30 กันยายน 2554

ฟ้าพิโรธ หรือ ธรรมชาติลงโทษ ? โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต   โดย  บัณฑิต  ดาแว่น 

ฟ้าพิโรธ  หรือ ธรรมชาติลงโทษ  ?

น้ำท่วมเชียงใหม่เข้าสู่คืนที่สอง แม่น้ำปิงเพิ่มสูงขึ้นกรุงเทพธุรกิจ29กย.54

เกษตรฯสำรวจหนี้สมาชิกสหกรณ์น้ำท่วมกว่า5พันล้านกรุงเทพธุรกิจ30กย.54

พิษ'เนสาด'เตือน 9จังหวัดใต้-ออก'เสี่ยง'น้ำท่วม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อุตุฯเตือน 9 จังหวัดตะวันออก-ใต้ตะวันตกฝนตกหนักระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก คลื่นลมในทะเล

ข่าวน้ำท่วมล่าสุด ศอส.เตือน 9 จังหวัดน้ำป่าไหลหลาก เกาะติดสถานการณ์น้ำท่วม

ศอส.เตือน 9 จังหวัดภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกเตรียมการรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ขณะที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฝ้าระวังดินโคลนถล่ม 30 ก.ย. 54 


ข่าวหลายปีก่อน....ชาวเหนือ  ชาวอีสาน  กำลังเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วม เมืองหลายเมืองจมบาดาล เป็นอัมพาตไปหมด และน้ำที่ไหล่บ่านี้ อีกไม่นานก็จะไหลลงสู่ภาคกลาง ก่อนลงสู่อ่าวไทย  รัฐสูญงบประมาณบูรณะซ่อมแซมภายหลังน้ำท่วม ปีละ ไม่ต่ำกว่า  7-8 พันล้านบาท…” (คมชัดลึก 16ก.ย.46)
น้ำป่าเขาใหญ่ บ่าถล่มรุนแรง ดับสังเวย 4 ศพ ปราจีนฯ หนัก นครนายก อ่วม (ไทยรัฐ 23 กย.46)
 “อีสานแล้งหนัก  ข้าวกล้าแห้งตาย  วัว ควายไม่มีน้ำกิน  ชาวบ้านต้องออกไปหาแหล่งน้ำไกลนับ 10 กิโล(บางปีก็มีข่าวอย่างนี้)

