17 พฤษภาคม 2554

คนไทยต้องการพระเจ้า โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น




คนไทยต้องการพระเจ้า




ณ เวลานี้ สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “คนไทยต้องการพระเจ้า” ที่สำคัญคือพวกเขากำลังรอคอยข่าวดีจากพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ สังเกตจากสถิติการตอบสนองพระกิตติคุณและการเกิดใหม่ของคริสตจักรโดยรวมพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด หนังสือ คริสเตียนโปรเตสแตนท์ในประเทศไทยปี 2009 โดย มนตรี วิซเซอร์ กล่าวว่า “การขยายของคริสตจักรไทยเป็นการขยายจากคนที่เชื่อใหม่ 65 เปอร์เซ็นต์ของคริสตจักรไทย ทั้งหมดเกิดในครอบครัวที่ไม่เป็นคริสเตียน เพราะวันนี้อัตราการขยายคริสตจักรโดยคนที่มาเชื่อใหม่สูงกว่าการขยายในอดีต อัตราส่วนของคริสตจักรไทยที่ไม่ได้เกิดในครอบครัวคริสเตียนสูงกว่าอัตราส่วนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่หนุนใจอย่างมากและทําให้เรามีความหวังสูงขึ้นต่ออนาคตของคริสตจักรไทย”

สืบเนื่องมาจากการที่คริสตจักรไทยร่วมมือกันประกาศพระกิตติคุณทั่วไทยด้วยนิมิต 2010 ให้ทุกอำเภอมีคริสตจักร ทุกตำบลมีกลุ่มคริสเตียน และทุกหมู่บ้านได้ยินพระกิตติคุณ ผลปรากฏว่าทุกเป้าหมายประสบความสำเร็จอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าข่าวประเสริฐได้กระจายไปทั่วแผ่นดินไทยแล้ว เพียงแต่รอการตอบสนอง และการติดตามอย่างต่อเนื่องของคริสเตียน ที่จะเข้าไปสืบสานสายสัมพันธ์ ติดตาม เลี้ยงดู ฟูมฟัก และพัฒนาจนกลายเป็นกลุ่ม หรือคริสตจักรของพระเจ้าต่อไป

จากปรากฏการณ์ภายในของคริสตจักรไทยนี้พอจะบ่งชี้ได้ทางหนึ่งว่า คนไทยต้องการพระเจ้ามากขึ้น และหากจะมองปรากฏการณ์ทั่วไปของคนไทยด้วยยิ่งชัดเจนมากขึ้น คนไทยกำลังโหยหาความจริงของชีวิต อยากรู้อนาคตของตนเอง ต้องการความมั่นคง รวมทั้งมีความใส่ใจเรื่องศาสนา ใฝ่หาพระเจ้า กล่าวคือ คนไทยหิวกระหายฝ่ายจิตวิญญาณ และต้องการความรอดนั่นเอง เพียงแต่พวกเขาอาจจะยังไม่พบหนทางที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ จึงแสวงหาสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นทางรอด เช่น การไปหาหมอดูเพื่อทำนายทายทัก การเสี่ยงโชคเพื่อความมั่นคงในชีวิตทรัพย์สิน การทุ่มเทสร้างศาสนวัตถุอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสะสมบุญบารมี การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าว พึ่งพาไสยศาสตร์อำนาจลึกลับเพื่อความสุขใจและความรุ่งโรจน์ เป็นต้น


