31 ตุลาคม 2554

บทเรียนจากความทุกข์ โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น  
บทเรียนจากความทุกข์

เมื่อคิดถึง “ความทุกข์” หลายคนคงไม่ค่อยมีความสุข แถมยังรู้สึกไม่ชอบอีกด้วย  แต่ความจริงคือ คนเราไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้  ตราบใดที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ โปรดจำไว้ว่า ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ
แทนที่จะคิดถึง หรือเผชิญ “ความทุกข์” ด้วย “ความทุกข์ใจ” ลองหันมามองอีกด้านดูสิว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ที่เรากำลังพบเจออยู่นั้นบ้าง  หากเราเชื่อว่าไม่มีทุกข์ใดที่เกิดขึ้นโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเป็นเจ้า เราจะพบความจริงบางอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตมีความหวัง กำลังใจ และแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้  ดังคำสอนของพระเจ้าที่บันทึกไว้ว่า
ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้   และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   (1คร.10.13)
จากคำสอนนี้ มีบทเรียน 3 ประการ

ประการที่ หนึ่ง  ไม่ใช่เราคนเดียวที่กำลังมีความทุกข์โศกเศร้า
พระคัมภีร์ของพระเจ้าสอนว่า  ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน   นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย  หมายความว่า ความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา การทดลอง การทดสอบที่เราเผชิญอยู่นั้น ล้วนแต่เคยเกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ มาแล้วทั้งนั้น
ดังนั้นหากเราจะมองด้วยสายตาแห่งความหวัง และสันติสุขที่เกินเข้าใจของพระเจ้า เราจะพบว่า เราเองก็ไม่ใช่คนแปลกพิสดารอะไรกว่าคนอื่น  เราเองก็ทันสมัย อินเทรน ไม่ยกยุคตกสมัยเพราะเจอกับความทุกข์โศกเศร้ากับเขาเหมือนกัน  เราก็คน คนหนึ่งเหมือนกัน หากเราเข้าใจและคิดอย่างนี้ได้ เราสามารถเอาชนะความทุกข์โศกเศร้าโดยกำลังจากพระเจ้าได้ดีขึ้น

ประการที่ สอง  ไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ธรรม 
พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความสัตย์ซื่อ และยุติธรรม  หมายความว่า ทรงรักษาคำสัญญา และไม่ลำเอียง
หากเราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เราจะมีกำลังความคิดในทางที่ถูกต้อง และสร้างสรรค์ชีวิตมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงสัญญาว่า จะไม่ให้เกินกำลังของเรา  แสดงว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราเป็นอย่างดีว่า เราสามารถจะทนกับสภาพปัญหา หรืออึดกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน  หากพระองค์รู้ว่าเราทนไม่ได้ก็จะไม่อนุญาตให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเรา  แต่หากมันเกิดขึ้น ก็ขอให้รู้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจและทราบถึงขีดความอดทนของเราแล้ว  กล่าวคือ พระเจ้าทรงไว้ใจเราว่าเราสู้ไหว จึงอนุญาตให้เหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นกับเรา   แต่อาจจะมีคำถามว่า แล้วทำไมจึงให้ความทุกข์เกิดขึ้นกับคนของพระเจ้าละ ?
คำตอบคือ พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เกิดสิ่งร้าย แต่ด้วยธรรมชาติและสัจธรรมของชีวิตหลังความบาปเกิดขึ้นในโลก เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ความทุกข์ ปัญหา และความตายไปได้
หน้าที่เราคือไว้วางใจในพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ที่ตรัสว่า “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย   ท่านวางใจในพระเจ้า  จงวางใจในเราด้วย  (John 14:1)

