29 มกราคม 2554

รวมพลังแบ๊บติสต์น่าน

รวมพลังแบ๊บติสต์น่าน

วันที่ 25-27 มกราคม 2011 มีการรวมพลังคริสตจักรแบ๊บติสต์ในจังหวัดน่าน
The ministry of Northern Thailand Baptist Churches Association in Nan Province on January 25-27;2011

1. The Leadership Training Hmong Baptist Nan การอบรมผู้นำม้งแบ๊บติสต์น่าน ที่คริสตจักรเชียงกลางบ๊บติสต์ โดยวิทยากรพี่น้องม้งจากอเมริกา รวมทั้งมีการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางและหนุนใจให้พี่น้องม้งก้าวไปสู่ “ม้งแบ๊บติสต์ในประเทศไทย” ต่อไป

2. Praise The Lord for a new church “Pang kae Baptist Church” เปิดคริสตจักรม้งอีกแห่ง คือ คริสต
จักรปางแกแบ๊บติสต์ ซึ่งช่วงเริ่มต้นนี้ยังอยู่ในการดูแลคริสตจักรเชียงกลาง

3. Time for Worship&Pray of Nan Baptist Churches การนมัสการและอธิษฐานรวมพลังของคริสตจักรแบ๊บติสต์ในจังหวัดน่าน ที่นัดรวมพลังกันทั้งคริสตจักรชนเผ่าและคนเมือง

Bandhit Dawaen
The Servant of God for NTBCA

24 มกราคม 2554

จอมทอง-ดอยคำ ในความจำและพระพร

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น


จอมทอง-ดอยคำ ในความจำและพระพร
วันที่ 22-23 มกราคม 2011 ผมมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคริสตจักร 2 แห่งที่กำลังจะเข้ามาร่วมพันธกิจด้วยกัน เริ่มจากที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ได้พบปะกับผู้นำหญิงคนเก่ง ที่ทุ่มเทชีวิตให้การรับใช้ โดยทำงานเลี้ยงชีพและดูแลลูกแกะด้วยหัวใจรัก
แม้ใช้เวลาด้วยกันไม่นานแต่ได้เห็นท่าทีแห่งมิตรภาพ ด้วยอาหารมื้อเที่ยงจากร้านที่ท่านชื่นชอบ และพาไปชมสถานที่ก่อสร้างอาคารนมัสการที่ใหญ่โต พร้อมรองรับผู้คนที่จะเข้ามาอย่างสง่างามสมพระเกียรติองค์พระผู้เป็นเจ้า

หลังจากขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อกันและกัน ผมเดินทางต่อไปยังอำเภอฮอด พบกับครอบครัวผู้รับใช้ที่น่ารักให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่มีภาระใจให้กับชาวม้งที่ดอยคำ ทุ่มเททำงานประกาศพระกิตติคุณที่บนดอยคำกว่า 8 ปีมาแล้ว แม้จะต้องทิ้งโอกาสการเป็นหัวหน้ากุ๊กจากโรงแรมชื่อดัง แต่ไม่ทำให้ท่านย่อท้อ ยอมลงทุนลงแรงด้วยสองมือปลูกพืชผักบนดอยสูงกว่า 2 พันเมตรจากระดับน้ำทะเลอย่างต่อเนื่องเพื่อยังชีพและใช้เป็นสื่อในการเข้าถึงหัวใจของชาวม้งที่ท่านผูกพันด้วยความรักจากพระเจ้า หลังจากสนทนากันเบื้องต้นแล้ว เราขับรถมุ่งหน้าไปยังดอยคำ แม้ระยะทางจะใกล้ประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง ด้วยสภาพถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อราวผิวดวงจันทร์ทำให้นั่งตัวโยกไปมาตามการกระแทกของรถตลอดเวลา ประกอบกับมีฝุ่นละเอียดสีน้ำตาลเหลืองที่หนาเตอะเต็มพื้นถนนลอยฟุ้งตามท้ายและปกคลุมไปทั้งคันรถ จากรถสีขาวกลายเป็นน้ำตาลเหลืองมองดูคล้ายทองคำไปในทันที ทำให้ผมกลับมาคิดว่านี่กระมังที่เขาเรียกกันว่า “ดอยคำ” ซึ่งต้องหาโอกาสถามความจริงเรื่องนี้จากผู้รู้ต่อไป นอกจากถนนขรุขระและฝุ่นหนาแล้วยังสูงชัน คดเคี้ยว แคบและรกไปด้วยพงหญ้าข้างทาง บางช่วงมีการเทปูนเป็นแนวยาวเฉพาะสองล้อรถเท่านั้น ซึ่งต้องใช้สมาธิและความกล้าในการขับขี่เป็นอย่างสูง ยิ่งขณะมีรถวิ่งสวนทางมาก็ทำให้ผมตัวสั่นไปเหมือนกัน ก่อนขึ้นไปอาจารย์ผู้นำทางบอกว่าจะเป็นผู้ขับ แต่ผมเลือกที่จะเป็นโชเฟอร์เอง แม้จะเคยขับรถขึ้นดอยมาพอสมควร แต่ครั้งนี้ยอมรับว่ายากลำบากไม่น้อย สังเกตจากท่าทางของอาจารย์ที่นั่งเกร็ง และคอยกำกับให้เลี้ยวซ้าย ขวา กดแตร สลับกับการสนทนาสารพัดเรื่องไปเรื่อยๆ โดยพระคุณพระเจ้าเราถึงที่หมายปลอดภัย ผมรู้สึกหายใจโล่ง แต่ในใจคิดว่า “แล้วตอนกลับจะทำอย่างไรเนี่ย !! ”














จากการเดินทางครั้งนี้ทำให้ได้รับบทเรียนแบ่งปันกับพี่น้องว่า การที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเห็นปลายทางทั้งหมดได้นั้น ส่งผลให้เรามีความเชื่อ ไว้วางใจ และพึ่งในพระเจ้ามากขึ้น ตรงกันข้ามหลังรู้เส้นทางทั้งหมดแล้วกลับมีความกลัวขึ้นมาจับใจ แสดงว่าความรู้ ความสามารถ หรือการมีเครื่องมือที่ดีๆ ไม่ใช้เครื่องรับประกันว่าชีวิตเราจะดีขึ้นตามไปด้วย... ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำอย่างปลอดภัย ผมนำเรื่องนี้ลงมาแบ่งปันกับอนุชนที่จอมทองอีกครั้งว่า การที่เรามีความรู้ มีความเก่ง ความสามารถมากขึ้น บางทีทำให้เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าน้อยลง ดังนั้นเราจึงขอบคุณพระเจ้าที่บางครั้งเราไม่รู้ ไม่สามารถ ไม่พร้อมและอ่อนแอหลายอย่าง เพื่อเราจะพึ่งในพระเจ้าและเห็นฤทธิ์เดช เห็นพระคุณของพระองค์ปรากฏมากขึ้น ดังพระวจนะที่ผ่านทางประสบการณ์ของเปาโลที่บันทึกว่า ...แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (II Corinthians 12:9-10)

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่อยู่บนดอยคำ 1 คืน 2 วัน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ค่ำคืนที่มีเพียงแสงดาว และไฟฉายส่องทางขณะที่เดินไปตามไหล่เขาของหมู่บ้าน ทำให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้รับใช้ที่ทุ่มเทและหาแนวทางที่จะเข้าสู่ชุมชนด้วยหัวใจแห่งรักที่ยิ่งใหญ่ แม้การเกิดผลด้านปริมาณอาจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่เชื่อว่าคุณภาพฝ่ายวิญญาณนั้นมากเกินกว่าจะประเมินได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคริสตจักรและประชากรของพระองค์ที่นั่นแน่นอน

