บางคนถึงขนาด คิดถึงถึงผลลัพธ์ของ 5 คูณ 8 ( = 40 ดีกรี) ยังต้องกลั้นอาการคลื่นเหียนอาเจียนไม่ได้  ตกเย็นเลิกงานยังต้องนำติดไม้ติดมือมาแก้เหนื่อย แก้เมื่อย แก้กลุ้ม แก้ท้อ  แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรละ ! 
เรื่องการพยายามรณรงค์เพื่อให้เกิดการลด ละ เลิก จากอบายมุขนั้นมีกันอยู่มากเช่นกัน  แต่น้ำน้อยยังแพ้ไฟต้มเหล้าอยู่ดี  น่าเศร้าใจที่งานกีฬาต้านยาเสพติดบางงานที่เขียนป้ายอย่างชัดเจนว่า  กีฬาต้านยาเสพติด  แต่สังเกตว่าวันแข่งกีฬานั้นกองเชียร์จะออกอาการเมามากกว่าปกติ  แทนที่กีฬาจะ  ต้าน  ก็กลายเป็น ก้าน (แพ้)  ยาเสพติด  ตามสำเนียงภาษากำเมืองไปเสียนี่  !!
การหาวิธีช่วยเหลือให้ห่างไกลสิ่งชั่วร้ายนั้นหากมองในด้านศาสนา  ส่วนใหญ่ก็สอนให้ระวังและหลีกเลี่ยงด้วยกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังถือว่า เป็น บาป  ร้ายที่ทำลายชีวิตถึงโลกหน้าทีเดียว  ในฐานะนักศาสนศาสตร์ที่ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ของคริสตศาสนา และเป็นคนที่พยายามดำเนินชีวิตให้ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย  เพราะรู้ดีว่ายังต้องต่อสู้ดิ้นรนฟันฝ่าเฉกเช่นปุถุชนทั่วไป  แต่สำหรับเรื่องสุรา ยาเมานั้นสามารถยืนยันได้ว่า  ละได้แล้วซึ่งความรักลุ่มหลงในตัวมัน  ไม่ยอมให้มันเป็นนายอีกต่อไป  แต่หากจะใช้ก็เพียงเป็นยาเท่านั้น  เพราะในบางส่วนก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่....ขอเตือนว่าอย่าใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่จะตอบสนองต่อความต้องการอันใฝ่ต่ำของเนื้อหนังเป็นอันขาด  บางคนบอกว่าแค่เพื่อสังคมเท่านั้น แค่เจริญอาหารเท่านั้น แต่ขาดมันไม่ได้สักครั้ง อย่างนี้ควรพิจารณาให้ดีว่าถูกต้องหรือไม่  คำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  มีข้อห้าม มีคำเตือนเกี่ยวกับเรื่อง สุรา ยาเมา เหล้า เบียร์ และไวน์  ซึ่งจะยกมาบางประการเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจ  ดังนี้...