ประการที่ สาม  จงมั่นใจว่าพระเจ้ามีทางออกและทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้   ในพระเจ้าเราสามารถขอบพระคุณได้ทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงมีทางออก มีแผนการและจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าเสมอ 
พระเจ้าตรัสว่า   เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า   เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ  ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ   เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า (ยรม.29.11)
เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (รม.8.28)
เหตุฉะนั้น   เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว   เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า   ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา 2โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ   ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า 3ยิ่งกว่านั้น   เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น   ทำให้เกิดความอดทน 4และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้   (รม.4.1-4)

บางครั้งเราไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แต่จากประสบการณ์พบว่า พระเจ้าทรงประทานสิ่งที่ดีกว่าแม้ในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  จึงขอให้มั่นใจในพระวจนะของพระเจ้าเสมอว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่มีทุกข์  แต่ยังมีพี่น้องร่วมทุกข์อีกมาก  ความทุกข์จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น  ขอจงมั่นใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ธรรม และมั่นใจในสิ่งดีจากพระองค์ต่อไป ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก ยังจะมีความทุกข์ลำบาก แต่เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วนั่นแหละเราจะพบกับสันติสุขที่ครบบริบูรณ์ในอ้อมอกของพระเจ้าพร้อมกับคนที่เรารักอย่างแน่นอน...แต่ในช่วงเวลาทีมีชีวิตก็ขอให้อยู่อย่างมีความสุขแม้จะต้องเผชิญกับทุกข์หรือปัญหาก็ตาม

...พบกับทางออกของชีวิตได้ในรายการ ข้อคิดเพื่อชีวิต โดย บัณฑิต ดาแว่น ที่นี่..เรามีข้อคิด ความหวัง กำลังใจ แนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ติดตามรับฟัง ดาวโหลดเป็น MP3 หรือ นำไปออกอากาศสถานีวิทยุของท่านได้

26 ตุลาคม 2554

ค่าย สคบ.เหนือ “ก้าวไกล เกิดผล”





ค่าย สคบ.เหนือ     ก้าวไกล  เกิดผล
             จากการดำเนินงานที่ผ่านมาโดยการนำของคณะกรรมการประจำวาระที่ 2 ปี 2009-2011 ตามนโยบาย 3 ร่วม คือ ร่วมประกาศพระนามพระคริสต์ ร่วมเสริมสร้างชีวิตในพระกาย และร่วมรับใช้ สามัคคีธรรม  สังเกตได้ว่า  สคบ.เหนือ มีความเข้มแข็งเติบโตขึ้นระดับหนึ่ง และยังต้องการรับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น  ประกอบกับความต้องการที่จะร่วมมือกันกับทาง สคบ.ส่วนกลาง ที่ยินดีสนับสนุนการจัดการประกาศแห่งใหม่ ๆ จึงทำให้มีแนวคิดการจัดค่ายครั้งนี้ขึ้น
               1.  เพื่อให้สมาชิกในคริสตจักรของ สคบ.เหนือ ทั้งในส่วนของคริสตจักร กลุ่ม หน่วยงาน มิชชั่นนารีได้  มาพบปะสามัคคีธรรม และหนุนใจซึ่งกันและกัน

                2.  เพื่อให้สมาชิกในคริสตจักร สคบ.เหนือ  ร่วมมือกันประกาศข่าวประเสริฐ อันจะนำไปสู่การเริ่มคริสตจักรแห่งใหม่ต่อไป
                3.  เพื่อหนุนใจให้ผู้นำ สมาชิกของคริสตจักรและกลุ่มต่างๆใน สคบ.เหนือตอบสนองนิมิต 2015  “ร่วมเป็น 1 ใน 1แสนคน เพื่อนำ 1 ล้านคนมารู้จักพระเจ้า ในปี 2015” และตอบสนองนิมิต “แบ๊บติสต์ทวีคูณ เพิ่มพูนสู่ 50,000 คนในปี 2015”




   

25 ตุลาคม 2554

ประเทศไทยใน 7 F โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

ประเทศไทยใน 7 F  (Thailand 7#F )

จากสถานการณ์ทางสังคม การเมือง ช่วงที่ผ่านมา  จนมาถึงวิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทย  อาจสรุปได้ด้วย 7 F ดังนี้