05 มกราคม 2554

พันธกิจ สคบ.เหนือ พย.-ธค.2010

พันธกิจ สคบ.เหนือ พ.ย.-ธ.ค.2553
Northern thailand baptist churches association (NTBCA)
Nov.-Dec.2010

1. สัมมนาผู้นำร่วมกับศิษยาภิบาลภาคตะวันออกที่ คจ.กำแพงเพชร โดย อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี หัวข้อ “นิมิตของผู้นำ” 5-8 Nov. 2010 Training Leadership with The eastern thai Baptist in Kampang-paet Baptist church by Pastor Prayoon Limahutasaranee “Vision of Leader”

2. แสดงความยินดีในโอกาสสถาปนา ศาสนาจารย์ มณทนา สุขปัน คจ.สามัคคีธรรม ป่างิ้ว เชียงราย 14 Nov. 2010 Congratulation to Rev.Montana Sukpan of Fellowship Church in Wiang-pa-pao Chiang-Rai

3. ในนาม “พันธกิจคนเหนือ” แสดงความยินดีในงานรวมญาติ คจ.สุพรรณลาต ร่องฟอง แพร่ หัวข้อ “ใต้ร่มพระคุณ” 4-5 Dec.2010 Congratulation for celebration of Supannalaat church (Rong Fong) in Phrae

4. เยี่ยมเยียน คจ.สร้างสรรค์เชียงใหม่ และลำพูน ที่กำลังสมัครเป็นสมาชิก สคบ. 12 Dec.2010 Visit to Creation Church Chiang-mai and Laampoon

5. 19 ธค. เทศนาคริสตมาส “พระทรงบังเกิดโลกจงยินดี” ที่ คจ.ร่มเกล้านาไร่เดียว จ.อุตรดิตถ์
Dec.19 Christmas RomKlao Church Uttaradit

6. 25-26 ธค. ร่วมฉลองคริสตมาสที่ คจ.สามัคคีธรรมป่างิ้ว เวียงป่าเป้า เชียงราย
Dec.25-26 Christmas Fellowship Church in Wiang-pa-pao Chiang-Rai
Bandhit Dawaen
The servant of God for NTBCA

http://bandhit.blogspot.com/

03 มกราคม 2554

ก้าวต่อไป...ก้าวอย่างไรดี โดย บัณฑิต ดาแว่น

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
ก้าวต่อไป...ก้าวอย่างไรดี

"จงระวังให้ดี มิฉะนั้น ใจของท่านจะจมอยู่กับ ความสนุกบันเทิงฝ่ายโลก การเมามาย และความวิตกกังวลต่างๆ ในชีวิต และวาระนั้นจะมาถึงตัวท่าน อย่างไม่คาดคิดเหมือนกับดัก เพราะวันนั้นจะมาถึง คนทั้งปวงที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นโลก จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ และอธิษฐาน เพื่อท่านจะสามารถรอดพ้น จากสิ่งทั้งปวงที่กำลังจะเกิดขึ้น และเพื่อท่านจะสามารถ ยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้" (Luke 21:34-36 [TNCV])