1.  สิ่งที่จะดื่มหรือกินนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
เรา ทำ สิ่ง สารพัด ได้ แต่ ไม่ ใช่ ทุก สิ่ง ที่ จะ ทำ ได้ นั้น เป็น ประโยชน์
เรา ทำ สิ่ง สารพัด ได้ แต่ ไม่ ใช่ ทุก สิ่ง ที่ จะ ทำ ให้ เจริญ ขึ้น  (1โครินธ์   10:23) 
2.  สิ่งที่จะดื่มหรือกินนั้นจะทำให้เสียผู้เสียคนหรือไม่  ?    พระคัมภีร์สอนว่า...
อย่า เมา เหล้าองุ่น ซึ่ง จะ ทำ ให้ เสีย คน
แต่ จง ประกอบ ด้วย พระวิญญาณ  (เอเฟซัส 5:18) 
3.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะทำให้มีอนาคตที่ดีหรือไม่  ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
...การ อิจฉา กัน การ เมา เหล้า การ เล่น เป็น พาลเกเร และ การ อื่นๆ ใน ทำนอง นี้ อีก  เหมือน ที่ ข้าพเจ้า ได้ เตือน ท่าน มา ก่อน  บัดนี้ ข้าพเจ้า ขอ เตือน ท่าน เหมือน กับ ที่ เคย เตือน มา แล้ว ว่า คน ที่ ประพฤติ เช่น นั้น จะ ไม่ มี ส่วน ใน แผ่นดิน ของ พระเจ้า (กาลาเทีย 5:21) 
4.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือไม่  ?    พระคัมภีร์สอนว่า...
...แต่ จง ระวัง ตัว ให้ ดี เกลือกว่า ใจ ของ ท่าน จะ ล้น ไป ด้วย อาการ ดื่ม เหล้าองุ่น มาก
และ ด้วย การ เมา และ ด้วย คิด กังวล ถึง ชีวิต นี้ แล้ว เวลา นั้น จะ มา ถึง ท่าน ดุจ บ่วงแร้ว อย่าง กะทันหัน  (ลูกา 21:34)
...วิบัติ แก่ คน เหล่านั้น ที่ ลุกขึ้น แต่ เช้า มืด เพื่อ วิ่ง ไป ตาม เมรัย ผู้ เฉื่อยแฉะ อยู่ จน ดึก จน เหล้าองุ่น ทำ ให้ เขา เมา หยำ เป  เมา เหล้า องุ่น เลี้ยง กัน อย่าง ถึง ใจ  (อิสยาห์ 5:11 )
5.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นจะนำความภาคภูมิใจ ความสุขมาสู่ชีวิตจริงหรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
...ใคร ที่ ร้องโอย ใคร ที่ ร้องอุย ใคร ที่ มี การวิวาท ใคร ที่ มี การ ร้องคราง
ใคร ที่ มี บาดแผลปราศจาก เหตุ ใคร ที่ มี ตาแดง  คือ บรรดา ผู้ ที่ นั่ง แช่ อยู่ กับ เหล้า องุ่น บรรดา ผู้ ที่ ไป ทดลอง เหล้า ประสม
อย่า มองดู เหล้าองุ่น เมื่อ มัน มี สีแดง เมื่อ เป็น ประกาย ใน ถ้วย และ ลง ไป คล่องๆ
ณ ที่สุด มัน กัด เหมือน งู และ มัน ฉก เอา เหมือน งูทับทาง
ตา ของ เจ้า จะ เห็น สิ่ง แปลกๆ และ ใจ ของ เจ้า จะ พูด ตลบ ตะแลง
เจ้า จะ เป็น เหมือนคน ที่ นอน อยู่ กลาง ทะเล อย่าง คน ที่ นอน อยู่ บน เสา กาง ใบ  เจ้า จะ ว่า "เขา ตี ข้าแต่ ข้า ไม่ เจ็บ เขา ทุบ ข้า แต่ ข้า ไม่ รู้สึก  ข้า จะ ตื่น เมื่อไร หนอ       ข้า จะ แสวง การดื่ม อีก    (สุภาษิต 23.29-35)
6.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นมันจะทำให้ชีวิตมีคุณค่าและเป็นที่น่านับถือหรือไม่  ? พระคัมภีร์สอนว่า...
...พึง สอน ชาย ที่ สูง อายุ ให้ รู้ จัก ประมาณ ตน ใน การ กิน ดื่ม ให้ เอาจริงเอาจัง
ให้ มี สติสัมปชัญญะ ให้ มี ความ เชื่อ ความ รัก และ ความ อดทน ตาม สมควร  
ส่วน ผู้หญิง ที่ สูง อายุ ก็ เหมือน กัน ให้ เขา มี ความ ยำเกรง พระเจ้า
ให้ เขา เป็น คน ไม่ ส่อเสียด ไม่ เป็น คน กิน เหล้า แต่ ให้ เป็น ผู้สอน สิ่ง ที่ ดี งาม  (ทิตัส 2:2-3) 
7.  สิ่งที่จะกินหรือดื่มนั้นมันจะทำให้เกิดการยกย่องถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ ?  พระคัมภีร์สอนว่า...
ท่านไม่รู้หรือว่า   ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน   ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า   ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว   ด้วยราคาสูง   เหตุฉะนั้น   ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด (1โครินธ์ 6.19-20)
เหตุ ฉะนั้น เมื่อ ท่าน จะ รับประทาน จะ ดื่ม หรือ จะ ทำ อะไร ก็ ตาม   จง กระทำ เพื่อ เป็น การ ถวาย พระเกียรติ แด่ พระเจ้า  (1โครินธ์ 10:31)

            ยังมีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมาก  แต่เท่าที่นำมานับว่าเพียงพอแล้วที่เราจะห่างไกลจากแหล่งอบายทั้งหลาย โดยเฉพาะ เหล้า  ไม่ว่ามันจะสีอะไร  ยี่ห้ออะไร ดีกรีเท่าไหร่ ผลิตจากมือชาวบ้าน หรือจากโรงงานทันสมัย  สุดท้ายเมื่อดื่มเข้าไปมันกลายเป็นอันตรายทั้งนั้น  ผลร้าย มากกว่าผลดี  แล้วอย่างนี้จะดื่มมันทำไม ?   ตัดสินใจเลิกได้แล้ว !!     ขอเป็นกำลังใจให้  หากเลิกเหล้าเสียตั้งแต่วันนี้  อะไรที่ดีก็จะตามมาแน่นอน
คุณต้องการ ลด ละ เลิก จากการเป็นทาสของ สุรา ยาเมา เหล้า เบียร์ และไวน์หรือไม่  ?  พระเจ้าสามารถช่วยคุณได้  เมื่อแสวงหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ  เพราะไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า  ขอจงมีใจเชื่อและศรัทธา...อาเมน