F#1:  Fight = การต่อสู้   คนไทยมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายปี  มีการการแตกแยก แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี แบ่งชนชั้น  ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่า คนไทยที่เคยรักสงบ สันติ  สามัคคีกันดีมาตลอดนั้น จะมีการต่อสู้กันได้รุนแรงขนาดนั้น  สร้างความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน มีผลกระทบทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อย่างประเมินค่าเสียหายไม่ได้

F#2:  Fire = ไฟไหม้  ในการต่อสู้กันนั้น ไม่เพียงแค่ใช้อาวุธทางลมปาก อาวุธทางสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ และสื่อต่างๆ แล้ว ยังมีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จริง จนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง  ที่น่าเศร้าคือ ปิดท้ายด้วยการ “จุดไฟเผา”  สถานที่สำคัญทางราชการ และสถานที่ทางเศรษฐกิจ ทั้งในต่างจังหวัดและใจกลางทางเศรษฐกิจในกรุงเทพ  ควันไฟดำทะมึนอบอวน และพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างความมืดครึ้ม หดหู่  ทุกข์ เศร้า เสียใจไปทั่ว

F#3:  Flood = น้ำท่วม  หลังจากยุติการต่อสู้กันไปหมาดๆ  ยังไม่ทันจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ หรือเยียวยาความบาดหมางให้กลับดีดังเดิมได้  ก็เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่  มวลน้ำมหึมาจากภาคเหนือ สู่ภาคกลางและกรุงเทพฯตามลำดับอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  หลายคนตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ?”  ธรรมชาติกำลังเอาคืน หรือทวงถามอะไรบางอย่างที่มันขาดหายไปจากน้ำมือของมนุษย์หรือเปล่า ?  บางคนคิดว่า น้ำท่วมครั้งนี้อาจเป็นการทำความสะอาดและขจัดความบาดหมางของไทยหรือเปล่า ?  เพราะมีสัญญาณของการร่วมมือกันของทุกฝ่ายมากขึ้น โดยมาร่วมกันช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย  เรียกได้ว่า น้ำท่วมไม่ใช่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังมีด้านดีที่เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมไทย ความสมานฉันท์ ปรองดอง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เริ่มจะเกิดขึ้นได้ในยามวิกฤติเช่นนี้

F#4:  Fear = ความกลัว   ความกลัว ความกังวล ความสับสน ความทุกข์ลำบากได้เกิดขึ้นกันทุกคน ทุกฝ่าย ทั้งคนไทย และต่างชาติที่เกี่ยวข้อง  ความกลัว กังวลถึงเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่ งาน อาชีพ ครอบครัว และอนาคต มันกระทบไปถึงหัวใจของผู้คนจำนวนมาก กระจายไปทั่วถิ่น แม้กระทั่งประชาคมโลกยังต้องหวั่นไหว เพราะแหล่งเพาะปลูกข้าว อาหารของโลกได้สูญสลายไปกับสายน้ำจำนวนมาก

F#5:  Future = อนาคต  ต่อจากนี้ไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร  อนาคตของโลก และชีวิตจะเป็นอย่างไร  เป็นความรู้สึกและคำถามเกิดขึ้นในใจของผู้คน  ดูเหมือน โลกนี้ ชีวิตนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  โลกกำลังแย่ลง หรือจะดีขึ้น  เราจะทำอย่างไรกันดี มีคำถามที่ยากจะหาคำตอบที่จุใจได้ในเวลานี้

F#6:  Forgive = การให้อภัย   ขอให้เกิดการยกโทษ การให้อภัย อันเนื่องมาจากความบาดหมาง การต่อสู้ การเกลียดชังกันที่ผ่านมาให้หมดสิ้น ขอให้สิ่งที่ผ่านพ้นมานั้นกลายเป็นบทเรียนสอนใจทุกคน ทุกฝ่าย แม้จะเป็นเรื่องยากแต่หวังว่าการคืนดีอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นกับคนไทย เพื่อยืนหยัดในวันนี้ และมุ่งสู่วันพรุ่งนี้ด้วยพลังแห่งรัก  ขอให้ทุก “สี” เชื่อมโยงกันจนกลายเป็น “สี-มัค-คา”  = “สามัคคี” กันต่อไป