ในช่วงการเริ่มต้นปีใหม่ โดยทั่วไปแล้วคนเรามักจะหาสิ่งที่จะทำให้สบายใจ เพื่อเป็นการเริ่มต้นที่ดีของชีวิต ไม่เว้นแม้ผู้เชื่อพระเจ้าที่หลายครั้งมักจะเลือกอ่านพระคัมภีร์ตอนที่ทำให้รู้สึกดีไว้ก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่จะชอบอย่างนั้น แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรให้เป็นการสำแดงจากพระเจ้าผ่านทางพระวจนะที่ไม่ใช่เพราะเราชอบหรือไม่ชอบ และเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าไม่ใช่เพราะการเลือกตามใจชอบ ผมจึงวางแผนการอ่านพระคัมภีร์แบบต่อเนื่อง โดยเริ่มจากปฐมกาลจนถึงวิวรณ์วนไปอย่างนี้เป็นประจำ ทุกวันก็จะพบคำสอนที่คาดไม่ถึง และน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเช้าวันปีใหม่พระเจ้าสำแดงผ่านทางพระวจนะที่อ่านและ ใคร่ครวญ จากพระธรรม ลูกา 21.5-38 เริ่มต้นรู้สึกตกใจนิด ๆ เพราะเหตุการณ์ที่กล่าวถึงเป็นเรื่องที่น่าวิตก จากคำสอนที่เป็นการพยากรณ์ของพระเยซูเกี่ยวกับพระวิหารอันงดงามในมุมมองของสาวก แต่มุมมองของพระเยซูกลับเห็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ปรารถนาจะให้เกิด และคงไม่มีใครกล้าที่จะพูดออกไปอย่างนั้น พระเยซูได้กล่าวว่า " สิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็นอยู่นี้ สักวันหนึ่ง จะไม่เหลือศิลาซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด" (ลก.21.6) ซึ่งต่อมาอีกประมาณ 40 ปี คือ ค.ศ. 70 อาณาจักรโรมันก็ยกทัพมาถล่มกรุงเยรูซาเล็มและทำลายพระวิหารราบเป็นหน้ากลอง จริงตามพระดำรัสพระเยซู ซึ่งในขณะนั้นเหล่าสาวกไม่อาจเข้าใจทั้งหมด พวกเขาได้แต่ถามพระองค์ว่า " พระอาจารย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้น?" พระเยซูอธิบายว่า จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เป็นเครื่องบอกสัญญาณก่อนที่จะถึงวาระสุดท้าย ซึ่งสำหรับพวกเราในปัจจุบันเข้าใจว่าไม่ใช่เฉพาะการพยากรณ์ถึงพระวิหารเท่านั้นแต่ยังทรงเล็งถึงอนาคตของโลกนี้ต่อไปด้วย เหตุการณ์ต่างๆที่พระเยซูให้สังเกตจากพระธรรมตอนนี้ ได้แก่การที่จะมีผู้อ้างตัวในนามพระเยซู ข่าวเรื่องการสู้รบและการปฏิวัติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายอย่าง เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวและหมายสำคัญยิ่งใหญ่จากฟ้าสวรรค์ รวมทั้งการข่มแหงผู้เชื่ออย่างหนักทั้งในระดับสังคมและลงลึกไปถึงระดับครอบครัว ความทุกข์ลำบากเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักโดยเฉพาะบรรดาหญิงมีครรภ์ และลูกเด็กเล็กแดงที่ยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ดี ถึงกระนั้นความโกลาหลปั่นป่วนก็ยังไม่จบสิ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ท้องฟ้าและทะเล ต่างส่งสัญญาณในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้วย พระเยซูกล่าวว่า... วาระนั้น เขาทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ ด้วยฤทธิ์อำนาจและพระสิริยิ่งใหญ่ เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มขึ้น จงยืนขึ้นและเชิดศีรษะขึ้น เพราะท่านใกล้จะได้รับการไถ่แล้ว" (ลก.21.27-28) พระองค์ยังอธิบายด้วยคำอุปมาว่า... "จงมองดูต้นมะเดื่อ และต้นไม้ทั้งปวงเถิด เมื่อมันผลิใบ ท่านก็เห็น และรู้ด้วยตนเองว่า ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนยุคนี้2 ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไป แต่ถ้อยคำของเราไม่มีวันสูญสิ้น ...”