10 กรกฎาคม 2558

กินข้าวกับพระเยซู โดย ศจ.บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย ศจ.บัณฑิต  ดาแว่น 

กินข้าวกับพระเยซู

นี่แน่ะ   เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู   ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู   เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา   และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา (วิวรณ์ 3:20)
คงเคยได้ยินสำนวนที่คุยกันสนุกๆ ว่า “เรื่องกินเรื่องใหญ่”  ผมกลับคิดว่า “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่เรื่องไม่ได้กินต่างหากใหญ่กว่า”  ลองสังเกตดูสิว่าจริงหรือไม่ ?  หากคนเราได้กินอิ่มแล้ว มักจะรู้สึกดี สบายใจ ไม่อยากก่อเรื่องอะไรให้วุ่นวาย  ตรงกันข้ามลองไม่ได้กินให้สมกับความหิวดูสิจะเกิดอะไรขึ้น ! ผมว่า “เกิดเรื่องใหญ่” แน่ๆ  คุณเคยได้ยิน หรือเคยมีอาการโมโหหิวไหม ?  นั่นแหละสาเหตุจากการไม่ได้กินมันส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาทุกส่วนในร่างกาย รวมทั้งความคิด จิตใจ ของคุณเข้าแล้ว !
ผมคิดเล่นๆ ต่อไปว่า เรื่องไม่ได้กินนับว่าใหญ่แล้ว ยังมีเรื่องที่ใหญ่มากกว่าอีกนะ นั่นคือ เรื่องที่กินแล้วไม่อิ่ม อันเนื่องมาจากอาหารไม่พอกินนั่นเอง  ลองคิดดู คุณหิวจัด กินไปได้ครึ่งท้อง แต่ทุกอย่างหมดแล้ว แหม ! ความรู้สึกมันโหดร้ายยิ่งกว่าการไม่ได้กินเสียอีกนะจะบอกให้  ตัวอย่างจากตำนานพื้นบ้านของชาวอิสานเรื่อง “กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่” คงยืนยันได้อย่างดี เรื่องมีอยู่ว่า ชายหนุ่มออกไปไถนาแต่เช้ามืด ผู้เป็นแม่ทำกับข้าวไปส่งตอนสายๆ  แต่ด้วยความหิวแบบสุดๆ เขารู้สึกว่านอกจากแม่จะมาสายแล้ว กล่องข้าวเหนียว และกับข้าวที่ห่อมานั้นยังน้อยนิดอีกด้วย  บันดาลโทสะทำให้เขาทำร้ายแม่จนนอนแน่นิ่งไป..  ด้วยความหน้ามืด ตาลาย เขาไม่สนใจสิ่งใด  นอกจากคดข้าวเหนียวจากกล่องเล็กๆนั้นมากินๆๆ จนรู้สึกอิ่มแต่ข้าวยังไม่หมด เพราะแม่ยัดใส่จนแน่นนั่นเอง เมื่ออิ่มท้องดี สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา แต่อนิจจาแม่นอนสิ้นใจตายเสียแล้ว... เรื่องนี้สะท้อนได้ทั้งการไม่ได้กิน และกลัวว่ากินแล้วจะไม่อิ่มได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ   นี่ขนาดแค่คิดว่ากลัวตนเองกินไม่อิ่มจากอาหารที่น้อยนิด  ยังกลายเป็นฆาตกรไปในชั่วพริบตา
เรื่องไม่ได้กิน เรื่องที่กินแล้วไม่อิ่ม หรือเรื่องกลัวตนเองกินไม่อิ่มนั้น มักจะนำไปสู่การเกิดเรื่องใหญ่หลายด้าน  ตัวอย่างเช่น  บางครอบครัวหากมื้อไหนไม่ได้กิน หรือกินไม่อิ่ม มักจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว บางครั้งกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นทันที   เด็กที่กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ จะส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ต่อสุขภาพ  นอกจากเรื่องไม่ได้กินจะเกิดเรื่องใหญ่ในครอบครัวแล้ว ยังเกิดเรื่องใหญ่ในสังคมด้วย เช่น บางคนไม่ได้กิน(สินบน)  บางคนไม่ได้กิน (ผลประโยชน์)  บางคนไม่ได้กิน (ส่วนแบ่ง) บางคนไม่ได้กิน (อำนาจ) ยังส่งผลให้เกิดเรื่องบานปลายใหญ่โตอีกมากมาย
นอกจากด้านครอบครัว และสังคมแล้ว ยังส่งผลต่อด้าน จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น  ผู้เชื่อพระเยซูไม่ยอมกินอาหารฝ่ายวิญญาณ ไม่ยอมกินพระวจนะของพระเจ้า  หรือ กินอย่างไม่เพียงพอ หรือ ไม่มีพอที่จะกินให้อิ่มได้  มักส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงต่อชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณ  คนเหล่านี้กลายเป็นปัญหาของครอบครัว คริสตจักร และสังคมตามมาด้วย  ดังคำสอนที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...
ชีวิตจะสมบรูณ์ไม่ได้ หากกินอาหารฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณไม่สมดุลเพียงพอ