F#7:  Faith = ความเชื่อ   ขอให้มีความเชื่อ ความศรัทธาที่มั่นคงเกิดขึ้นกับทุกคน เพื่อจะมีความหวัง กำลังใจ และสามารถผ่านพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปให้ได้   ขอให้เชื่อมั่นว่ายังมีพระผู้เป็นเจ้าที่ยังทรงรัก ห่วงใย ทรงพร้อมช่วยเหลืออยู่เสมอแม้ในยามยากลำบาก   โดยความเชื่อในพระเจ้า จะช่วยให้เกิดความรอดพ้น เกิดการให้อภัยด้วยใจรักและการคืนดีกันอย่างแท้จริง  เมื่อมีศรัทธาย่อมมีปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ดีมากขึ้น  แม้ดูเหมือนจะเกินกำลังของมนุษย์ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพระเจ้าที่จะสำแดงพระคุณ พระเมตตา  ขอเพียงเริ่มด้วยความเชื่อ ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า

          แม้จะมี 5 F  คือ  Fight, Fire, Flood, Fear และ Future ที่ทำให้เกิดต่อสู้ ร้อนรุนแรง และสูญเสีย ทำให้เกิดความทุกข์โศกเศร้า กลัว กังวล ทั้งในปัจจุบันและอนาคต  แต่ 2 F คือ Forgive และ Faith  ที่เป็นการอภัยและความเชื่อศรัทธา  เป็นหนทางแก้ไข เยียวยาทั้งในวันนี้และสืบไป  ขอจงมั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้าที่กล่าวว่า 

...องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศว่า เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองมิใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า
แล้วเจ้าจะร้องเรียกเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า  เจ้าจะแสวงหาเรา และพบเรา
เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า"  (ยรม.29.11-13 อมต.ร่วมสมัย)

*Follow the instruction below.*
1) Stare at the 4 little dots on the middle of the picture for 30 seconds 
2) then look at a wall near you
3) a bright spot will appear
4) twinkle a few times and you‘ll see a figure
5) What do you see? Or even WHO do you see?


จ้องมองภาพสัก 30 วินาที หันไปมองผนังที่อยู่ใกล้ หลับตาและรีบลืมตามองไปที่ผนัง   ในชั่วขณะนั้นจะเห็นใบหน้าใครบางคน ลองนึกดูว่าคุณเห็นใคร


17 ตุลาคม 2554

“ความเชื่อ ความหวัง ความรัก” โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น 

“ความเชื่อ  ความหวัง ความรัก”

ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติน้ำท่วมใหญ่เป็นเวลานาน  นับตั้งแต่เดือนกันยายน จนจะย่างเข้าสู่พฤศจิกายนแล้ว ดูเหมือนสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายไปมากนัก แม้หลายฝ่ายจะพยายามทุ่มเททรัพยากรทุกประเภท เพื่อสู้ และกู้วิกฤติครั้งนี้  ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นกว้างใหญ่เหลือเกิน  คาดว่าต้องใช้เงินจำนวนนับแสนล้าน และต้องใช้เวลานาน กว่าที่จะเยียวยา ฟื้นฟู ให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิมได้  หลายอย่างหากเป็นทรัพย์สิ่งของอาจจะพอทนรอได้ แต่ชีวิตของผู้คนที่ต้องอยู่ ต้องกิน ต้องดำเนินต่อไปนั้น ยากที่จะรอคอยเวลาหรือสิ่งใดๆ เพราะแหล่งงาน แหล่งทรัพยากรที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตวันต่อวันที่ผ่านมาก็จมอยู่ใต้น้ำเช่นกัน 
หากต้องเผชิญกับปัญหาเพียงชั่วครู่ ชั่วครั้ง ชั่วคราว มาแล้วก็ผ่านไป คงไม่ทำให้สภาพจิตใจบอบซ้ำมากนัก แต่นี่เป็นเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน หายครั้ง หลายหน จนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ! ...จน เครียด แล้วต่อไปจะทำอย่างไรดีละ !  ปัญหามันมาทับถมจนจมลงไปหมดทั้ง บ้าน เรือน ไร่ นา ข้าว ปลา อาหาร โรงงาน สถานที่พักผ่อน แหล่งทำกิน ที่ดินเพาะปลูก  ทั้งลูก ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง ทำได้เพียงนั่งมองน้ำที่มันเอ่อล้นและไหลไปมาเอื่อยๆ อย่างเนิ่นนาน  กลางวันมันช่างร้อนรุ่ม กลางคืนก็มืดมนแทบจะทนไม่ไหว  ท่ารถกลายเป็นท่าเรือ ทิศเหนือ หรือใต้ไม่ต่างกัน ที่นี่ ที่นั่น ที่โน่น ก็เต็มไปด้วยน้ำ น้ำ และน้ำ... สายตาที่ทอดออกไปเหมือนไร้จุดหมายปลายทางไปหมด
ขอพระเจ้าเมตตาประเทศไทย   ขอให้คนไทยได้มีความหวัง กำลังใจ ให้สามารถผ่านพ้นภัยพิบัติเหล่านี้ไปได้  ขอทรงเป็นความอุปถัมภ์ ค้ำชู ช่วยกู้วิกฤติ  ช่วยนำชีวิตของทุกคนไปในทางแห่งสันติสุข และความหวังในพระองค์  เพราะเชื่อว่า  แม้ท่ามกลางหุบเขาเงามัจจุราช พระเจ้ายังทรงดำเนินอยู่เคียงข้างประชากรของพระองค์เสมอ (สดด.23.4)  พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นความจริง  เราสามารถเข้ามาพักพิงทั้งชีวิต จิตใจในพระเจ้าได้ทุกเวลา
แม้จะต้องสูญเสียทุกสิ่ง แต่สิ่งสำคัญที่ยังต้องคงไว้ นั่นคือ “ความเชื่อ ความหวัง และความรัก”  เพราะ 3 สิ่งนี้จะยังคงอยู่  ที่เราสามารถยึดมั่นไว้ในทุกสถานการณ์ 
ขอให้มี “ความเชื่อ” ในพระเจ้าผู้ทรงพระคุณ และเมตตา ผู้ทรงรักษาพระสัญญา และรักทุกชีวิตที่ทรงสร้างมาด้วยฝีพระหัตถ์ จนกระทั่งประทานพระบุตรองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์มาพลีพระชนม์เพื่อเรา เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3.16)
ขอให้มี “ความหวัง” หวังใจในพระเจ้าพระผู้สร้าง ทรงจัดเตรียมหนทางที่ดีเสมอ หวังใจในพระเยซูผู้สละพระองค์เองเพื่อคนทั้งปวง ทรงตายเพื่อไถ่บาป ทรงเป็นขึ้นเพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้า และสัญญาว่าจะกลับมารับทุกคนที่เชื่อไปอยู่กับพระองค์อย่างมีศักดิ์ศรีนิรันดร์อันหาที่เปรียบไม่ได้ (ยน.14.1-6,2คร.4.16-18) และยังทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ ว่าจะทำทุกสิ่งที่สัญญาแน่นอน (อฟ.1.13-14)
ขอให้มี “ความรัก” อันยิ่งใหญ่ รักกันฉันพี่น้อง รักกันด้วยจริงใจ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่กัน  ดังพระเจ้าที่สำแดงความรักประเสริฐนี้แก่ทุกคนก่อนแล้ว(1ยน.4.9)  เป็นความรักที่ประทานให้ในยามที่เราหมดหวัง หมดแรงกำลัง  คือ ยังทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาปชั่วแม้ตัวเราช่วยตัวเองไม่ได้ (โรม 5.6-17)

“ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง   คือ ความเชื่อ   ความหวังใจ   และความรัก
แต่ความรักใหญ่ที่สุด” (1โครินธิ์ 13.13)



            ขอให้ 3 สิ่งนี้อยู่ในชีวิตของพี่น้องทุกคนด้วยเทอญ...