เรื่องที่พระเยซูพยากรณ์ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้เราสามารถสังเกตและสัมผัสถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นใกล้ตัวเข้ามาทุกที กระแสที่เชื่อว่าโลกนี้จะถึงกาลอวสานได้แสดงออกผ่านทางสื่อต่างๆ ทั้งในรูปแบบงานเขียน ภาพยนตร์ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และการทำนาย เป็นต้น ดังตัวอย่าง สื่อมวลชนบางแขนง กล่าวถึงปฏิทินมายาทำนายว่า ปี ค.ศ. 2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลก บทความไทยรัฐออนไลน์วันที่ 1 มกราคม 2554 เรื่อง “นับจากนี้อีก 50 ปี โลกจะแตก คนไทยจะสูญพันธุ์ของ” ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ก็ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลกเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาและการพยากรณ์ถึงอนาคตที่น่าสะพรึงกลัวด้วยว่าโลกนี้จะถึงกาลอวสาน ดังตอนหนึ่งที่ว่า...ถามว่าหากโลกใบนี้แตก "มนุษย์จะสูญพันธุ์" ไหม ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่า"ถ้าวันนี้เราไม่สู้หรือไม่ทำอะไรเลย จินตนาการที่ว่าโลกแตกมนุษย์สูญพันธุ์นั้น "มันก็เป็นไปได้..." เมื่อมองว่าโลกจะต้องถึงกาลอวสานจริงๆ คำถามก็คือวันนี้ "นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก" มีการมองว่าจะทิ้งโลกที่อนาคตกำลังจะแตกเอาไว้ไหม...? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนบอกว่า "มี" (ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/life/124923)ไทยโพสต์ 1 มกราคม 2554 ลงบทความ “2012 ฤๅโลกาจะวินาศ? ความจริงหลังทฤษฎีวันสิ้นโลก” ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่จะทำให้โลกนี้สิ้นสุดถึง 6 ประการ ได้แก่ 1. มนุษย์ต่างดาวบุก หรือรัฐบาลยืนยันการติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก 2. ดาวนิบิรุหรือดาวเคราะห์ปริศนาพุ่งชนโลก 3. มหันตภัยจากดวงอาทิตย์ 4. สนามแม่เหล็กโลกสลับขั้ว 5. ภูเขาไฟบรรลัยกัลป์ 6. สงครามโลกครั้งที่ 3 (ที่มา: http://www.thaipost.net/news/010111/32291 )

หากจะวิเคราะห์สภาพการณ์ของประเทศไทยโดยทั่วไปก็จะพบว่ามีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ด้านสังคม มีความรุนแรงมาตลอดและเวลานี้ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน ด้านการเมือง ใกล้เวลาเลือกตั้งใหญ่ที่ต้องมีการแข่งขนกันอย่างรุนแรง การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังมีความเห็นแตกต่างสุดขั้ว ด้านเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นดีนัก ด้านศาสนายังมีความขัดแย้งและเสื่อมศรัทธา ด้านครอบครัวยังแตกแยกไม่หยุดส่งผลให้มีครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารของมนุษย์และสัตว์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังมีผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า แนวโน้มของชีวิตนับวันจะยุ่งยากมากขึ้น การดำเนินชีวิตไม่ง่ายกว่าเดิมแน่นอน นี่ยังไม่กล่าวถึงการรักษามาตรฐานของชีวิตและคริสตจักรตามหลักพระวจนะอันบริสุทธิ์ด้วยความยำเกรงเลย ซึ่งหากรวมแล้วคงไม่มีใครคัดค้านว่า ชีวิตจากนี้ไปไม่ง่ายเลยจริง ๆ !

แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีละ ! คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในบรรดาสาวกที่ฟังถ้อยคำของพระเยซูโดยตรงเวลานั้นและชีวิตของเราในปัจจุบันนี้เช่นกัน ซึ่งพระเยซูให้หลักการที่จะเป็นทางรอดไว้ว่า…
หนึ่ง... เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว (ข้อ 31)
สอง... คนยุคนี้ (ชาติพันธุ์นี้) ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน (ข้อ 32)สาม... ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไป แต่ถ้อยคำของพระเยซูไม่มีวันสูญสิ้น (ข้อ 33)
สี่... "จงระวังให้ดี มิฉะนั้น ใจของท่านจะจมอยู่กับ ความสนุกบันเทิงฝ่ายโลก การเมามาย และความวิตกกังวลต่างๆ ในชีวิต และวาระนั้นจะมาถึงตัวท่าน อย่างไม่คาดคิดเหมือนกับดัก เพราะวันนั้นจะมาถึง คนทั้งปวงที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นโลก... (ข้อ 34-35)
ห้า... จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ และอธิษฐาน เพื่อท่านจะสามารถรอดพ้น จากสิ่งทั้งปวงที่กำลังจะเกิดขึ้น และเพื่อท่านจะสามารถ ยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้" (ข้อ 36)