'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้   แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ   ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' (มัทธิว 4.4)
ชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณจะไม่เติบโตแข็งแรง หากกินอาหารไม่เหมาะกับวัย
พี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน   เหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้   แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง   เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์ 2ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนม   มิใช่ด้วยอาหารแข็ง   เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ   และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ (1โครินธิ์ 3.2)
ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว   แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีก   ในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า   ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง 13เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น   ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม   เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ 14อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่   สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว (ฮีบรู 5.12-14)
ชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณจะเกิดปัญหาความขัดแย้งกัน หากกินอาหารผิดประเภท
ส่วนคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่นั้น   จงรับเขาไว้   แต่มิใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น 2คนหนึ่งถือว่าจะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น   แต่คนที่มีความเชื่อน้อยก็กินแต่ผักเท่านั้น 3อย่าให้คนที่กินนั้นดูหมิ่นคนที่ไม่ได้กิน   และอย่าให้คนที่มิได้กินกล่าวโทษคนที่ได้กิน   เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดรับเขาไว้แล้ว (โรม 14.1-3)
ชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณจะขาดความสุข ขาดความพึงพอใจ หากกินอาหารผิดสถานที่
กินผักเป็นอาหารในที่ที่มีความรัก  
  ก็ดีกว่ากินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความเกลียดชังอยู่ด้วย  
(สุภาษิต 15.17)
ยังมีอีกหลายประการที่ยืนยันว่า เรื่องกิน และเรื่องไม่ได้กิน รวมทั้งเรื่องที่กินไม่อิ่ม ล้วนแต่ส่งผลให้เกิดเรื่องใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ลองคิดดูหากมีการกินให้เพียงพอ กินให้ถูกที่ ถูกเวลา กินให้ถูกประเภท กินให้เหมาะสม เรื่องร้ายใหญ่โตหลายอย่างคงไม่เกิดขึ้นในชีวิต ครอบครัว และสังคม รวมทั้งปัญหาที่ไม่จำเป็นคงไม่เกิดขึ้น !
เหตุฉะนั้น ทางที่ดี มากินข้าวกับพระเยซูดีกว่า  พระองค์ทรงยืนเคาะอยู่ที่ประตูใจของคุณและผมแล้ว  หากใครได้ยินเสียง และเปิดประตูต้อนรับ  พระองค์สัญญาว่าจะรับประทานอาหารร่วมกับผู้นั้น และผู้นั้นก็จะร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ด้วย  เรื่องนี้มีนัยว่า ไม่เพียงที่พระเยซูจะเข้ามาในชีวิตของเราแล้วมากินอาหารจากเราเท่านั้น แต่พระองค์มีอาหารที่พิเศษที่ทรงเตรียมมาให้เราได้รับประทานกับพระองค์ด้วย หมายความว่า ทั้งอาหารฝ่ายร่างกาย และฝ่ายวิญญาณ จะมีอย่างบริบูรณ์ เพียงพอ สมดุล เหมาะสม ตามควรแก่กาลเทศะ ซึ่งจะส่งผลดีต่อชีวิตของเราอย่างอัศจรรย์ เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเยซู
พระเยซูตรัสกับเขาว่า   “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต   ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว   และผู้ที่วางใจในเรา   จะไม่กระหายอีกเลย (John 6:35)

คุณได้ยินเสียงเคาะประตูไหม ?  อย่ามัวรีรอ  เปิดประตูต้อนรับพระองค์ และมากินข้าวกับพระเยซูด้วยกันเถิดครับ !