10 ตุลาคม 2554

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม โดย บัณฑิต ดาแว่น

                                                                                            คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น  

ณ ดินแดนที่ไม่มีน้ำท่วม


ท่ามกล่างวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ และยาวนานของประเทศไทย  สร้างความเสียหายเหลือคณานับต่อชีวิตทรัพย์สิน  ส่งผลกระทบไปทุกด้าน  นักวิชาการเห็นตรงกันว่าปริมาณน้ำในปี 2554 นั้น ไม่ใช่ระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  แต่เนื่องจากระยะเวลาของน้ำที่ขังอยู่ และคงที่ต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือน อีกทั้งพื้นที่รับน้ำที่เคยมี ที่จะช่วยให้น้ำกระจายออกไปตามแหล่งต่างๆ นั้นมีน้อยลง เพราะแต่ละพื้นที่ก็ไม่อยากให้น้ำละลักเข้าพื้นที่ทำกินของตน หรือพื้นที่ธุรกิจของเมือง จึงทำแนวกั้นน้ำกันอย่างแน่นหนาและสูงกว่าเดิม  ทำให้ปัญหานี้ยากที่จะแก้ไขมากขึ้น
แม้น้ำจะท่วมสูงและยาวนาน แต่น้ำใจของคนไทยยิ่งมากและยาวนานกว่า  ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ส่วนบุคคล ต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยบรรเทาทุกข์ระยะยาว ต่างภาวนาขอให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้  ยิ่งกว่านั้นขอให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจ รักใคร่สามัคคี ปรองดองกันอย่างดีต่อไปด้วย
ความกลัวต่อภัยพิบัตินั้น คงยังฝังลึกในใจของคนเรามาเนิ่นนาน  หากจะศึกษาจากบทเรียนพระคัมภีร์  มีภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นต่อมวลมนุษยชาติ คือ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์  ที่บันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ถึง 9  ซึ่งมีผู้รอดชีวิตเพียงครอบครัวของโนอาห์และสัตว์อย่างละคู่เท่านั้น  เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการแสดงสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์เห็นว่าพระองค์เป็นผู้เดียวที่ควบคุมทุกสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมา  เมื่อมนุษย์เสื่อมทรามลงอย่างน่าสลดใจ พระองค์จึงทรงหาวิธีแก้ไขและหาแนวทางช่วยให้รอดสำหรับผู้ที่เชื่อฟัง 
พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนรอด (2ปต.3.9) แต่ทั้งนี้ก็ให้เสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์ด้วย  จึงให้โนอาห์ต่อเรือใหญ่เพื่อรวบรวมมนุษย์และสัตว์ที่ยอมฟังเสียงของพระเจ้าได้มีทางรอดจากน้ำท่วม  แต่น่าเสียดายที่มีคนจำนวนน้อยที่ใส่ใจในคำเตือนและยอมรับการช่วยเหลือ  ภัยพิบัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้พระเจ้าจะสัญญาต่อมนุษย์ว่าจะไม่ให้น้ำท่วมโลกอีกต่อไป โดยให้มีรุ้งกินน้ำเป็นสัญญาลักษณ์แห่งพันธสัญญานั้นตลอดกาล  แต่ในใจของมนุษย์จากวันนั้น จนถึงวันนี้คงยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่ผลิกชีวิตและโลกนี้ไปได้เลย  แปลกแต่จริง  ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับชีวิตหากยังดำเนินชีวิตในทางชั่วร้ายต่อไป แต่มนุษย์ก็ยังไม่ไม่หยุดที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างจริงจัง  คงยังหาวิธีเอาตัวรอดไปเป็นครั้งๆ ไป  โดยไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนในอดีตมากนัก  จึงทำให้วัฏจักรของชีวิตและโลกนี้ต้องวนเวียนอยู่กับวิกฤตการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กล่าวคือ ไม่เพียงเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม แต่หมายถึงเรื่องราวความรุนแรง ความเสียหาย ภัยพิบัติ วิกฤตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ครอบครัว และสังคมอย่างที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย  ยิ่งนับวันปัญหาก็เกิดขึ้นถี่  ต่อเนื่อง รุนแรง และขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น  บางเรื่องดูเหมือนไม่น่าเป็นปัญหา แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็มี เนื่องมาจากการเอารัดเอาเปรียบ การหยิบฉวยผลประโยชน์ที่มีมากขึ้น ที่ไปซ้ำเติมหรือต่อยอดให้มันเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่เป็นนั่นเอง
พระเจ้ายังทรงรักและห่วงใยในชีวิตของมนุษย์และโลกนี้อยู่เสมอ พระองค์มีแผนการแห่งความรอดตั้งแต่ต้นมาแล้ว เพียงแต่ว่ามนุษย์ยังไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจในคำเตือน ไม่เชื่อในทางออก  และไม่ทำตามที่มีบัญชาไว้  ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  ผู้ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ทางรอดของชีวิต (ยน.14-6) และจะทำให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง (ยน.8.31-32) ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกลัวต่อภัยพิบัติของชีวิตต่อไป  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมที่ไว้สำหรับทุกคนที่เชื่อไว้วางใจ (ยน.14-1-4) เป็นที่ที่ปลอดภัย ไม่มีภัยอันตรายมากล้ำกลาย  เป็นที่ที่ความทุกข์ ความลำบาก ความเจ็บปวด การร้องไห้ การคร่ำครวญ และความตาย จะไม่มีอีกต่อไป แม้กระทั่งน้ำตาทุกหยดที่เคยหลั่งออกมาก็จะทรงเช็ดให้ (วว.21.4)  เป็นสถานที่ที่สัญญาว่าสิ่งเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว  แต่จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมเกินกว่าจะพรรณนาด้วยคำอธิบายของภาษามนุษย์  ณ ที่นั่นจะมีแต่การครอบครองของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นแสงสว่าง  เป็นสันติสุขแห่งชีวิต  กลางวันหรือกลางคืนไม่จำเป็นอีกต่อไป  เพราะตลอดเวลาจะอยู่ภายใต้พระสิริ พระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  ทุกชีวิตจะปลอดภัย เป็นสุขในพระองค์  คือบรรดาผู้ที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซู (วว.21.27)
พระเจ้าประสงค์ที่จะให้ทุกคนอยู่ที่นั่น  ณ สถานที่ ที่มีแต่สันติสุข ปลอดจากทุกข์ภัยทั้งปวง  รวมทั้งปลอดจากภัยน้ำท่วมในเวลานี้ด้วย  หนทางรอดคือ หันกลับมาสำรวจชีวิตว่า ตนเองกำลังเดินอยู่ในความเสื่อม หรือ เดินในทางสันติสุขกันแน่ !  หากต้องการเดินในทางแห่งสันติสุข ต้องกลับมาหาพระเยซูผู้ทรงเป็นทางแห่งความจริง และทางรอด ด้วยการเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์ทั้งชีวิตจิตใจ ยินดีให้พระองค์เข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดในชีวิต และตั้งใจที่ทำสิ่งดีตามพระประสงค์  นั่นแหละเป็นทางที่จะนำไปสู่ดินแดน ที่ไม่มีภัยพิบัติใดๆ อีกเลย
อยากไปอยู่ด้วยกันไหมครับ ?