การที่จะก้าวต่อไปในสถานการณ์ที่เราไม่อาจทราบหรือควบคุมได้ทั้งหมด สิ่งที่ควรทำ 2 ด้าน คือ การใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง และ การพึ่งพระเจ้าโดยการอธิษฐานอยู่เสมอ กล่าวคือ เราต้องมีความรับผิดชอบในส่วนของตนเอง และมอบความไว้วางใจไว้กับพระเจ้า เราต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง เพราะพระเจ้าให้สติปัญญา ให้เครื่องมือ ให้โอกาสที่ดีมากมายแก่มนุษย์แล้ว เช่น หากเราต้องการรักษาทรัพย์สิ่งของที่มีค่าเราก็สามารถหาวิธีรักษาความปลอดภัยด้วยวิธีต่างๆได้ ทั้งนี้จะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าของสิ่งนั้น ซึ่งประเด็นนี้คนทั่วไปก็กระทำกันอย่างปกติ เป็นต้นว่า บริษัท หน่วยงาน ห้างร้าน บ้านเรือน ต่างมีระบบรักษาความปลอดภัยของตนเอง ทั้งใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี และเจ้าหน้าที่ แต่สำหรับผู้เชื่อในพระเจ้านั้น เรามีหน่วยรักษาความปลอดภัยที่มากกว่านั้นอีกคือ นอกจากการระมัดระวังโดยการพึ่งสติปัญญา กำลัง ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แล้ว เรายังพึ่งในฤทธานุภาพของพระเจ้าด้วยการอธิษฐานวิงวอนต่อพระองค์เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับทุกสิ่งได้ (มธ.24.20 ,มก.13.18,ฟป.4.13,สภษ.3.5-7, สดด.37.3-6,อฟ.6.18,1ธก.5.17) เพราะนอกจากที่เราจะสามารถรอดพ้นจากสิ่งทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นแล้ว เรายังจะสามารถยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างสง่างามด้วย เนื่องจากเป็นไปได้ที่พบว่าหลายคนที่ไม่พึ่งพระเจ้า ไม่อธิษฐาน ไม่ดำเนินตามพระวจนะยังสามารถประสบความสำเร็จ ยังอยู่รอดปลอดภัย ยังร่ำรวย ยังมีอำนาจ ยังมีสุขภาพเข็งแรงอยู่ได้ ยังมีอีกสารพัดที่คนชอบธรรมหลายคนยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นพระเจ้ายังสอนให้รู้ว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เอาชีวิตรอด แต่ต้องสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ด้วย จึงจะถือว่ารอดปลอดภัยยังแท้จริง (รม.14.10,1คร.312-15,1ธก.3.13) เพราะจะมีประโยชน์อะไรที่รอดจากโลกนี้ไปแต่สุดท้ายต้องถูกปฏิเสธจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” และถูกแยกไปอยู่อีกฝากหนึ่งที่ต้องรอรับโทษ

แม้ว่าก้าวต่อไปในปีนี้หรือปีต่อไปจะยากหรือง่าย สิ่งสำคัญที่เรายังต้องยึดมั่นเสมอคือ ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังและด้วยการอธิษฐาน เพื่อเราจะสามารถเผชิญกับทุกสิ่งได้และถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ แม้ไม่ง่าย แต่คงไม่ยากเกิน

ขอพระเจ้าเสริมกำลัง และประทานสติปัญญาแก่ประชากรของพระองค์ด้วยเถิด...อาเมน