คนไทยต้องการพระเจ้า พวกเขาต้องการความรอด ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน พวกเขาหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ พวกเขาต้องการความสุขและความสำเร็จ พวกเขาต้องการสิ่งดีทั้งโลกนี้และอนาคต พวกเขารอคอยคำตอบ กำลังรอคอยความหวัง...เพียงแต่ใครละ! จะเป็นผู้หยิบยื่นสิ่งดีต่างๆที่กล่าวมาให้อย่างยั่งยืนมั่นคง คงจะเป็นใครและสิ่งใดไปไม่ได้ นอกจากข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ พระวจนะแห่งความจริง ความสว่างแห่งชีวิตจากองค์พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ที่ผู้เชื่อทุกคนจะช่วยกันออกไปตามพระมหาบัญชา นำพวกเขามาเป็นสาวกของพระเจ้า เข้าเป็นประชากรของพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเติมเต็มในชีวิต พิชิตความทุกข์ยาก พ้นจากความบาปผิด และได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์สืบไป
ความเป็น ความตาย... !
ความรอด ความล้มเหลว... !
ความรุ่งโรจน์ ความร่วงโรย ... !
ของคนไทย สังคมไทย ประเทศไทย ขึ้นอยู่กับคุณและผมแล้วละครับ
มาร่วมเป็น 1 ใน 1 แสน เพื่อนำ 1 ล้านคนมารู้จักพระเจ้าในปี 2015 โดยพระเจ้า...เราทำได้




อย่าลืม ! คนไทยต้องการพระเจ้า และพวกเขากำลังรอคุณอยู่



ออกไปหาพวกเขาด้วยกันไหมครับ ?






แหล่งอ้างอิงข้อมูล ห้องสมุดคริสเตียนไทย http://www.thaicrc.com/

14 พฤษภาคม 2554

Thailand congress7.5

การประชุมเพื่อการประกาศพระกิตติคุณครั้งที่ 7.5 วันที่ 10-13 พฤษภาคม 2011 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต, กรุงเทพ ประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมกว่า 5 พันคน มีเป้าหมายที่จะร่วมกันเป็น 1 ใน 1 แสนคน เพื่อนำ 1 ล้านคน มารู้จักพระเจ้า ในปี 2015 "With Him...We Can"

ผมตั้งใจว่าจะเป็นหนึ่งคนที่จะนำคนมารู้จักพระเจ้า แล้วคุณละ ! จะเป็นอีกคนหนึ่งหรือไม่ ?