ข่าวในลักษณะนี้ คงเป็นที่คุ้นเคยกันดี  ถึงคราวแล้งก็แล้งจนไม่มีน้ำสักหยด ผืนดินแตกระแหง  แต่พอคราวฝนก็กระหน่ำจนท่วมท้น  ทำให้เรือกสวน ไร่ นา ชีวิต  ทรัพย์สิน  ของผู้คนเสียหายเหลือคณานับ   บริเวณที่อยากให้มีน้ำกลับไม่มี แต่ ที่ไม่ต้องการน้ำมากนัก กลับมีมากเกินความต้องการ   ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย 
อะไรเกิดขึ้นกับโลกของเรา !     หรือว่า  ฟ้ากำลังพิโรธ  โกรธแค้นมนุษย์ ที่กำลังเอารัดเอาเปรียบกันและกัน  ทำร้ายกัน  แย่งชิงผลประโยชน์จากคนอื่นมาเป็นของตน  แม้แต่คนในครอบครัว  คนที่เคยรักกันมากในช่วงเวลาหนึ่งยังฆ่ากัน เพียงแค่หวาดระแวงสงสัยว่าอีกฝ่ายเอาใจออกห่าง  บางครอบครัวพี่น้องฆ่ากันอย่างเหี้ยมโหด เพื่อหวังมรดกก้อนโต หวังค่าประกันชีวิต  หรือหวังจะให้คนนั้นพ้นทางชีวิตของตนไป  เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน  กลางวันแสก ๆ  สถานที่ ที่เคยคิดว่าน่าจะปลอดภัยกลับมีอันตรายอย่างคาดไม่ถึง คนเดินข้ามสะพานลอยเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากรถบนถนน กลับต้องมาบาดเจ็บถูกทำร้ายจากโจรใจชั่ว  ซอยเข้าบ้านที่เคยสัญจรทุกวัน กลายเป็นจุดอันตรายที่ผู้หญิงบางคนถูกจับไปข่มขืน  อยู่ใกล้กับป้อมตำรวจเพียงไม่กี่เมตร ยังถูกจี้ชิงทรัพย์โดยไม่มีใครได้ยินเสียงร้องให้ช่วย    ฝากลูกเล็ก ๆ ไว้กับคนใกล้ชิด ยังถูกทำร้ายทางเพศ  คิดว่าเด็กอยู่ในโรงเรียนจะปลอดภัย บางคนยังถูกจับไปเรียกค่าไถ่  พบหน้ากันอีกครั้งกลายเป็นขอทาน ร่างกายพิการไปแล้ว  นี่แหละน่า  ! ที่เขากล่าวกันว่า อย่าไว้ใจทาง  อย่าวางใจคน  จะจนใจเอง 
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  สังคมนี้  โลกนี้ เป็นอะไรไปแล้วหรือ  ไหนเราชื่นชมกันนักหนาว่า เราอยู่ในยุคแห่งอารยธรรมที่ล้ำเลิศ มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเกินกว่าสิ่งใด ๆ   เทคโนโลยีที่ก้าวไกล  ทำอะไรที่ไหน เหมือนใกล้กันแค่คืบเดียว  ทุกคนสามารถรู้เห็นได้พร้อมกัน   เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส  ภาพและเสียงจะแสดงออกมาทันทีตามต้องการ  แต่ไฉนจิตใจของผู้คนจึงไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้น เหมือนกับเทคโนโลยีเหล่านั้นบ้าง ?    