02 พฤษภาคม 2554

พวกเราไม่รู้...พระเยซูมีคำตอบ โดย บัณฑิต ดาแว่น


คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
พวกเราไม่รู้...พระเยซูมีคำตอบ
วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” John 20:1-
ความตั้งใจของมารีย์ชาวมักดาลา ในการมาที่อุโมงค์ฝังศพเช้าตรู่วันอาทิตย์ก็เพื่อจะมาดูพระศพของพระเยซู และจัดการดูแลตามธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ พระศพของพระเยซูหายไป ! สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในเวลานั้น คือ การวิ่งไปบอกเรื่องนี้กับสาวกของพระเยซู และหลังสาวกได้ฟังข่าวพวกเขาก็วิ่งไปดูที่อุโมงค์ ด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อสาวกทั้งสองคือ ยอห์น และเปโตรได้เห็นอุโมงค์ว่างเปล่า มีเพียงผ้าพันพระศพจึงเชื่อตามคำที่มารีย์ชาวมักดาลามาแจ้งข่าวว่า พระศพของพระเยซูหายไป แล้วพวกเขาก็กลับบ้านไปด้วยความงุนงงสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น ! ตามการบันทึกว่า ...แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน...
น่าสังเกตว่าลูกศิษย์ของพระเยซู ทั้งผู้หญิง (มารีย์) และผู้ชาย (เปโตร และยอห์น) รวมทั้งคนอื่นๆ ในเวลานั้นต่างตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกันคือ “วิ่ง” หลังจากได้เห็นอุโมงค์ว่างเปล่า และไม่พบพระศพของพระเยซู สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ “วิ่ง” ด้วยสุดชีวิตเพื่อจะหาทางรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การวิ่งดังกล่าวไม่ว่าการออกวิ่งได้เร็วกว่าของเปโตร หรือ การสามารถวิ่งแซงและไปถึงก่อนของยอห์น ก็ไม่อาจได้รับคำตอบที่แท้จริง เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจถ้อยคำของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู (ข้อ 9) แม้พระองค์จะสอนเขาหลายครั้งก่อนหน้านั้นก็ตาม
ชีวิตของเราทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับบรรดาสาวกของพระเยซูในขณะนั้น คือ เวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ส่วนใหญ่มักจะ “วิ่งไปวิ่งมา” และสุดท้ายก็พบว่ายังไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง หลายครั้งวิ่งชนกันเอง เพิ่มความเจ็บปวด ปัญหาตามมาอีก เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การตะเกียดตะกายด้วยกำลังสติปัญญา หรือแนวคิด ความตั้งใจของมนุษย์เอง แต่อยู่ที่การเปิดเผยของพระเจ้า และการยอมรับในคำสอนนั้น ด้วยความศรัทธา แต่หลายครั้งพบว่าเรามักให้คำสอนดีๆ หลายอย่างผ่านเลยไป กว่าจะหวนคิดถึงก็ปล่อยให้เวลา หรือเหตุการณ์บางอย่างมากระตุ้น ซึ่งบางครั้งก็สายเกินไปแล้ว
อีกประการหนึ่งจากบทเรียนของชีวิตสาวกพระเยซูตอนนี้คือ การที่เรามีความตั้งใจ หรือเป้าหมายของตนเองไว้แล้วว่า ต้องการเห็นอะไรตามความคิดของตนเองเท่านั้น อาจทำให้เราพลาดเป้าหมายที่ดีกว่าซึ่งพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไปก็ได้ ดังเช่นกับสาวกและผู้ติดตามพระเยซูที่ตั้งใจและมีความคิดอยู่แล้วว่าจะไปดูพระศพของพระเยซูที่อุโมงค์เหมือนอย่างที่เคยกระทำมากับคนที่เขารักอื่นๆ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็พบความว่างเปล่า และตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อพระศพของพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น กว่าที่พวกเขาจะรู้ความจริงว่าคืออะไร ก็ต่อเมื่อได้รับความเมตตาจากพระเยซูผู้ที่ทรงอดทนต่อความไม่ใส่ใจ ไม่เข้าใจ และความไม่เชื่อของพวกเขาตลอดมา พระเยซูปรากฏให้เขาเห็น อธิบายให้เขาฟัง สำแดงบางอย่างให้มั่นใจอีกหลายครั้ง จนพวกเขาไม่มีข้อแก้ตัว ข้อสงสัยอีกแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อประกาศพระนามพระเยซูผู้ทรงพระชนม์ อย่างไม่เกรงกลัวต่อความทุกข์ยากและความตายอีกเลย
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ? คุณตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน ที่ไม่คาดคิดอย่างไรบ้าง ? วิ่ง ๆๆๆ ไป วิ่งๆๆๆมา หรือไม่ ? หรือ มีข้อสรุปของตนเองไว้หมดแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ โดยไม่มองไปยังเบื้องบน หรือมองถึงพระประสงค์ของพระเจ้าเลยว่ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่หรือไม่ ? (ยรม.33.3) หากเป็นเช่นนั้นต่อไป ผลสุดท้ายเราคงคล้ายกับสาวกและผู้ติดตามพระเยซูที่พวกเขาได้แต่พูดว่า “พวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” เพราะต้องการเห็นแค่ศพเท่านั้น ทั้งที่พระเจ้ามีสิ่งยิ่งใหญ่กว่านั้นที่จะให้เขา
พระเจ้าสอนว่า วิถี ความคิด ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากวิถี และความคิดของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง มนุษย์มีความจำกัดทุกด้าน แต่พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินจะพรรณนา(อสย.55.8-10) แล้วอย่างนี้ เราควรวิ่งเข้าหาใคร และเราควรมีความมุ่งหมายในชีวิตตามใครดี ?
เพราะพวกเราไม่รู้...แต่พระเยซูมีคำตอบ ลองพิจารณาดูนะครับ !