หันไปมองสภาพแวดล้อม  จากผืนป่าเขา ลำเนาไพร ที่เคยเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี  ทุ่งหญ้าที่สดสวย  ห้วย น้ำ ลำคลอง แม่น้ำที่ไหลเรื่อยไม่ขาดสาย  ยามฝนมีความอุดม ยามร้อน และหนาวก็พออุ่นกายสบายใจ สำนวนที่กล่าวว่า ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว  ช่างเป็นภาพที่แสนชื่นใจ  คนที่อายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป  เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อถึงเวลาอาหาร ก็ก่อไฟตั้งหม้อแกงให้น้ำเดือดรอไว้     แล้วนำแหไปทอดลงแอ่งน้ำตามทุ่งนา  มั่นใจได้ว่าสามารถนำปลามาทำอาหารได้แน่นอน    หลังจากเสร็จสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว  หรือช่วงน้ำหลาก เป็นโอกาสทองของชีวิตที่จะมีความสุข ความผูกพันฉันท์พี่น้อง    ด้วยประเพณีรื่นเริงต่าง ๆ     
อะไรเกิดขึ้น !   ทุกวันนี้ นอกจากในน้ำไม่มีปลา ในนาไม่มีข้าวแล้ว  น้ำก็แห้ง หรือไม่ก็ท่วม นาก็หาย กลายเป็นปัญหา และมีหนี้สิน เกิดความทุกข์ยาก ข้าวยากหมากแพงตามมาอีกต่างหาก  จากการสังเกต   ต้นไม้ที่เคยอยู่ตามป่าเขา ก็กลายมาเป็นเสาเรือน ประดับบารมีของผู้มีอันจะกินบางคน  ต้นไม้ที่เคยให้ร่มเย็น คอยทำหน้าที่ซับน้ำยามน้ำหลาก และเก็บน้ำยามน้ำน้อย ทำให้เกิดสมดุลทางระบบนิเวศ เริ่มหดหายไป  เสียงเรียกร้องเพื่อให้สร้างเขื่อนเก็บน้ำ ลดกระแสความแรงของน้ำ  หรือเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า  จึงมีทั้งฝ่ายสนับสนุน และคัดค้านอยู่เสมอ    เมื่อเกิดน้ำท่วมหรือฝนแล้งแต่ละครั้ง ก็จะมาวิเคราะห์กันว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร  บ้างก็ว่า เพราะฟ้าพิโรธ บ้างก็ว่า เพราะธรรมชาติลงโทษ ที่มนุษย์เราทำในสิ่งไม่ดีเอาไว้ 
มาร่วมกันค้นหาเหตุแห่งทุกข์ และร่วมกันหาวิธีแก้ไข  ดีกว่าหรือไม่ ?   อย่ามัวแต่คิดว่า รอให้คนนั้น คนนี้ ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ก่อน  ถ้าตัวเราไม่เริ่มแล้ว  จะไปโทษคนอื่น โทษฟ้า  โทษดิน  คงไม่เกิดประโยชน์อะไร  บางครั้งฟ้าอาจจะยังไม่ทันพิโรธ ธรรมชาติยังไม่ทันลงโทษ    แต่ตัวเรานี่แหละ ทำร้ายตัวเอง   ทำร้ายกันและกัน   ทำร้ายสิ่งแวดล้อมจนหมดสิ้นเสียก่อน 
หากไม่เริ่มสำรวจชีวิตของตน และเริ่มทำสิ่งที่ดีเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้  คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว !

14 กันยายน 2554

“ออกไป...จับปลา” โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต  โดย บัณฑิต  ดาแว่น

“ออกไป...จับปลา”

ท่ามกลางรุ่งเช้าแห่งความว่างเปล่า ล้มเหลว ไม่สมหวังดังใจในการจับปลาที่ผ่านมาตลอดคืนของชาวประมงมืออาชีพอย่างซีโมนและเพื่อน  พวกเขาทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การซักอวน ทำความสะอาดอุปกรณ์จับปลาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แบบซังกะตายปนความสิ้นหวังเล็กน้อย  (ลูกา.5-1-11)
แต่หลังจากพระเยซูขึ้นมาบนเรือของเขา และใช้เป็นเวทีสั่งสอนประชาชนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสกับซีโมนว่า   “จงถอยออกไปที่น้ำลึก   หย่อนอวนลงจับปลา”   ผมลองจินตนาการไปว่าซีโมนคงแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง  เขาคงจะขอให้พระเยซูทวนคำสั่งอีกครั้ง พลางคิดในใจว่า “อาจารย์ว่าอะไรนะ ออกไปจับปลาอีกนะรึ! นี่มันกลางวันแสกๆ”  แม้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรต่อคำสั่งนั้น แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาเป็นการตอบสนองคือการอธิบายเหตุผลว่าตลอดทั้งคืนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้ว แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวของอาจารย์เยซู  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า  ...ซีโมนทูลตอบว่า   “พระอาจารย์เจ้าข้า   ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย   แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์” เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก   จนอวนของเขากำลังปริ  เขาจึงทำสำคัญแก่เพื่อนที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย   เขาก็มาช่วย   แล้วได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ   จนเรือเพียบ...
ผลจากการเชื่อฟังและกระทำตามพระดำรัสพระเยซูในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการพลิกผันสถานการณ์ ความเข้าใจ และชีวิตของซีโมนและเพื่อนไปอย่างสิ้นเชิง  นอกจากพวกเขาจะได้ปลาจนเต็มลำเรือ จนต้องขอให้คนอื่นมาช่วยแบ่งปลาไปที่เรืออีกลำแล้ว ยังส่งผลต่อความเข้าใจของเขาต่อพระเยซูว่าไม่ใช่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาอีกต่อไป  เขากราบลงแทบเท้าพระเยซูแสดงความเคารพอย่างสูง  อีกทั้งรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยอันเนื่องจากชีวิตที่สกปรกและผิดบาปไม่คู่ควรที่จะอยู่ใกล้องค์ผู้สะอาดบริสุทธิ์  เขาพูดออกมาด้วยท่าทีที่ยำเกรงว่า  “พระองค์เจ้าข้า   ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิด   เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป”  แต่พระเยซูรู้ถึงชีวิตของพวกเขและทรงมีแผนการประเสริฐสำหรับเขา ทรงเมตตาและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาให้กลายเป็นผู้ที่นำคนมารู้จักพระเจ้าต่อไป พระเยซูตรัสแก่ซีโมนว่า   “อย่ากลัวเลย   ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” เมื่อเขานำเรือมาถึงฝั่งแล้ว   เขาก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง   ตามพระองค์ไป...  
  ท่ามกลางความวุ่นวายในชีวิตของเรา  หลังจากเหน็ดเหนื่อย ผิดหวังกับสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา ทั้งเรื่องชีวิต การทำงาน ครอบครัว คริสตจักร และการรับใช้  ขอให้มั่นใจว่า ยังมีโอกาสใหม่ที่พระเยซูพร้อมประทานให้เราได้ด้วยเช่นกัน  เพียงแต่เราจะยอมฟังเสียงพระดำรัสของพระองค์ กระทำตาม ด้วยใจเชื่อมั่นศรัทธา  แม้จะมีประสบการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก  เคยลองมาหลายครั้ง  พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่สำเร็จสักที และดูเหมือนสถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยมากนัก  ขออย่าหมดหวัง หมดกำลังใจแต่เพียงเท่านี้เลย  เพราะพระเยซูสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส  ทรงสามารถทำสิ่งที่เกินความเข้าใจ เกินความสามารถของมนุษย์ได้ และที่สำคัญทรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้... ฟังเสียงของพระองค์และทำตามเมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึก   หย่อนอวนลงจับปลา” 
ที่ผ่านมาคริสเตียนไทยมีเป้าหมายจะนำคนมารู้จักพระเจ้ามากขึ้น  เช่น นิมิต 2000 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีคริสเตียน 6 แสน มีคริสตจักร 6 พันแห่ง ผู้นำ 6 พันคน และมีมิชชั่นนารี 60   ต่อมามีนิมิต 2010 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีคริสตจักรทุกอำเภอ กลุ่มคริสเตียนทุกตำบล และคนได้ยินข่าวประเสริฐทุกหมู่บ้าน  แม้เราจะบรรลุเป้าหมายระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงระดับสูงสุดจริงๆ  จำนวนคริสเตียนยังอยู่ในระดับน้อยมากเมื่อเทียบจำนวนประชากรไทย 
ล่าสุดเรามีเป้าหมายใหญ่ร่วมกันอีกในนามนิมิต 2015 ที่ต้องการมีคริสเตียน 1 ล้านคน ณ ปัจจุบันปี 2011 มีอยู่ประมาณ 4 แสนคน  หากมองด้วยกำลัง สติปัญญา และความสามารถของมนุษย์ รวมทั้งสถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนไม่ง่ายเลยที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แต่ “โดยพระองค์ เราทำได้”  “โดยพระเจ้า เราเชื่อว่าเป็นไปได้”  นี่จะเป็นสัญญาใจอีกครั้งของคริสเตียนไทยที่จะยึดมั่นในพระสัญญา และกระทำตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์
อย่าให้ความล้มเหลว ความผิดหวังในอดีต หรือ สถานการณ์ในปัจจุบัน มาปิดกั้นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่พร้อมจะช่วยเราให้พบกับสถานการณ์ใหม่ ความเข้าใจใหม่ และชีวิตใหม่ เหมือนอย่างที่ซีโมนเปโตรและเพื่อนได้รับมาแล้ว  สิ่งสำคัญคือ เราต้อง “ออกไป และจับปลา” ตามพระดำรัสของพระเยซูเสียก่อน  จึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการเป็นผู้จับคนดั่งจับปลาต่อไปได้
คุณพร้อมจะออกไปจับปลาด้วยกันมั๊ยครับ ?